สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 238 เด็กน้อยโมโห
บทที่ 238 เด็กน้อยโมโห
การฟื้นตัวของเจียงสือช่างน่าตกใจและยินดี กู้เจียวเตรียมทำการผ่าตัดครั้งสุดท้ายให้แก่เขา นี่เป็นการผ่าตัดเล็ก จากนี้เขาก็สามารถพักรักษาตัวได้อย่างสบายใจไม่ต้องผ่าตัดอีกแล้ว
กู้เจียวเพิ่งจะสวมถุงมือปลอดเชื้อ อวี้ชินอ๋องเฟยก็พาลูกชายมาหา
เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง อวี้ชินอ๋องเฟยจึงสวมชุดของสตรีออกเรือนชั้นสูงสามัญชน ศีรษะปักปิ่นมุกเรียบง่ายสองสามด้าม แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ปิ่นสามด้ามนั่นสามัญชนเห็นแล้วก็ยังสูงค่ายิ่งอยู่ดี
เถ้าแก่รองมาต้อนรับนางด้วยตัวเอง
เถ้าแก่รองเป็นคนมีสายตาเฉียบแหลม ฮูหยินนางนี้สีหน้าแดงเรื่อ ไม่เหมือนว่าร่างกายเจ็บป่วยตรงไหนเลยสักนิด แต่เป็นเด็กน้อยวัยราวๆ สิบขวบในอ้อมอกนางต่างหาก สีหน้าซีดขาว และไอออกมาเป็นระยะๆ
เขาจึงเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านน้อยมาหาหมอหรือขอรับ”
ขันทีเดินมาขวางระหว่างเขากับนายหญิงตัวเองก้าวหนึ่ง
คนธรรมดาสามัญไหนเลยจะมีสิทธิพูดคุยกับพระชายาแห่งแคว้นเหลียงได้
แคว้นเหลียงมีตำแหน่งสูงกว่าแคว้นเจา แน่นอนว่าพระชายาแคว้นเหลียงย่อมสูงศักดิ์กว่าพระชายาแคว้นเจา
อย่าว่าแต่เถ้าแก่โรงหมอตัวเล็กๆ คนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นขุนนางในราชสำนักก็ไม่มีสิทธิสนทนากับพระชายาของเขา
“ท่านแม่…” หมิงเอ๋อร์ดึงแขนเสื้ออวี้ชินอ๋องเฟยไว้ ร่างเล็กอ่อนยวบพิงอกนาง
อวี้ชินอ๋องเฟยไม่มีเวลามาคุยกับเถ้าแก่รอง นางลูบหน้าผากลูกชายปลอบโยน “ไม่ต้องกลัว พวกเรามาถึงโรงหมอแล้ว อีกไม่นานก็จะมีหมอมาตรวจเจ้าแล้ว”
เถ้าแก่รองถูจมูกไปมาด้วยสีหน้าเหยเก คล้ายว่าอีกฝ่ายค่อนข้างพูดจาด้วยยาก
เปิดโรงหมอมาก็นานหลายปี เรียกได้ว่าอ่านคนมาไม่น้อย ไม่ว่าคนแบบไหนเขาก็เคยเจอมาทั้งนั้น ย่อมไม่มีทางเสียใจกับแค่การโดนดูถูกอยู่แล้ว
เขามองขันทีพลางเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ไม่ทราบว่าท่านชายน้อยไม่สบายตรงไหนหรือ บอกอาการข้ามา ข้าจะได้แนะนำหมอที่เหมาะสมให้ได้ถูก”
“หมอที่มีฝีมือที่สุดในโรงหมอเจ้าคือใคร” ขันทีถามอย่างไม่เกรงใจสักนิด
ก็ต้องเป็นเสี่ยวกู้ของเขาอยู่แล้ว!
แต่เสี่ยวกู้ของเขายามนี้กำลังผ่าตัดให้เจียงสืออยู่ มาไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาดูอาการป่วยของเด็กคนนี้แล้วไม่นับว่าเร่งด่วนมาก เถ้าแก่รองครุ่นคิดแล้วไปตามหมอซ่งมา “หมอซ่ง เจ้ามาดูท่านชายน้อยท่านนี้หน่อย”
หมอซ่งเอ่ยกับอวี้ชินอ๋องเฟยและโอรสว่า “เชิญด้านใน”
“เจ้าเป็นหมอที่ดีที่สุดในโรงหมอรึ” ขันทีมองเขาด้วยความสงสัย “ข้าดูแล้วอายุอานามเจ้าก็ไม่มาก เพิ่งจะยี่สิบปีกระมัง แม้แต่หมอชราที่มีประสบการณ์สักคนโรงหมอของพวกเจ้าก็เชิญมาไม่ได้รึ ชื่อเสียงโรงหมอของพวกเจ้ามีมาได้อย่างไรน่ะ”
ในสายตาคนธรรมดา ฝีมือการแพทย์ของหมอคนหนึ่งขึ้นอยู่กับอายุของพวกเขา อายุยิ่งมากประสบการณ์ก็ยิ่งมาก ทว่าคนที่เคยเจอกู้เจียวต่างรู้กันว่านี่มันไม่ใช่เลย
กู้เจียวเป็นหมอที่อายุน้อยที่สุดในโรงหมอ แต่ฝีมือการแพทย์ของนางไม่มีใครไม่เลื่อมใส
หมอซ่งเห็นว่าไม่เหมาะจะมาอธิบายเรื่องพวกนี้กับคนไข้ แต่เขาก็ปลิ้นปล้อนสู้เถ้าแก่รองไม่ได้ จึงเอ่ยว่า “ยามปกติข้ารักษาให้เด็กเล็กค่อนข้างมาก ประสบการณ์ในด้านนี้จึงมีค่อนข้างมาก แต่หากว่ากันเรื่องฝีมือการแพทย์สูงที่สุดข้านั้นคงไปไม่ถึง แต่ยามนี้แม่นางกู้กำลังยุ่งอยู่ หากพวกเจ้าไม่รีบก็รอที่โถงก่อนได้”
ขันทีได้ยินก็โมโหจนแทบระเบิด ฮ่องเต้แคว้นเหลียงของพวกเจ้ายังไม่กล้าให้หวังเฟยของข้ารอ เจ้าที่เป็นแค่หมอสามัญชนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ข้าเห็นหางกระดกขึ้นฟ้าไปแล้ว!
“ถอยไป” อวี้ชินอ๋องเฟยบอก
ขันที “…ขอรับ”
“ไม่ทราบว่าต้องรอหมอคนนั้นนานเท่าใดรึ” อวี้ชินอ๋องเฟยถามหมอซ่ง
หมอซ่งบอกว่า “ใกล้แล้วขอรับ แค่ผ่าตัดเล็กๆ ไม่นานก็เสร็จแล้ว”
อวี้ชินอ๋องเฟยพยักหน้า “ได้ ข้าจะรอ”
ขันทีกระซิบเสียงเบา “อ๋องเฟย…”
อวี้ชินอ๋องเฟยส่งสายตาให้เขาหุบปาก
ขันทีไม่กล้าส่งเสียงอีก
กู้เจียวไม่ทำให้อวี้ชินอ๋องเฟยรอนาน เพียงหนึ่งเค่อครึ่งก็ออกมา
อวี้ชินอ๋องเฟยเห็นแม่นางน้อยอายุสิบห้านางหนึ่งจึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นว่าเมื่อครู่หมอคนนั้นบอกว่าแม่นางกู้ ไม่ใช่หมอกู้
ทว่า…นี่ก็เด็กเกินไปหน่อย
กู้เจียวชินชากับสายตาสงสัยเช่นนี้แล้ว นางพาคนเข้ามาในห้องตรวจด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วจับชีพจรให้เด็กก่อน จากนั้นก็หยิบไม้กดลิ้นสะอาดอันหนึ่งออกมาจากโหลบนโต๊ะ
“อ้าปาก”
หมิงเอ๋อร์ไม่เคยถูกใครตรวจเช่นนี้มาก่อน จึงค่อนข้างกลัว
อวี้ชินอ๋องเฟยก็มองกู้เจียวอย่างแปลกประหลาดเช่นกัน
กู้เจียวเอ่ยว่า “อันนี้ไม่เจ็บ ข้ากดลิ้นเจ้าไว้จึงจะเห็นลำคอเจ้าได้”
พระชายาได้ยินนางว่ามาเช่นนี้จึงได้วางใจลง “เด็กดี เชื่อหมอนะลูก”
ตอนกู้เจียวเด็กๆ ก็ไม่ชอบให้ใครใช้ไม้กดลิ้นเช่นกัน กดหนักเกินก็ทำให้นางเจ็บ ท่วงท่าของนางจึงทั้งเร็วทั้งเบา หมิงเอ๋อร์ยังไม่ทันเจ็บนางก็เอาไม้กดลิ้นออกแล้ว
ทอนซิลค่อนข้างบวมแดง
กู้เจียวหยิบหูฟังออกมาคล้องหู “คลายเสื้อหน่อย”
อวี้ชินอ๋องเฟยไม่เคยเห็นสิ่งของและการตรวจแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน แต่ก็คิดว่าเป็นแบบฉบับเฉพาะของโรงหมอแห่งนี้ จึงไม่ได้คิดมาก
นางจึงคลายเสื้อของลูกชายออก ทว่าถูกลูกชายจับข้อมือไว้ “หญิงชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน! ข้าไม่ถอดเสื้อผ้าต่อหน้านางเด็ดขาด!”
ตั้งแต่สมัยโบราณมีคำกล่าวที่ว่าชายและหญิงไม่นั่งด้วยกันตั้งแต่เจ็ดขวบ เขาเกือบสิบขวบแล้ว เป็นชายชาตรีแล้ว!
กู้เจียวมองเขาตาเขม็ง “ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องถอด ไม่อยากถอดก็ต้องถอด!”
หยาบคายยิ่งนัก!
หมิงเอ๋อร์ “…”
คนที่มาโรงหมอมีใครบ้างไม่เชื่อฟังหมอ เสื้อหมิงเอ๋อร์จึงโดนถอดสำเร็จ เขามองคนบางคนใช้ของแปลกๆ มาวางตรงหน้าอกเขาแล้วก็ฟังไปฟังมา
เขารู้สึกว่าทั่วร่างตัวเองโดนลูบจนทั่วหมดแล้ว
น่าอับอายนัก!
“ปอดอักเสบน่ะ”
กู้เจียววินิจฉัย
“แล้วมันร้ายแรงหรือไม่” อวี้ชินอ๋องเฟยถามอย่างกังวล
กู้เจียวดึงหูฟังออก “ปอดอักเสบขั้นเบา ไม่นับว่าร้ายแรง กินยาดูก่อน”
อวี้ชินอ๋องเฟยขมวดคิ้ว “แต่เขาไอมาสิบกว่าวันแล้วนะ”
ความหมายของนางคือไอมาสิบกว่าวันจะไม่ร้ายแรงได้อย่างไร
กู้เจียวเข้าใจ แต่กู้เจียวก็ไม่อาจฝืนใจบอกว่าลูกชายเจ้าป่วยหนักน่ากังวลถึงชีวิตได้ โรคปอดอักเสบสำหรับยุคโบราณถือว่าร้ายแรง แต่สำหรับนางเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
นางมียาแก้อักเสบ
กู้เจียวเอ่ยว่า “เชื้อเริ่มแพร่มาถึงปอด ยามนี้ต้องเริ่มกินยาอย่างจริงจัง”
มิฉะนั้นจะต้องให้น้ำเกลือ แต่กู้เจียวไม่ได้บอก
กู้เจียวประทับตราใบสั่งยาที่เขียนเรียบร้อยให้อวี้ชินอ๋องเฟย “ออกไปจ่ายเงินที่โต๊ะคิดเงินได้เลย อีกเดี๋ยวจะเอายาให้พวกเจ้า”
อวี้ชินอ๋องเฟยหยิบใบสั่งยาออกไปด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แม้ว่าแม่นางน้อยคนนี้จะดูเหมือนมีมาดของหมอชรามาก แต่นางไม่ค่อยกล้าเชื่อว่านางจะรักษาโรคของลูกชายได้ง่ายดายเช่นนี้
อวี้ชินอ๋องเฟยพาลูกชายออกไปแล้ว
กู้เจียวก็เปิดกล่องยาใบเล็กออก ด้านในมียาน้ำแก้ไอสำหรับเด็กอยู่
เป็นยาที่สถาบันวิจัยอิสระค้นคว้าและวิจัย ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดีกว่ายาประเภทเดียวกันในท้องตลาด แน่นอนว่าราคาก็แพงขึ้นหลายเท่าเช่นกัน
นางค่อยๆ พบปัญหาหนึ่งว่าทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นในกล่องยาเป็นสิ่งของจากสถาบันวิจัยทั้งสิ้น ไม่มีของในท้องตลาดเลย
นี่มันหมายความว่านางจำต้องใช้สิ่งของของสถาบันวิจัยเท่านั้นอย่างนั้นรึ
หรือว่าตราบใดที่เป็นของจากสถาบันวิจัยนางก็เอามาใช้ได้หมดเลย
จนถึงตอนนี้ในกล่องยาปรากฏแค่ยาที่นางต้องการกับวัสดุสิ้นเปลืองในการผ่าตัดง่ายๆ เท่านั้น พวกเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อะไรพวกนั้นยังไม่มีตอนนี้ มิฉะนั้นนางก็คงผ่าตัดให้กู้เหยี่ยนได้แล้ว
กู้เจียวเอายาแก้อักเสบกับยาน้ำแก้ไอแบ่งใส่ขวดกระเบื้องเรียบร้อย ก็ใส่ช้อนเล็กๆ ขนาดสิบมิลลิลิตรไปให้ด้วย “ยาน้ำกินสามเวลา ครั้งละหนึ่งช้อนชา ยาเม็ดกินวันละสองครั้ง ครั้งละเม็ด หลังอาหาร”
นางหยุดเว้นแล้วมองสีท้องฟ้า “ยามนี้กินได้เลยหนึ่งครั้ง กินอะไรมาหรือยัง”
ประโยคเดียวทำเอาได้สติ วันนี้มัวแต่ห่วงพาลูกชายหาหมอ แม้แต่มื้อเช้าก็ลืมเอาให้เขากิน
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าไม่ได้เตรียมให้ แต่เอามาแล้วหมิงเอ๋อร์ไม่อยากกินจึงวางไว้ด้านข้าง กะว่าอีกเดี๋ยวค่อยกิน
ทว่าครู่ต่อมานางก็ขึ้นรถม้ามาโรงหมอแล้ว ไปๆ มาๆ จนถึงตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เด็กคนนี้ยังไม่ได้กลืนแม้แต่น้ำลายเลย
อวี้ชินอ๋องเฟยมองลูกชายอย่างรู้สึกผิด “หิวแย่แล้วกระมัง แม่ไม่ดีเอง ลืมไปว่าเจ้ายังไม่ได้กินมื้อเช้าเลย”
หมิงเอ๋อร์ป่วยอยู่จึงไม่อยากอาหาร และไม่รู้สึกหิวเลย
ทว่าอวี้ชินอ๋องเฟยกลับไม่อยากให้เสียเวลา จึงล้มเลิกความคิดจะกลับไปกิน กลับไปก็ไม่มีใคร ยามนี้อวี้ชินอ๋องคงยังไม่กลับจากการะทะเลาะกับราชสำนักและขุนนางของแคว้นเจาแน่ๆ
อวี้ชินอ๋องเฟยพาโอรสกลับมาที่ห้องปีกข้างของโรงหมอ แล้วสั่งขันทีให้ไปซื้อขนมอร่อยๆ มากิน ทราบมาว่าโรงหมอมีครัว จึงมอบเงินให้ห้องครัวเตรียมอาหารมาให้
พอกินข้าวแล้ว หมิงเอ๋อร์ก็กินยา ก่อนจะหลับไป
อวี้ชินอ๋องเฟยไม่ได้เสียงดังให้เขาตื่น ปล่อยเขาหลับไป
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยมาถึงยามบ่ายเมื่อใด
ชั้นปฐมวัยกั๋วจื่อเจียนก็เลิกเรียนแล้ว หลิวเฉวียนไปรับเสี่ยวจิ้งคงมาส่งที่โรงหมอ จากนั้นหลิวเฉวียนก็ไปรับกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ ก่อนจะพาไปส่งเรียนงานฝีมือกับอาจารย์หลู่
เสี่ยวจิ้งคงนั่งยองๆ บนพื้นราบที่ลานหลังโรงหมอ ใช้กระบอกไม้ไผ่สอนเสี่ยวเจียงหลีเขียนอักษร
“เจียง นี่คือคำว่าเจียงของเจ้า นี่คือหลี”
“แล้วชื่อพี่ชายข้าเขียนอย่างไรรึ”
“เจียงเหมือนกันกับเจ้า สือเขียนแบบนี้” เสี่ยวจิ้งคงขีดเขียนคำว่าสือตัวโตๆ บนพื้นทราย
เดิมทีลานด้านหลังไม่มีพื้นทราย เสี่ยวจิ้งคงอยากเล่น กู้เจียวจึงปูทรายให้เขา
เสี่ยวเจียงหลีตั้งอกตั้งใจเขียนชื่อพี่ชาย
ชื่อพี่ชายง่าย เขียนครู่เดียวก็เสร็จแล้ว แต่ชื่อนางยาก
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กฉลาด แต่ไม่ใช่อาจารย์ที่มีประสบการณ์ แม้ว่าเขามักจะตรวจการบ้านกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่น แต่สอนไปได้ครึ่งเดียวก็โมโหจนเป็นปลาปักเป้าน้อยแล้ว
สอนเสี่ยวเจียงหลีก็เหมือนกัน
เสี่ยวเจียงหลีเอาแต่เขียนไม่ได้ เขาก็กลายเป็นปลาปักเป้าน้อยอีก
แต่เขาเป็นปลาปักเป้าน้อยสุภาพ ไม่ระเบิดอารมณ์ใส่แม่นางน้อย ทำได้เพียงวิ่งไประบายอารมณ์หลังต้นไม้ใหญ่คนเดียว
“อ๊ากกก! โมโหจะตายแล้ว!”
อวี้ชินอ๋องเฟยไปห้องครัวมา ระหว่างทางมาที่ห้องปีกข้างเห็นเจ้าเด็กน้อยแยกเขี้ยวกางเล็บคำรามอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียว!
เจ้าเด็กน้อยคนนั้นน่ารักยิ่งนัก ศีรษะกลมๆ ใบหน้ารูปไข่แดงระเรื่อ ดวงตาทั้งดำขลับทั้งเป็นประกาย ขนตาก็ทั้งยาวทั้งงอน กำหมัดน้อยๆ ทำท่าชกไปทั่ว ทำเอากลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
อวี้ชินอ๋องเฟยเอ็นดูเสียจนใจสั่น