สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 228 อ้อน
บทที่ 228 อ้อน
ขณะที่ท่านเหล่าโหวกำลังเผชิญกับความทรมานกับการคัดหนังสือ เซวียนผิงโหวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กระเด้งตัวลุกขึ้น และเดินออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง!
ท่านเหล่าโหว “…”
เซวียนผิงโหวเดินออกจากวังด้วยความช่ำชอง ก่อนจะตามฉังจิ่งมา แล้วขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังกั๋วจื่อเจียน
การสอบหน้าพระที่นั่งใกล้เข้ามาทุกที วิชาเรียนของกั๋วจื่อเจียนยิ่งเข้มข้นขึ้นกว่าเก่า กว่าจะถึงเวลาเลิกเรียนฟ้าก็มืดเสียแล้ว
เวลานี้แหละกำลังดี ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป
เซวียนผิงโหวรอหน้ากั๋วจื่อเจียนหนึ่งชั่วยามเต็มๆ จนได้เจอกับเซียวลิ่วหลัง
ชุดเครื่องแบบของบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนเป็นชุดสีขาวขลิบน้ำเงิน แขนเสื้อกว้าง ชายเสื้อ ปลายแขนเสื้อ และเข็มขัดล้วนเป็นสีน้ำเงิน เป็นเสื้อแบบผูกตรงเอว เปี่ยมไปด้วยความสง่างามตามแบบฉบับบัณฑิตจากสำนักผู้รากมากดี
เครื่องแบบของกั๋วจื่อเจียน ต่อให้หน้าตาอัปลักษณ์แค่ไหนแต่ก็สามารถใส่ออกมาให้ดูดีได้ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนที่ทยอยเดินออกมาหลังเวลาเลิกเรียน ชายหนุ่มในเครื่องแบบพร้อมกับไม้เท้าอย่างเซียวลิ่วหลังดูเหมือนจะโดดเด่นกว่าใครเพื่อน
เขารูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวสะอาดคมคายราวหยก แลดูเปล่งประกายราวกับมีคนมาจุดประกายไฟรอบๆ ตัวเขา เพียงแต่ ไม้เท้านั่นทำลายภาพลักษณ์ชายหนุ่มรูปงามของเขาไปเสียหมด
แวบหนึ่ง เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วพลางเพ่งไปที่ขาข้างที่พิการของเขา
แค่เพียงแวบเดียว เขาก็ทำสีหน้าตามปกติดังเดิม
รถม้าของเซวียนผิงโหวจอดอยู่บริเวณข้างต้นไม้ใหญ่ ไม่ได้จอดเด่นอยู่หน้าประตูทางเข้าออกกั๋วจื่อเจียนแต่อย่างใด
ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังก้าวเท้าเดิน จู่ๆ ร่างใหญ่โผล่จากหลังต้นไม้กะทันหัน และเข้ามาขวางทางเดิน
เซียวลิ่วหลังหยุดฝีก้าว พร้อมกับมองคนตรงหน้า
ส่วนสูงของบัณฑิตหนุ่มเท่ากับบุรุษตรงหน้า ดูได้จากระยะสายตาของทั้งคู่ เพียงแต่ร่างของเซียวลิ่วหลังผอมซูบกว่ามาก ในขณะที่เซวียนผิงโหวซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตลอดทั้งทั้งชีวิต ร่างของเขาจึงดูกำยำน่าเกรงขามกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แววตาชายหนุ่มไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่มีสิ่งใดเจือปน มีแต่ความเย็นชา ราวกับไม่รู้จักคนตรงหน้ามาก่อน
“เจ้าลูกชาย ไม่เจอกันนานเลยนะ!” แม้สายตาที่เด็กหนุ่มตรงหน้ามองตอบเขาจะทำให้เขารู้สึกสะท้านมากแค่ไหน แต่เซวียนผิงโหวยังคงเลือกที่จะแสดงท่าทีเบิกบานและเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร
เซียวลิ่วหลังเบือนหน้าหนี “ข้าเคยบอกแล้วไงว่าข้าไม่ใช่ลูกของท่าน”
เซวียนผิงโหว “เหตุใดเจ้าจะไม่ใช่ลูกข้าล่ะ”
แม้เจ้าจะไม่ใช่อาเหิง แต่เจ้าคือลิ่วหลัง คือลูกของข้ากับเฉินอวิ๋นเหนียงนะ
เจ้าคือลูกชายข้า!
เขาพยายามสื่อความคิดนี้ผ่านสายตาของเขา
เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ “ข้าต้องกลับแล้ว”
เซวียนผิงโหวรั้งเขาไว้ “ช่วยกันหน่อยสิ”
เซียวลิ่วหลังไม่พูดอะไร
เซวียนผิงโหวเอ่ยขอความสงสาร “ข้าโชคร้ายจริงๆ เลยวันนี้ เพราะเด็กนั่นแท้ๆ นางดันหลบได้ ข้าเองก็หลบด้วย สุดท้ายมีแต่ข้าที่ถูกทำโทษ”
จู่ๆ คนตรงหน้าดันพูดจาไม่มีที่มาที่ไป เซียวลิ่วหลังฟังไม่ออก แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจด้วย
เซวียนผิงโหวถอนหายใจ “ฝ่าบาทลงโทษให้ข้าคัดหนังสือ เจ้าก็รู้คนอย่างข้า โดนโบยยังจะดีกว่าให้ไปคัดหนังสือแบบนั้น”
จู่ๆ เซียวลิ่วหลังเกิดนึกถึงใบหน้าของกู้เจียวตอนที่ฝึกเขียนหนังสือ
เซวียนผิงโหวที่ยังไม่รู้ตัวว่าคนตรงหน้าเริ่มไม่จดจ่อแล้ว ยังคงพูดต่ออย่างไม่มีทีท่าจะหยุด “ครั้งก่อนเจ้าก็เคยช่วยข้าเขียน ครั้งนี้ข้าจะขอให้เจ้า ช่วยข้าอีกครั้ง! ตาเฒ่านั่นไม่มีคนมาคอยช่วย เพราะลูกชายเขาไม่ได้เรื่อง เทียบกับลูกชายข้าไม่ได้เลยสักนิด!”
เซวียนผิงโหวแต่ไหนแต่ไรเป็นคนปากคอเราะร้าย แต่ละคำที่หลุดออกมาจากปากเขาไม่เคยมีคำไหนดีเลย ที่เขายอมปากหวานเช่นนี้ ก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเองทั้งนั้น
ความดีงามของเขาทั้งชีวิตก็มีไว้เพื่อบุตรชายคนนี้ล่ะ
แต่บุตรชายเหมือนจะไม่อยากรับเท่าใดนัก
เซียวลิ่วหลังเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเย็นชา “จะต้องให้ข้าพูดอีกกี่ครั้งกัน ข้าไม่ใช่ลูกท่าน ลูกท่านน่ะตายไปตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้เมื่อสี่ปีก่อนครั้งนั้นแล้ว เขาไม่กล้าตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ ได้แต่รอคอยใครสักคนมาช่วยเขาอย่างสิ้นหวัง แต่สุดท้าย เขาทำได้เพียงเฝ้าดูตัวเองถูกทะเลเพลิงกลืนกิน เขาตายแล้ว เซียวจี่ ลูกชายของท่านตายแล้ว”
เซียวจี่ ลูกชายของท่านตายแล้ว!
คำพูดเหล่านี้ราวกับมีดคมที่เจาะเข้าไปในหัวใจของเซวียนผิงโหว!
พูดจบ เซียวลิ่วหลังก็พลันรีบเดินออกไป
ร่างของเซวียนผิงโหวเริ่มสั่น เขายกมือขึ้นมากุมหน้าอก
บ้าจริง!
นี่มันเจ็บชะมัด…
เซียวลิ่วหลังพาร่างอันเดือดดาลของเขากลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย ทันทีที่เขามาถึงหน้าเรือน เขาพยายามระงับความโกรธ ก่อนจะย่ำเท้าเข้าเรือน
เวลานี้เป็นช่วงพักผ่อนของทุกคน กระนั้นโคมไฟในห้องโถงยังเปิดสว่างอยู่สำหรับเขา
เซียวลิ่วหลังค่อยๆ ก้าวเท้าเบาๆ เข้าไปในเรือน และเป็นอีกครั้งที่เขาพบกู้เจียวสภาพนอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ
แสงสลัวจากโคมไฟส่องเผยให้เห็นโครงหน้าและปากนิดจมูกหน่อยของนาง เพียงแต่ครั้งนี้สีหน้าของนางต่างจากครั้งก่อนๆ คิ้วของนางขมวดแน่นจนเป็นปม ราวกับคนไม่สบายเนื้อตัว
เซียวลิ่วหลังลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปแตะที่หน้าผากนาง
เอ๋ ก็ไม่ร้อนนี่นา
เขารีบชักมือกลับ
เซียวลิ่วหลังพยายามอย่างมากในการเบามือเพราะไม่อยากให้นางตื่น แต่ก็ไม่วายทำกู้เจียวตื่นอยู่ดี นางมองเขาด้วยท่าทางสลึมสะลือ ก่อนเอ่ยทัก “เจ้ากลับมาแล้วรึ”
เซียวลิ่วหลังสังเกตได้ทันทีว่าสีหน้าของนางดูไม่สู้ดีเท่าไหร่ “เจ้าไม่สบาย…ตรงไหนหรือ”
กู้เจียวยกมือป้องปากหาวหวอด “ไม่มีนะ”
เขาสังเกตเห็นความอิดโรยบนใบหน้าของนาง นั่นทำให้เขารู้สึกปวดใจ “ข้ากินข้าวมาแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด แล้ววันหลังเจ้าไม่ต้องมารอข้าแบบนี้อีก”
“ไม่เป็นไรหรอก” กู้เจียวยิ้มมุมปาก “ข้าต้มน้ำร้อนไว้ให้แล้วนะ”
“เดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าไปพักเถอะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยไล่ภรรยา ไม่เหลือช่องว่างให้กู้เจียวได้เถียงกลับ
กู้เจียว “…ก็ได้”
กู้เจียวค่อยๆ แบกร่างไร้วิญญาณของตัวเองเข้าไปในห้อง ก่อนจะล้มตัวนอนลงบนเตียง
แต่ไหนแต่ไร กู้เจียวไม่ใช่คนที่บ่นอิดออดเวลาไม่สบายตัว ต่อให้นางเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร นอกเสียจากนางจะไม่สบายตัวจนทนไม่ไหวจริงๆ
เซียวลิ่วหลังแอบมองลอดเข้าไปในประตูห้องนอนของนางเพื่อตรวจดูอาการ พอเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็กลับหลังหันแล้วเดินไปทางห้องฟืน
เซียวลิ่วหลังยังไม่คิดจะอาบน้ำ แต่เขาเดินไปหาน้ำตาลแดงกับขิงฝาน
ตอนที่พวกเขายังอยู่ที่ชนบท เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากชนิดที่ว่าแม้แต่น้ำตาลทรายแดงก็ยังไม่มีติดเรือนไว้ จนต้องรบกวนเพื่อนบ้าน…และแม้ตอนนี้จะไม่ได้ลำบากเท่าเมื่อก่อน แต่ดูเหมือนว่านางไม่ได้ดูแลตัวเองดีเท่าเวลานางดูแลสมาชิกคนอื่นๆ ในเรือน
เซียวลิ่วหลังจัดแจงต้มน้ำตาลแดงกับขิงฝาน จากนั้นก็นำไปไว้ที่ห้องกู้เจียว
ฝีมือเข้าครัวของเขาค่อนข้างย่ำแย่ เพราะเขาทำขิงฝานไหม้ติดก้นหม้อ
เขาค่อยๆ ดันบานประตูห้องนอนกู้เจียวออก ก่อนจะเดินไปหน้าเตียง พยายามปลุกให้นางตื่น “ตื่นมาดื่มอะไรก่อนสิ”
กู้เจียวขานตอบ พยายามลืมตาอันเมื่อยล้า
พอได้กลิ่นน้ำตาลแดงและขิงที่เคี่ยวจนมีกลิ่นไหม้เล็กน้อย
กู้เจียวก็ทำหน้าตกใจ
“เจ้าลุกขึ้นเองได้ไหม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“ไม่ได้” เดิมกู้เจียวที่กำลังจะลุกขึ้นนั่ง จู่ๆ ก็ลงไปนอนอีกครั้ง
เซียวลิ่วหลัง “…”
เขาจึงยื่นมืออันเรียวยาวราวหยกของเขาออกมา และช่วยพยุงกู้เจียวให้ลุกขึ้นจากที่นอนอย่างนุ่มนวล
ร่างบางนุ่มนิ่มพร้อมกลิ่นหอมเย้ายวนของภรรยาทำเอาเขาเสียสมาธิเล็กน้อย
ดวงตากู้เจียวเบิกกว้างเมื่อได้เห็นชาขิงต้มน้ำตาลแดงที่เซียวลิ่วหลังเอามาให้
นี่สามีต้มน้ำตาลแดงให้นางรึ
ทำไมเขาเป็นคนดีเช่นนี้
แล้วไฉนเขาถึงรู้ได้ล่ะ
ประจำเดือนของกู้เจียวมาในช่วงกลางคืน ที่ผ่านมานางแทบไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลยยกเว้นตอนที่ยังอยู่ที่ชนบทครั้งนั้น
ที่จริงวันนี้ก็ถือว่าไม่ได้ปวดรุนแรงนัก เพียงแต่กู้เจียวรู้สึกอ่อนเพลีย หมดแรง และรู้สึกมวนท้อง
ทั้งๆ ที่นางเป็นคนที่สามารถต้านทานความเจ็บปวดได้มาโดยตลอด ขนาดว่าสามารถควักกระสุนปืนที่ฝังเข้าเนื้อได้โดยไม่ต้องดมยาสลบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางไม่สามารถทนต่ออาการปวดประจำเดือนได้เลย
“เจ้าดื่มเองได้ไหม” เซียวลิ่วหลังยื่นถ้วยชาให้นาง
กู้เจียวที่กำลังจะยื่นมือออกไป จู่ๆ ก็ชักมือกลับอย่างช้าๆ พลางเอ่ยกับคนตรงหน้า “ข้ารู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน”
เซียวลิ่วหลัง “……”
เซียวลิ่วหลังถอนหายใจอย่างเหลืออด ก่อนจะนั่งลงข้างเตียง แล้วป้อนน้ำชาให้นางทีละช้อน ทีละช้อน
กู้เจียวอ้าปากเล็กๆ ของนางขึ้น จากนั้นค่อยๆ เม้มเข้าไปที่ช้อน ก่อนจะจิบน้ำชาขิงต้มน้ำตาลแดงทีละนิด
ไม่นาน น้ำชาก็เหลือแค่ก้นถ้วย
“ยังมีเหลืออีกไหม” กู้เจียวทำปากขมุบขมิบ
เซียวลิ่วหลังเหลือบไปเห็นท้องกลมๆ ที่แม้แต่ชุดนอนของนางก็บังไม่มิด ก่อนจะตอบกลับ “ไม่ให้ดื่มแล้ว”
แววตาหญิงสาวเหลือบไปที่ช้อนในมือเรียวยาวของชายหนุ่ม “อ้อ”
“นอนต่อเถิด” เซียวลิ่วหลังเอ่ยพลางยื่นน้ำให้นางดื่ม
กู้เจียวเอนกายลงด้วยความเชื่อฟัง พลางมองคนตรงหน้าอย่างออดอ้อน
เซียวลิ่วหลังไม่อาจละสายตาจากหญิงสาวตรงหน้าได้ ก่อนจะเอ่ยถาม “ไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า”
บัดนี้ ปีศาจและนางฟ้าในหัวกู้เจียวกำลังทะเลาะกัน ปีศาจในร่างกู้เจียวตะโกนร้องว่า อย่างเจ้าเนี่ยนะไม่สบาย เจ้าน่ะหญิงแกร่งชนิดที่ว่ารับลูกกระสุนได้สบายๆ เลย! ทนนิดทนหน่อยไม่ได้เชียวหรือ!
ขณะเดียวกัน นางฟ้าในหัวกลับพูดว่า แต่เจ้าปวดท้องจริงๆ นี่นา
ท้ายที่สุด นางฟ้าเจียวก็ได้เอาชนะปีศาจเจียวไปได้ด้วยกระบวนหมัดสิบแปดท่า แล้วเตะปีศาจเจียวให้กระเด็นออกไปจากความคิด!
กู้เจียวทำหน้าอิดออดพลางมองหน้าเขา “ข้าปวดท้อง”
“เอ่อ…” ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออก
“เจ้านอนก่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ดีขึ้น”
ตอบมาแบบนี้ ไม่ถามเสียยังจะดีกว่า
“ให้ข้าช่วยนวดให้ไหม”
จะดูใกล้ชิดเกินไปไหม
เซียวลิ่วหลังหันไปมองกู้เจียวที่กำลังส่งสายตาปริบๆ มาทางเขา ราวกับกำลังจะบอกเขาว่าพูดแล้วต้องทำจริงนะ ถ้าไม่ทำตามที่พูดขอให้มีอันเป็นไปอย่างไรอย่างนั้น
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ตีความสายตาของนางไปในทางแบบนั้น
สุดท้าย เซียวลิ่วหลังก็ยอมนั่งลง “…มา ข้านวดให้”
“อื้อ!” กู้เจียวพยักหน้าหงึก
เซียวลิ่วหลังยื่นมืออันเรียวยาวของเขาเข้าไปในผ้านวมอุ่นๆ ของนาง เขาสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากผิวบริเวณหน้าท้องน้อยของคนตรงหน้า
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ฝ่ามือกดลงไปที่หน้าท้องนิ่มของนาง
นี่เป็นครั้งแรก ที่มือเขาสัมผัสลงบนเรือนร่างอันอ่อนนุ่มของนางในขณะที่สติสัมปชัญญะของเขาเต็มร้อย ฝ่ามือของเขาร้อนรุ่มดั่งไฟ