สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 239 เจ้าหนู
บทที่ 239 เจ้าหนู
นางอดใจเดินไปหาไม่ได้ ก่อนเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้านหลังเจ้าเด็กน้อยว่า “เจ้าหนู พ่อแม่ไปไหนหรือ”
เจ้าหนูอย่างนั้นรึ
เสี่ยวจิ้งคงที่ไม่เคยมีใครเรียกเช่นนี้มาก่อน ร่างน้อยๆ จึงสั่นสะท้าน หันหน้ากลับมามองรอบกายอย่างงุนงง แล้วมองอีกฝ่ายอย่างน่าเอ็นดู “เจ้าเรียก…ข้ารึ”
เหมือนว่าตรงนี้จะไม่มีเด็กคนอื่นอีกแล้วนะ
แต่เจ้าหนู…
ไอ้หยา น่าอายจะตายอยู่แล้ว!
เขาสี่ขวบแล้วนะ!
จู่ๆ ใบหน้าน้อยของเสี่ยวจิ้งคงก็อับอายจนแดงก่ำ ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปใหญ่
อวี้ชินอ๋องเฟยใจอ่อนยวบ นางนั่งย่อตัวลงตรงหน้าเสี่ยวจิ้งคง อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอยู่คนเดียวรึ ครอบครัวเจ้าอยู่ไหนเล่า”
เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะเอ่ยว่า “ครอบครัวข้าทำงานน่ะสิ”
อวี้ชินอ๋องเฟยเอ็นดูจะแย่แล้ว “เจ้าเป็นคนของโรงหมอรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเอามือน้อยๆ ไพล่หลัง พลางพยักหน้า
เสี่ยวจิ้งคงสวมชุดบัณฑิตและหมวกของกั๋วจื่อเจียน เหมือนขุนนางตัวน้อย แต่ต่างตรงที่ผมสั้นเท่านั้น
โครกกก
เสี่ยวจิ้งคงท้องร้องโครกครากขึ้นมาแล้ว
เขาก้มหน้าลงมองท้องน้อยๆ ของตัวเองด้วยสีหน้าโมโห
มาร้องอะไรเอายามนี้ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
อวี้ชินอ๋องเฟยหลุดหัวเราะออกมา นางวางกล่องอาหารไว้บนก้อนหินก้อนหนึ่ง เปิดฝากล่องออกแล้วหยิบขนมเปี๊ยะรูปปูจานเล็กๆ ออกมาให้เขา “เอาไปสิ”
นี่เป็นขนมเปี๊ยะรูปปูที่ซื้อมาจากข้างนอก แต่ปล่อยไว้นานจึงเย็นชืดแล้ว นางจึงเอาไปให้ที่ครัวอุ่นให้
เรื่องแบบนี้ให้ขันทีไปทำให้ก็ได้ แต่นางอยู่ในห้องอุดอู้มาตลอดบ่ายแล้วจึงอยากออกมาเดินเล่น
เสี่ยวจิ้งคงมองขนมสีเหลืองอมส้มพลางสูดน้ำลาย แล้วทอดถอนใจเอ่ยว่า “ขอบคุณยิ่งนัก แต่ข้ากินเนื้อไม่ได้”
เสี่ยวจิ้งคงเคยเห็นสวี่โจวโจวกับฉู่อวี้กินขนมเปี๊ยะรูปปู จึงรู้ว่าด้านในมีเนื้อ
ต่อให้ไม่มีเนื้อ แต่ขนมธรรมดาทั่วไปก็จะใช้น้ำมันหมูเพื่อให้รสชาติที่ดี
เรื่องพวกนี้กู้เจียวเคยบอกมาหมดแล้ว ดังนั้นโดยปกติแล้วเสี่ยวจิ้งคงจึงไม่กินของเรื่อยเปื่อยข้างนอก
อวี้ชินอ๋องเฟยชะงักไป “เหตุใดจึงกินเนื้อไม่ได้ล่ะ”
เจ้าหนูน้อยไม่กล้าบอกว่าตัวเองเมาเนื้อจึงครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “อาจเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนข้าเป็นเณรกระมัง”
อวี้ชินอ๋องเฟยยิ่งฉงนเข้าไปใหญ่ เด็กน้อยน่ารักเพียงนี้นึกไม่ถึงว่าจะเคยออกบวชเรียนมาก่อน
ดังนั้นผมของเขาจึงได้สั้นเช่นนิสินะ
อวี้ชินอ๋องเฟยมองศีรษะน้อยๆ ของเขาพลางถามเสียงนุ่มว่า “เจ้าออกบวชตอนอายุเท่าใดรึ”
เสี่ยวจิ้งคงตอบเอ่ยอย่างจริงใจว่า “เด็กมากนัก อาจารย์บอกว่าข้าเกิดมาก็อยู่ที่วัดแล้ว ข้าโตมาในวัด ดังนั้นจึงได้เป็นเณร”
อวี้ชินอ๋องเฟยเอ่ยต่ออีกว่า “แล้วเหตุใดพ่อแม่เจ้าจึงไม่รับเจ้าลงเขาล่ะ” เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้า “ข้าไม่มีพ่อแม่ ไม่สิ ตอนนี้ข้ามีแล้ว พ่อแม่เจียวเจียวก็คือพ่อแม่ของข้า!”
ตอนที่เขาเอ่ยประโยคนี้ ในแววตาแฝงไปด้วยความตัดพ้อและเศร้าสร้อย เป็นดวงตะวันดูน่ารักยิ่ง
ทว่าอวี้ชินอ๋องเฟยกลับรู้สึกว่าใจตัวเองบีบหน่วงขึ้นมา ราวกับปวดแปลบอยู่เล็กน้อย นางมองไปยังเสี่ยวจิ้งคงแล้วถามด้วยความไม่สบายใจว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงชูนิ้วขึ้น “สี่ขวบ”
อวี้ชินอ๋องเฟยพลันปวดใจขึ้นมา หากลูกนางยังมีชีวิตอยู่ ก็สี่คงขวบเช่นกัน…
หลังจากหมิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา อวี้ชินอ๋องเฟยก็พาหมิงเอ๋อร์กลับมาที่สวนหลวงของราชสำนัก
ระหว่างทางไม่รู้ว่าขันทีตาฝาดไปหรือไม่ เขารู้สึกว่าอารมณ์ของพระชายาหดหู่เป็นพิเศษ
อีกด้านหนึ่ง ณ วังหลวง
อวี้ชินอ๋องเป็นตัวแทนบรรดาทูตแคว้นเหลียงกำลังโต้แย้งกับบรรดาขุนนางแคว้นเจาในตำหนักฉีหลินอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้
นึกไม่ถึงว่าแคว้นเหลียงจะวางแผนใช้วิทยาการปูนขาวมาแลกกับวิทยาการเครื่องสูบลมที่ล้ำหน้าที่สุดของแคว้นเจารวมถึงวิทยาการปูนผสมข้าวเหนียวที่เผยแพร่ไปด้วย
พูดตรงๆ ว่าเทียบกับวิทยาการท่อระบายน้ำที่แคว้นเหลียงเคยให้แคว้นเจาแล้ว วิทยาการปูนขาวนี้นับว่าเป็นวิทยาการใหม่ล่าสุดของแคว้นเหลียงเลยก็ว่าได้
ทว่าแคว้นเจาไม่ต้องการวิทยาการนี้ แคว้นเจามีปูนขาวข้าวเหนียวที่มีประสิทธิภาพกว่านั้นแล้ว!
แลกเปลี่ยนสิ่งเดียวยังไม่พอ ยังจะแลกเครื่องสูบลมด้วย ไม่ละอายใจเลยหรืออย่างไร
ราชสำนักปิติยินดียิ่งที่พวกเขาดูแลควบคุมเครื่องสูบลมได้ทันเวลา มิฉะนั้นแล้วจากท่าทางหน้าไม่อายของแคว้นเหลียงนี้อาจจะแอบขโมยอาจารย์กลับไปจากอำเภอเล็กๆ แล้วย้อนกลับมาแว้งกัดแคว้นเจาเพื่อขโมยอาจารย์พวกเขาก็ได้!
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าโมโหที่สุด ที่น่าโมโหที่สุดคือนึกไม่ถึงว่าแคว้นเหลียงจะเปิดการค้าที่ไม่ยุติธรรมทั้งสองฝ่ายขึ้น ใช้งานฝีมือคุณภาพต่ำของแคว้นเหลียงมาแลกกับผ้าไหมและใบชาชั้นดีของแคว้นเจา
ว่ากันว่าราชเลขาหยวนโมโหจนจนแทบเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น
สีหน้าบรรดาองค์ชายก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ไม่ว่าจะต่อสู้กันภายในเพียงใด แต่กับภายนอกพวกเขาก็ต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอยู่แล้ว
แคว้นเหลียงทำเกินไปแล้วจริงๆ นี่มันเป็นการเจรจาที่ไหนกัน นี่มันปล้นชิงกันอย่างโอหังชัดๆ!
แต่พวกเขาจะทำอะไรได้เล่า
จะโทษก็ต้องโทษที่แคว้นเจาอ่อนแอเกินไป แคว้นเหลียงแข็งแกร่งเกินไป
ถกเถียงกันมาทั้งวัน ขุนนางทั้งสองฝ่ายก็โมโหควันออกหูหมด มีเพียงอวี้ชินอ๋องที่ยังมีท่าทางเอ้อระเหยอยู่ เหมือนไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด คล้ายว่าเข้าใจการเจรจาเป็นอย่างดี
“นี่ก็มืดค่ำมากแล้ว ใต้เท้าทุกท่านกลับไปก่อนเถิด คืนนี้ก็ครุ่นคิดให้ดี ไม่ต้องรีบร้อน อย่างไรเสียข้าก็ยังต้องอยู่ที่เมืองหลวงอีกหลายวัน”
บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ของแคว้นเจาโมโหจนกลอกตาใส่
แน่นอนว่าเจ้าไม่รีบอยู่แล้ว เจ้ามาเพื่อเชือดแกะตัวอ้วนพีโดยเฉพาะ อย่างไรเสียก็ไม่กลัวว่าจะเชือดไม่ได้อยู่แล้ว
อวี้ชินอ๋องไม่สนใจสีหน้าทะมึนดั่งถ่านดำของทุกคน เขาออกจากวังหลวงไปด้วยรอยยิ้ม
ไท่จื่อกับหนิงอ๋องสบตากัน พวกเขาต่างเห็นประกายไฟในแววตาของกันและกัน
การเจรจาครานี้สำคัญยิ่ง ใครสามารถแย่งชิงสิทธิริเริ่มกลับคืนมาจากทางขุนนางแคว้นเหลียงได้ คนนั้นก็จะสามารถยืนยันต่อเสด็จพ่อได้ว่าตัวเองมีความสามารถในการสืบทอดราชบัลลังก์
เนื่องจากรุ่ยหวังเฟยโด่งดังจากงานเลี้ยงต้อนรับ อวี้ชินอ๋องที่ชื่นชอบดนตรีจึงเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อรุ่ยอ๋องและชายา
ฮ่องเต้มองออกจึงได้ให้เจ้าสามไปเป็นผู้ชี้แนะอวี้ชินอ๋อง หลายวันมานี้ล้วนมีเจ้าสามเป็นคนพาอวี้ชินอ๋องเที่ยวเล่นในเมืองหลวงเพื่อแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านที่ดี
แค่มองจากจุดนี้เพียงอย่างเดียว เชื้อสายของหนิงอ๋องก็จะมีโอกาสติดต่อกับอวี้ชินอ๋องมากขึ้น
หลังจากที่รุ่ยอ๋องออกมาจากวังแล้วก็เชิญอวี้ชินอ๋องไปเที่ยวทะเลสาบ
อวี้ชินอ๋องเคยมาที่เมืองหลวงแล้ว และจดจำเรือประดับประดาสวยงามของเมืองหลวงได้เป็นอย่างยอ่างดี จึงอยากไปมาก
ทั้งสองขึ้นเรือหรูสามชั้นที่รุ่ยอ๋องเตรียมการไว้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนหน้า
ทว่าสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือคนทั้งกลุ่มข้ามทะเลสาบไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ห้องปีกข้างของอวี้ชินอ๋องก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมา เปลวเพลิงลุกโหมยิ่ง เพียงไม่นานก็เผาทั่วทั้งเรือจนมอด
เนื่องจากอวี้ชินอ๋องย่างปลากับรุ่ยอ๋องที่ดาดฟ้าเรือ จึงไม่โดนไฟขวางไว้ในห้องปีกข้าง แต่เพราะว่าเรือมอดไหม้หมดแล้ว ทุกคนจึงจำต้องกระโดดลงน้ำหนีตาย
อวี้ชินอ๋องก็เช่นกัน
เที่ยวทะเลสาบอยู่ดีๆ เกือบจะพาตัวเองมาตายเสียแล้ว!
อวี้ชินอ๋องกลับมาอย่างหมดสนุก!
เรือไหม้หมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงได้ไร้หลักฐานให้ตรวจสอบต้นเพลิงได้
เรื่องลอยเข้าวังหลวงมาอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้เรียกรุ่ยอ๋องมาด่าทอยกใหญ่ “ทำงานประสาอะไร ให้เจ้าไปดูแลขุนนาง เจ้ากลับเล่นลูกไม้ก่อเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้! ไม่รู้จักป้องกันไว้ก่อนเลยหรือไร!”
รุ่ยอ๋องน้อยใจยิ่งนัก
เขาสาบานได้ว่าเขาป้องกันไว้แล้ว ไม่รู้ว่าตรวจสอบไปตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วด้วย เพราะกลัวว่าจะมีบางอย่างผิดพลาด ใครจะคาดคิดว่าสุดท้ายก็ยังไฟไหม้อยู่ดี…
รุ่ยอ๋องถูกฮ่องเต้ด่าใส่หน้าโครมๆ เมื่อออกมาจากห้องหนังสือก็เจอหนิงอ๋องที่รอเขาอยู่ข้างนอกตำหนัก
หนิงอ๋องถามเขาอย่างเป็นห่วงว่า “น้องสาม เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
รุ่ยอ๋องขอบตาแดงก่ำ “ข้าไม่เป็นไร…แค่…ข้าทำเรื่องพังหมดแล้ว…เสด็จพ่อบอกว่า…เรื่องทูตข้าไม่ต้องเป็นห่วง ให้ข้าไปคุกเข่าที่ตำหนักฉีเหนียนเสีย”
หนิงอ๋องตบบ่าเขาพลางเอ่ยปลอบว่า “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่ใหญ่จะไปคุกเข่าเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
หนิงอ๋องไปคุกเข่าบนถนนกรวดของตำหนักฉีหนิงเป็นเพื่อนรุ่ยอ๋อง
ตำหนักฉีหนิงเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ใช้สำนึกตน โดยปกติแล้วองค์ชายทำผิดจะให้แค่คุกเข่าที่ห้องหนังสือเท่านั้น หากได้คุกเข่าที่ตำหนักฉีหมิงก็หมายความว่าเรื่องราวนั้นร้ายแรงมาก ฮ่องเต้มิอาจไม่คิดจะอภัยให้ง่ายๆ
รุ่ยอ๋องรีบส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ใหญ่ ข้าทำได้ไม่ดีเอง”
หนิงอ๋องมองเขาพลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นน้องชายข้า เจ้าทำผิดก็เป็นเพราะพี่ใหญ่อย่างข้าไม่สั่งสอนให้ดี”
หนิงอ๋องคุกเข่าด้วยกันกับรุ่ยอ๋อง ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร ใครๆ ก็รู้ว่านิสัยหนิงอ๋องนั้นเขาเป็นคนปกป้องพวกน้องชายเป็นที่สุด
ฮ่องเต้ทอดถอนใจตรัสว่า “ไท่จื่อเฟยเคยไปแคว้นเหลียง ต้องรู้จักบรรดาทูตของแคว้นเหลียงแน่ เรื่องรับแขกก็ให้นางกับเจ้ารองทำก็แล้วกัน”
ไท่จื่อได้รับภารกิจเสี่ยงอันตราย จึงไปสวนของราชสำนักกับไท่จื่อเฟยเพื่อถามไถ่อาการอวี้ชินอ๋องอย่างห่วงใยตลอดทั้งคืน
อันที่จริงอวี้ชินอ๋องไม่ได้เป็นอะไรเลย ต้นเพลิงอยู่ในห้องปีกข้าง เขาอยู่บนดาดฟ้าเรือจึงกระโดดลงทะเลสาบได้เร็ว กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่มีอะไรแล้ว
เขาไม่อยากให้พระชายาเป็นกังวล กะว่าจะเล่าราวคร่าวๆ ให้ฟังก็พอ เข้าห้องมากลับพบว่าชายาของตนสีหน้าแปลกไป
เมื่อบ่ายหมิงเอ๋อร์นอนเยอะ ยามนี้จึงไปเล่นที่สวน อวี้ชินอ๋องเฟยนั่งหดหู่อยู่ข้างหน้าต่างเพียงคนเดียว ด้วยแววตาเหม่อลอย
“ฮูหยิน เป็นอะไรไปรึ” อวี้ชินอ๋องเดินไปหาอย่างวิตก “อาการป่วยของหมิงเอ๋อร์ร้ายแรงหรือ” อวี้ชินอ๋องเฟยหันหน้ามา
อวี้ชินอ๋องจึงได้พบว่าขอบตานางแดงก่ำ เหมือนว่าร้องไห้มา เขารีบเอ่ยว่า “ฮูหยิน! เกิดอะไรขึ้น”
ขอบตาอวี้ชินอ๋องเฟยที่แห้งไปแล้วพลันรื้นน้ำขึ้นมาอีกหน “ท่านอ๋อง…ท่านว่าจะเป็นไปได้หรือไม่…ที่ความจริงแล้วเด็กคนนั้นยังไม่ตาย…”
อวี้ชินอ๋องชะงักไป ก่อนจะเข้าใจว่านางหมายถึงใคร
ทายาทของอวี้ชินอ๋องมีทั้งหมดสามคน ชายสอง หญิงหนึ่ง แต่อันที่จริงล้วนไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสิ้น แต่เป็นลูกของพี่ชายร่วมสายเชลือดของเขา
พี่ชายเขาตายในสงคราม พี่สะใภ้ก็ป่วยตาย เขาจึงเอาหลานทั้งสามคนมาเป็นลูกของตัวเอง หมิงเอ๋อร์เด็กที่สุด ตอนมาที่บ้านเขายังไม่ครบเดือนเลย
เด็กคนนั้นอยู่ในครรภ์ตอนหมิงเอ๋อร์อายุได้สี่ขวบ
ดังนั้นหากว่ากันอย่างจริงจัง เด็กที่ตายก่อนวัยอันควรคนนั้นต่างหากที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา