สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 226 ตกม้าตาย
บทที่ 226 ตกม้าตาย
ฮ่องเต้เองก็เคยมีประสบการณ์ลืมไม่ลงมาก่อน มารดาแท้ๆ ของพระองค์เป็นแค่นางใน แม้จะถูกเลี้ยงดูขึ้นมาภายใต้ความดูแลของจิ้งผิน ซึ่งก็คือจิ้งไท่เฟยในปัจจุบัน แต่จิ้งผินก็มิใช่นางสนมที่ได้รับความรักมากเท่าใดนัก
แต่ละวันของพระองค์กับจิ้งผินผ่านพ้นไปด้วยความยากลำบาก ต่อมาจิ้งผินได้ให้กำเนิดองค์หญิงน้อย จึงได้เลื่อนขั้นเป็นจิ้งเฟย ทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นมาบ้าง
แต่ไม่ทันไร พระองค์ก็ทรงถูกเหล่าพี่น้องรัชทายาทและพวกตระกูลหลิ่วกลั่นแกล้ง ทำให้พระองค์ไม่ยินยอมที่จะเข้าร่วมทัพกับพวกเขา ในที่สุดพระองค์ก็ถูกบีบคั้นเรื่องต่างๆ มากมาย
ทั้งถูกให้อดข้าวอดน้ำ ถูกรังแกเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่มีครั้งไหนแรงเท่ากับถูกแส้ฟาดเข้าที่หน้าผากแบบนี้อีกแล้ว!
แส้ของท่านเหล่าโหวนั้นรุนแรงกว่าแส้ของลูกชายตนเองเสียอีก เป็นเพราะท่านเหล่าโหวแรงเยอะกว่า บวกกับความมากประสบการณ์ของเขา
ดังนั้น ที่พระองค์ทรงนิ่งอึ้งไป ไม่เพียงเพราะความประหลาดใจ แต่หน้าผากอันสูงส่งของพระองค์นั้นรู้สึกได้ถึงความชาจริงๆ
จนกระทั่งของเหลวอุ่น ๆ ไหลอาบพระพักตร์ของเขา ในที่สุดพระองค์ก็ตระหนักว่าเขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บนะ!
“ฝะ ฝ่าบาท!”
ท่านเหล่าโหวตกใจจนผละแส้ในมือลง!
ใครจะไปคิดละว่าเขาจะฟาดแส้โดนพระพักตร์ฮ่องเต้เข้าให้!
ตอนที่เซวียนผิงโหวโผล่ออกมาก็ทำเอาเขาตกใจแทบแย่แล้ว แต่พอตอนที่เซวียนผิงโหวหลบเขาได้ ก็แอบนึกโล่งอกอยู่ในใจ
แต่ว่าตอนนี้
ไม่หลบยังจะดีกว่า!
เซวียนผิงโหว ท่านจะหลบไปเพื่ออะไร!
ท่านลืมแล้วหรือไรว่าฮ่องเต้อยู่หลังท่าน! ที่ท่านต้องเดินนำหน้าพระองค์ก็เพื่อคุ้มกันท่านมิใช่หรือ แล้วท่านจะหลบทำไมกัน!
ท่านเหล่าโหวได้แต่นึกโกรธ เขายอมรับว่าบางครั้งเขาก็ทำตัวไม่เหมือนมนุษย์มนา แต่อย่างเซวียนผิงโหวนี่อย่าเรียกว่าคนเลย
เซวียนผิงโหวทำหน้าละอายใจ “ไอ้หยา ไฉนถึงเป็นท่านท่านเหล่าโหวเล่า ท่านจะลอบสังหารพระองค์หรือไร ฝ่าบาท กระหม่อมขออภัยที่มาช้าไป”
ฮ่องเต้นึกในใจ แหม ทีตอนหลบละเร็วเชียวนะ!
พอความรู้สึกชาหายไป กลายเป็นความเจ็บร้าวเข้ามาแทนที่จนพระองค์เริ่มเข่าอ่อน ได้แต่ยืนพิงกำแพง
“ฝ่าบาท!” ท่านเหล่าโหวคุกเข่าลงอย่างแรง “กระหม่อมมีความผิด! กระหม่อมมิได้ตั้งใจจะลอบทำร้ายพระองค์! กระหม่อมไม่รู้มาก่อนว่าแส้นั้นจะโดนเข้าที่พระพักตร์พระองค์…”
ที่จริงท่านเหล่าโหวลาออกจากการเป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว ที่จริงเขาไม่ต้องเรียกแทนตัวเองว่ากระหม่อมแล้วก็ยังได้ แต่ด้วยความที่เขาต้องรับใช้พระองค์ บวกกับสถานการณ์ที่คับขัน ทำให้เขาลืมตัวไปชั่วขณะ
ยังดีที่เซวียนผิงโหวพอเข้าใจ แต่ว่าตรงนั้นไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคนนี่สิ
เสี่ยวซานจื่อตอนนี้สติหลุดไปแล้ว ส่วนหญิงคนนั้นก็สบโอกาสช่วงชุลมุนหลบหนีไปได้ ส่วนกู้เจียวที่กระโดดเกาะกำแพงเมื่อครู่ ตอนนี้ก็ลงมาแล้ว
เซวียนผิงโหวหรี่ตามอง นี่มันหมอหญิงที่เหยียบหน้าเขาจนร่างของเขาเกือบจะแหลกนี่นา
กู้เจียวเองก็หรี่ตามองเขาเช่นกัน เหอะๆ นี่มันตาลุงที่จ่ายค่ารักษาด้วยเงินแค่สลึงเดียวนี่นา
จู่ๆ บรรยากาศก็เริ่มอบอวลไปด้วยความเดือดดาล
ฮ่องเต้เองก็เห็นแล้วว่ากู้เจียวอยู่ตรงนี้ แต่เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนกับนาง พยายามยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดแผลของตน
แต่กระนั้น ท่านเหล่าโหวก็ยังคงออกปากเรียกเขาฝ่าบาทอย่างนั้น ฝ่าบาทอย่างนี้ แถมยังบอกอีกว่าเลือดไหลเต็มพระพักตร์อีก แต่ละคำที่พูดออกมา มันน่าจับลงโทษประหารนัก
และแล้ว เซวียนผิงโหวก็เอ่ยเรียกกู้เจียว “เจ้าเป็นหมอมิใช่หรือ”
เซวียนผิงโหวนึกในใจ แม้เขาจะเป็นคนทำให้ฮ่องเต้ต้องเจ็บ แต่อย่างน้อยเขาก็ชดเชยได้นี่นา นี่ไง มีหมออยู่ที่นี่ทั้งคน!
นอกจากจะทำร้ายร่างกายแล้ว ยังจะทำลายชื่อเสียงของฝ่าบาทอีก
ฮ่องเต้ได้แต่ทรงกริ้ว พวกเจ้านี่นะ!
แม้ฮ่องเต้จะมีเลือดอาบทั่วพระพักตร์ แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะทำให้เห็นหน้าค่าตาของพระองค์
กู้เจียวย่อตัวลง ก่อนเอ่ยทัก “นายใหญ่ฉู่รึ”
“มานายใหญ่ฉู่อะไรกัน! นี่คือฝ่าบาทนะ!” ท่านเหล่าโหวไม่รู้เรื่องที่ฉินฉู่อวี้เข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียน
กู้เจียวเลิกคิ้ว “อ๋อ ที่แท้ท่านก็คือฮ่องเต้นี่เอง เช่นนั้น ฉู่อวี้ก็เป็นองค์ชายสินะ”
ฮ่องเต้นึกในใจ แย่แล้ว ฉู่อวี้เลยพลอยซวยไปด้วยเลย
ท่านเหล่าโหวเริ่มเอะใจ เดี๋ยวนะ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ยังดีที่วันนี้กู้เจียวไปตรวจร่างกายให้จิ้งไท่เฟย ก็เลยพกกล่องยามาด้วย จึงวานให้เสี่ยวซานจื่อไปหยิบมาให้จากในรถม้า
เสี่ยวซานจื่อที่ตกใจสุดขีดจนพูดอะไรไม่ออก ก็รีบวิ่งไปหยิบกล่องยาแล้วยื่นให้กู้เจียว
ท่านเหล่าโหวที่ลืมสนิทเลยว่าจะจับกู้เจียวส่งทางการในตอนแรก เอ่ยกับฝ่าบาท “พื้นเย็นนัก ฝ่าบาท ทรงเข้าไปที่รถม้าดีกว่าขอรับ”
“ตรงนี้แสงสว่างดี” กู้เจียวปฏิเสธทันควัน จากนั้นก็เอ่ยกับฝ่าบาทอย่างไม่ทันรอให้ท่านเหล่าโหวโต้กลับว่าเขากำลังพูดกับฝ่าบาทอยู่ เป็นแค่หมอหญิงอย่าพูดแทรก “เอามือออก”
เป็นน้ำเสียงออกคำสั่ง
ฮ่องเต้ยอมเอามือออก สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ท่านเหล่าโหวนึกว่าเขาตาฝาดเสียอีก
“พวกท่านบังแสงอยู่” กู้เจียวเอ่ยกับท่านเหล่าโหวและเซวียนผิงโหว
ด้วยความที่เป็นคนไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว เซวียนผิงโหวจึงไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรที่หมอหญิงตัวเล็กๆ มาพูดกับเขาเช่นนี้ จึงยอมหลบแต่โดยดี
ท่านเหล่าโหวกลับรู้สึกไม่พอใจ และรู้สึกว่านางช่างไม่ไว้หน้าใครเอาเสียเลย
ฮ่องเต้เห็นว่าเขายังไม่ขยับ จึงส่งสายตาเย็นชาไปให้
“พ่ะย่ะค่ะ…”
ในที่สุดเขาก็ยอมขยับออกไป
กู้เจียวลงมือจุ่มสำลีก้อนลงในน้ำเกลือและเริ่มทำความสะอาดคราบเลือดบนใบหน้าและศีรษะของฮ่องเต้ ที่จริงรูปลักษณ์หน้าตาของฮ่องเต้ใช้ได้เลยทีเดียว เพียงแต่พอเทียบกันกับเซวียนผิงโหวแล้วดูเหมือนจะหล่อน้อยกว่าหน่อย
แต่เสียอย่างเดียว เซวียนผิงโหวเป็นคนขี้งก!
ต่อให้หล่อแค่ไหน ถ้าขี้งกนางก็ไม่ชอบอยู่ดี
“ซี้ด”
แผลของพระองค์ค่อนข้างเหวอะเลยทีเดียว ถือว่าน่าเป็นห่วง
ฮ่องเต้ได้แต่รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ
ท่านเหล่าโหวรู้ดีว่าตัวเองทำผิดมหันต์ จึงได้แต่คุกเข่า ก้มหน้าอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกขึ้น
เซวียนผิงโหวเองก็รู้สึกผิดเช่นกัน ในเมื่อพระองค์กำลังนั่งอยู่ เขาก็ไม่อาจไปยืนค้ำหัวพระองค์ได้ เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ บริเวณที่ท่านเหล่าโหวคุกเข่าอยู่
ท่านเหล่าโหวคิดว่าเขาจะคุกเข่าขอขมา เลยขยับไปด้านข้างเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับเขา กลายเป็นว่า เซวียนผิงโหวนั่งย่อตัวลงข้างเขา และเริ่มวาดวงกลมบนพื้นอย่างเบื่อหน่าย
ท่านเหล่าโหว “……”
กู้เจียวมองไปที่บาดแผลบนศีรษะของฝ่าบาทและกล่าวว่า “ถ้าท่านต้องการเย็บแผล จะต้องโกนหัวก่อน จากนั้นค่อยให้ยาสลบ”
ต้องโกนหัว ต้องเย็บแผลเลยหรือ
ฮ่องเต้ได้แค่นึกในใจ นี่มันไม่ดีเอาเสียเลย!
พอกู้เจียวคว้ามีดผ่าตัดและเข็มฉีดยาขึ้นมา ฮ่องเต้ก็แทบจะลมจับ
กู้เจียวจิ้มเข็มเข้าไป
ฮ่องเต้งับแขนเสื้อไว้แน่น “อื้อ”
กู้เจียวนึกในใจ เสียงและท่าทางที่คุ้นเคย…
ฮ่องเต้ทรงพลาดแล้วจริงๆ …
หลังจากเย็บแผลเสร็จ กู้เจียวก็หยิบผ้าขึ้นมาพันที่แผล “พยายามอย่าให้แผลโดนน้ำ ใส่ใจความสะอาดของบาดแผล แล้วมาโรงหมอในวันพรุ่งนี้เพื่อทำแผล”
พูดจบ กู้เจียวก็เก็บอุปกรณ์ลงกล่องยา ก่อนจะยื่นแบมือไปทางฮ่องเต้
“ค่ารักษา”
กู้เจียวเอ่ย
มีอย่างที่ไหนฮ่องเต้ออกมาด้านนอกแล้วต้องพกเงินสดด้วย ที่ผ่านมาเว่ยกงกงเป็นคนพกเงินโดยตลอด แต่วันนี้เขาไม่ได้มากับเว่ยกงกงนี่สิ
ฮ่อวเต้จึงหันไปที่เซวียนผิงโหว ซึ่งนั่งยองอยู่บนพื้นและวาดวงกลมอยู่ “เซวียนผิงโหว!”
“ฝ่าบาททรงเรียกกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ” เซวียนผิงโหวตอบสนองอย่างไร้ซึ่งความเคอะเขินหรือลังเล ซึ่ง ณ จุดนี้ เขาเหมือนกันกับกู้เจียว
เซวียนผิงโหวลุกขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาทางฮ่องเต้…แล้วย่อเข่าลงข้างนึง
ท่านั่งยองๆ เล็กๆ สงบและสง่างาม บุรุษคนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรดูแล้วช่างสบายตายิ่งนัก
แต่ฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะมาชื่นชมอาหารตา “ให้เงินไปซะ”
เซวียนผิงโหวเหลือบมองกู้เจียวหนึ่งที จากนั้นหยิบกระเป๋าเงินออกมา และโยนเงินจำนวนเล็กน้อยลงในฝ่ามือของกู้เจียว
เขาเลือกที่จะให้เงินจำนวนน้อยที่สุดแก่กู้เจียว ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าแปลกสำหรับกู้เจียว
แต่สำหรับฮ่องเต้แล้วกลับไม่ใช่ ทรงมองเซวียนผิงโหวด้วยสายตาอาฆาต “ร่างกายของข้ามีค่าเท่านี้เองรึ”
เซวียนผิงโหวคว้าเหรียญที่สองออกมาแล้วยื่นให้กู้เจียว ทีแรกก็นึกว่าเขาจะให้สองเหรียญ กลายเป็นว่าพอให้เหรียญใหม่มา ก็หยิบอันเก่ากลับใส่ถุงเงินเหมือนเดิม
ฮ่องเต้ “…”
กู้เจียว “…”
ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากเสียจนเขาคว้าเงินทั้งหมดของเขาแล้วมอบให้กู้เจียว
พอได้เงินมาแล้ว กู้เจียวก็ขึ้นรถม้าแล้วออกไป
จนกระทั่งรถม้าไกลออกไป ฮ่องเต้ก็รู้สึกตัว ขมวดคิ้วและหันไปถามท่านเหล่าโหว “เจ้ากำลังพยายามจะตีใครด้วยแส้เมื่อครู่นี้”
ท่านเหล่าโหวเล่าเกี่ยวกับกู้เจียวและหญิงน่าสงสัย “…ข้าตั้งใจจะส่งทั้งสองคนไปให้ทางการตัดสิน…”
“เจ้ามีอคติและลำเอียงต่อคนอื่นได้อย่างไรกัน” สายตาของฮ่องเต้เริ่มเย็นชาและเต็มไปด้วยความแค้น
คนอื่นรึ แต่เด็กนั่นก็ไม่ใช่คนกันเองนี่นา
ท่านเหล่าโหวเป็นคนที่ดื้อรั้นมาก บางครั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะยืดหยุ่นได้อย่างไร และบางทีเขาอาจไม่เต็มใจที่จะยืดหยุ่น จึงเอ่ยออกไปตรงๆ “กระหม่อมมิได้ลำเอียงนะขอรับ เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ควรจะส่งให้ทางการตัดสิน มิใช่ปล่อยให้นางทำตามอำเภอในนะขอรับ”
ฮ่องเต้ชำเลืองสีหน้าท่าทางของท่านเหล่าโหว ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
หรือว่าเขาจะยังไม่รู้ว่านางเป็นหลานแท้ๆ ของเขา
ไม่เพียงแต่ท่านเหล่าโหวไม่รู้ว่านางเป็นหลานสาวของเขาเอง แม้แต่เซวียนผิงโหวก็ยังไม่รู้ว่าเลยว่ากู้เจียวเป็นลูกสะใภ้ของเขาเอง
เซวียนผิงโหวยังคิดอยู่ในใจเลยว่าถ้าวันไหนได้เจอกับลูกสะใภ้ เขาต้องใจกว้างกว่านี้ ไม่ปล่อยให้ลูกชายเสียหน้าอย่างแน่นอน