สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 241.2 รักของพ่อเท่าภูผา
บทที่ 241 รักของพ่อเท่าภูผา
รอยยิ้มของไท่จื่อเฟยเริ่มเจื่อนลง
เรื่องราวนั้นเริ่มขึ้นจากตอนที่พวกเขากำลังเล่นปิดตาไล่จับกัน
ซึ่งองค์ชายหมิงเอ๋อร์เป็นคนต้นคิด เพราะเขาเคยเห็นท่านปู่ละเล่น้แบบนี้กับเหล่าพระสนม แล้วเขาก็จำมาอีกที
ทั้งสี่คนโอน้อยออกว่าใครจะได้ปิดตาคนแรก ผลก็คือฉินฉู่อวี้ได้ไป
จากนั้นฉินฉู่อวี้ก็เริ่มวิ่งไล่จับโดยที่ถูกปิดตาไว้ เสี่ยวจิ้งคงและโจวโจวยังไม่เข้าใจกติกาการเล่นนัก ก็เลยเผลอหัวเราะออกมาจนทำให้ฉินฉู่อวี้จับพวกเขาได้ ขณะที่หมิงเอ๋อร์ยังไม่ถูกจับได้ เพราะคนที่ถูกจับคนแรกจะต้องนับหนึ่งถึงร้อย หากนับเสร็จแล้ว ยังไล่จับไม่หมดก็เท่ากับว่าสามคนที่เหลือเป็นอันต้องแพ้ไป
ส่วนคนที่โดนจับคนแรกจะต้องกลายเป็นคนที่ถูกปิดตาต่อ
ซึ่งก็คือสวีโจวโจว
ฉินฉู่อวี้เองก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เลยถูกสวีโจวโจวจับได้
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงที่วิ่งล้มแล้วล้มอีก ก็เลยถูกจับได้
หมิงเอ๋อร์ยังคงชนะต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเล่นกี่ตา หมิงเอ๋อร์ก็ไม่เคยถูกจับได้เสียที
พอถึงตาเสี่ยวจิ้งคงถูกปิดตา กลายเป็นว่า คนที่เสี่ยวจิ้งคงจับได้คนแรกก็คือหมิงเอ๋อร์
หมิงเอ๋อร์นึกว่าเสี่ยวจิ้งคงโกง
“ข้าไม่ได้โกง!” เสี่ยวจิ้งคงดึงผ้าปิดตาลงพลางเอ่ยหนักแน่น
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ตรงนี้”
“ก็เสียงของเจ้าอย่างไรเล่า!” เสี่ยวจิ้งคงหมายความว่าเขาได้ยินเสียงของหมิงเอ๋อร์
“ข้าไม่ส่งเสียงเลยนะ!” หมิงเอ๋อร์มั่นใจว่าตัวเองระวังไม่ให้มีเสียงเกิดขึ้นแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงโกรธจนย่ำเท้าไปมา “เจ้ามีเสียง! ก็เจ้ามีเสียง! เจ้าหายใจ! ตั้งห้าครั้ง! หายใจเข้าสามรอบหายใจออกสองรอบ!”
ด้วยความที่เสี่ยวจิ้งคงถูกจับให้ฝึกสมาธิตั้งแต่เด็ก แม้แต่เสียงใบไม้ปลิวเขาก็ได้ยิน แล้วนับประสาอะไรกับเสียงลมหายใจของคน
แต่หมิงเอ๋อร์ก็ยังไม่ยอมเชื่อเขา!
“ข้า รู้ ว่า เจ้า โกง!”
สวีโจวโจวและฉินฉู่อวี้ยืนหยัดอยู่ข้างเสี่ยวจิ้งคง
“เสี่ยวจิ้งคงเป็นคนเก่งมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว!” สวีโจวโจวเอ่ย
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ! เขาทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ ! ไม่เชื่อก็ลองวัดกันดูสิ!” ฉินฉู่อวี้เอ่ยเสริม
และจากนั้น เรื่องราวก็เริ่มบานปลายไปเรื่อยๆ
พวกเขาเริ่มแข่งกันด้านอื่น ทั้งคัมภีร์ซานจื้อจิง เชียนจื้อเหวิน กลอนสามร้อยบท ไปจนถึงคัมภีร์ซื่อชูหวู่จิง
เริ่มแรกก็ท่าดีกันอยู่หรอก แต่พอช่วงหลัง หมิงเอ๋อร์เริ่มหมดแรง ขณะที่เสี่ยวจิ้งคงยังไหวอยู่
พวกขันทีนางกำนัลเดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นก็นึกว่าพวกเขากำลังท่องหนังสือกันอยู่ ก็เลยไม่ได้เข้าไปห้าม
พอหมิงเอ๋อร์เริ่มท่องต่อไม่ไหวแล้ว แต่เสี่ยวจิ้งคงกลับร่ายออกมาอย่างไม่มีหยุดหย่อน ในตอนนั้นเอง หมิงเอ๋อร์ก็เริ่มบันดาลโทสะ จึงผลักเสี่ยวจิ้งคงให้ล้มลงพื้น
เสี่ยวจิ้งคงล้มลงบนพื้นหญ้า แม้จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่ก็มึนงงเอาเรื่องเลยทีเดียว
สวีโจวโจวจะไม่ทนอีกต่อไป
พลางนึกแค้น บังอาจนัก มาแกล้งเพื่อนของเขาได้อย่างไร เดี๋ยวจะสั่งสอนจนกว่าจะคลานหมอบเลยคอยดู!
จากนั้นสวีโจวโจวก็ปล่อยหมัดใส่หมิงเอ๋อร์ จนหมิงเอ๋อร์เซล้มลงไปกับพื้น
เหล่านางกำนัลและขันทีต่างรีบเข้ามาห้ามปราม แต่ก็ไม่ทันการ เพราะองค์ชายตุ้ยนุ้ยอย่างฉินฉู่อวี้ก็ดันร่วมวงไปด้วยเสียแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงตัวเล็กเกินกว่าจะเข้าไปร่วมด้วย ก็เลยใช้วิธีเกาะขาของหมิงเอ๋อร์เพื่อไม่ให้เขาใช้ขาทำร้ายฉินฉู่อวี้และสวีโจวโจว
เด็กสามคนนี้แรงเยอะใช่เล่น
แน่นอนว่าฉายาหัวโจกแห่งกั๋วจื่อเจียนไม่ใช่ได้มาง่ายๆ
รู้ตัวอีกที หน้าของหมิงเอ๋อร์ก็มีแต่รอยบวมช้ำเต็มไปหมด
ตัดภาพมาที่เด็กอีกสามคนซึ่ง…แทบไม่มีรอยขีดข่วนอะไรเลย!
อวี้ชินอ๋องเฟยนอนตากแดดจนเผลอหลับไป ก็เลยไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าลูกชายของตัวเองฟกช้ำดำเขียวบวมเป่งไปทั้งตัวแล้ว
ไท่จื่อเฟยรีบเข้าไปอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ไม่มีการตีใส่ไข่ใส่สีและปกปิดอะไรทั้งสิ้น
ไท่จื่อเฟยทำใจไว้แล้วว่าอวี้ชินอ๋องเฟยจะต้องเดือดจัดจนความสัมพันธ์พวกเขาขาดสะบั้นเป็นแน่แท้ ทว่า อวี้ชินอ๋องเฟยกลับเอ่ยกับขันทีอย่างใจเย็น “พาหมิงเอ๋อร์ไปเปลี่ยนชุดก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีพาหมิงเอ๋อร์ออกจากตรงนั้น
อวี้ชินอ๋องเฟยไม่เจรจาหรือทำโทษใครต่อหน้าลูกชาย
ส่วนองค์ชายหมิงเอ๋อร์เดินไปทีก็หันกลับมามองพระมารดาของตนที
ที่น่าประหลาดใจก็คือ ท่านแม่ของเขาไม่ได้ทำโทษเจ้าเด็กสามคนนั้นแต่อย่างใด แต่กลับโน้มตัวลงแล้วใช้ผ้าเช็ดเข้าที่ใบหน้าของเจ้าเด็กหัวกลมตัวเล็กนั่น
อีกทั้งยังซุบซิบอะไรกันอีกด้วย และเขาไม่ได้ยิน รู้แค่ว่าท่าทีของท่านแม่ของเขานั้นช่างดูอ่อนโยนยิ่งนัก และนั่น มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าไท่จื่อเฟยจะต้องสั่งสอนฉินฉู่อวี้อยู่แล้วแบ้ส
แต่ก่อนฉินฉู่อวี้เคยเป็นเด็กขี้ขลาด แต่บัดนี้ เขากลับยืนหยัดต่อสู้เพื่อเพื่อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น!
พอเรื่องนี้ถึงหูฮ่องเต้เข้า ก็อดไม่ได้ที่จะทรงลงโทษไท่จื่อและไท่จื่อเฟยที่ไม่สั่งสอนเขาให้ดี
ส่วนสวีโจวโจว ราชเลขาฝ่ายทหารถึงกับใจหายวาบ และรีบมารับเจ้าลูกชายกลับเรือนอย่างกล้าๆ กลัวๆ
จะเหลือก็แค่เสี่ยวจิ้งคง
ด้วยความที่เขาไม่ได้บอกใคร ก็เลยไม่มีใครมารับเขากลับไป
เสี่ยวจิ้งคงเอามือกุมหัว ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง มีแวบนึงที่เขาคิดขึ้นมาว่าโลกทั้งโลกกำลังทอดทิ้งเขา
เขาคิดถึงเจียวเจียว
จมูกของเขาก็เริ่มแสบๆ
ทันใดนั้นเอง เงาของใครบางคนก็ได้ปรากฏขึ้น
“ร้องไห้ขี้มูกโป่งรึ”
เสียงทุ้มแหบในลำคอดังขึ้นเหนือหัวของเขา
“ข้าไม่ได้ร้องสักหน่อย!”
เสี่ยวจิ้งคงเถียงกลับ พลางเงยหน้าขึ้น ก็พบใบหน้าอันคุ้นเคยที่แสนจะหล่อเหลา ใบหน้าที่เขาเคยพบเจอที่สถานีพักม้า
ท่านลุงสุดหล่อนี่เอง
เซวียนผิงโหวใช้นิ้วเกี่ยวคอเสื้อของเจ้าตัวเล็กขึ้น จนร่างของเสี่ยวจิ้งคงลอยอยู่เหนือพื้น
ก่อนจะตกลงมาบนอ้อมอกของเซวียนผิงโหว
ขันทีและนางกำนัลที่อยู่ตรงนั้นถึงกับทำหน้าตื่นตะลึง
เมื่อครู่นี้พอเห็นว่าเซวียนผิงโหวเดินมา ก็ว่าจะย่อตัวคำนับให้ แต่เซวียนผิงโหวกลับยกมือห้ามไว้ แค่เขาโผล่มาที่นี่ก็น่าตกใจพอแล้ว ใครจะไปนึกกันว่าคนอย่างเขาอยู่ๆ จะเดินเข้ามาอุ้มเจ้าตัวเล็กนี่ไว้ในอ้อมอกเสียอย่างนั้น
พวกเขาได้ยินมาว่าเด็กคนนี้เป็นสามัญชน พี่สาวของเขาเป็นหมอหญิง
เหตุใดเซวียนผิงโหวถึงได้มาทำดีกับสามัญชนเช่นเจ้าเด็กนี่ล่ะ
เดิมทีเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้รู้สึกลำบากใจอะไรนัก เขาแค่เริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงกู้เจียว พอเซวียนผิงโหวมาทำแบบนี้กับเขา ความรู้สึกลำบากใจก็ยิ่งถาโถมเข้ามาหนักกว่าเดิม
ท่านลุงคนหล่อคนนี้มีกลิ่นอายอะไรบางอย่าง แต่เสี่ยวจิ้งคงยังแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นกลิ่นอายเดียวกันกับพี่เขยตัวแสบ
แต่เป็นความรู้สึกแปลกๆ ที่ทั้งลำบากใจ และสบายใจในคราวเดียวกัน
ความรู้สึกนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ต่อหน้าคนที่เราห่วงใย
เสี่ยวจิ้งคงขึ้นไปนั่งบนไหล่ของเขา เอามือคว้าเสื้อเขาไว้ พยายามไม่ให้ท่านลุงสุดหล่อเห็นน้ำตาของเขา
“อยากร้องก็ร้องให้เต็มที่เลยสิ” เซวียนผิงโหวเอ่ย
“ไม่ร้อง!”
พอเสี่ยวจิ้งคงส่ายหัว
น้ำตาที่เอ่อล้นอาบแก้มก็ร่วงหล่นลงมา
เซวียนผิงโหว “…”
เซียนผิงโหวอุ้มเจ้าเล็กขึ้นรถม้าไป
จู่ๆ นางกำนัลเอ่ยขึ้นว่า “เรียนท่านโหว ไท่จื่อเฟยทรงมีรับสั่งว่าต้องรอให้ผู้ปกครองของเด็กคนนี้มารับเท่านั้นเจ้าค่ะ พวกเขาแจ้งข่าวให้ เอ่อ…”
เซวียนผิงโหวถลึงตาใส่นางกำนัลหนึ่งที จนนางกำนัลคนนั้นเงียบไป
กลิ่นอายของเซวียนผิงโหวเหมือนกันกับของเซียวลิ่วหลัง ซึ่งอยู่ในสายเลือดของพวกเขา
เสี่ยวจิ้งคงเองก็มีกลิ่นอายของเซียวลิ่วหลังเองเหมือนกัน แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขานอนด้วยกันทุกคืนต่างหาก
จึงไม่แปลกที่เซวียนผิงโหวจะอุ้มเสี่ยวจิ้งคงไว้ในอ้อมอกด้วยความรู้สึกสบายใจ
สายสัมพันธ์ของพวกเขาจึงยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นมาอีกขั้น
หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว เซวียนผิงโหวก็ได้เอ่ยถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แต่เสี่ยวจิ้งคงกลับไม่ตอบเขา
“เจ้าไม่พูด ระวังข้าจะไม่ช่วยปิดเป็นความลับนะ” เซวียนผิงโหวหัวเราะแห้งๆ
เสี่ยวจิ้งคงจึงจำยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
เซวียนผิงโหวไม่ได้สนใจตอนที่พวกเขาแข่งท่องกลอนอะไรนั่นกัน แต่เขากลับสนใจต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างมาก “เจ้าบอกว่า เจ้าได้ยินเสียงลมหายใจของคนได้อย่างชัดเจนอย่างนั้นรึ เช่นนั้น ตอนนี้ข้าหายใจแล้วกี่ครั้ง”
เสี่ยวจิ้งคงนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “เจ็ดครั้ง หายใจเบาๆ หกครั้ง หายใจแรงอีกหนึ่งครั้ง”
เซวียนผิงโหวสูดปากลึก ก่อนจะหรี่ตามองเจ้าตัวเล็ก
พลางนึกในใจ เจ้าเด็กนี่น่าสนใจไม่เบา
ตัดภาพไปที่อวี้ชินอ๋องที่ได้เดินทางมารับพระชายาและบุตรชายกลับวังเป็นที่เรียบร้อย
หมิงเอ๋อร์หลับไปแล้ว
อวี้ชินอ๋องเฟยหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เขา
“เด็กคนนั้นรึ” อวี้ชินอ๋องเอ่ยถามกะทันหัน
ขณะที่เขากำลังไปรับอวี้ชินอ๋องเฟยและหมิงเอ๋อร์ ก็ดันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพอดี เด็กสามคนที่กำลังรุมหมิงเอ๋อร์นั้น มีทั้งองค์ชายแคว้นเจา บุตรของขุนนาง ส่วนอีกคนหนึ่ง ได้ยินมาว่าเป็นสามัญชนอายุสี่ขวบเท่านั้น หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มใช้ได้เลยทีเดียว
ถ้าเขาไม่ห้ามไว้ ป่านนี้อวี้ชินอ๋องเฟยคงพาเด็กคนนั้นกลับมาด้วยแล้ว
“ใช่เพคะ” อวี้ชินอ๋องเฟยเอ่ยในลำคอ “ท่านเองก็เห็นแล้วใช่ไหมเพคะ เขาคือลูกของพวกเรา! ข้าเคยไปสืบมาแล้ว เขาเกิดเดือนสิบสอง! เหมือนกันกับลูกชายของเรา!”
อวี้ชินอ๋องเริ่มมีอาการใจสั่น
เขาหลงรักเด็กน้อยคนนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น
จะใช่ลูกของพวกเขาจริงๆ อย่างนั้นรึ ลูกของพวกเขารอดมาได้อย่างนั้นรึ
ถ้าจะให้พิสูจน์กันก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร พวกเขาต้องไปยังหลุมฝังศพของ แล้วเปิดดูข้างในโลงให้รู้กันไปเลย
แต่นั่นก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเสียทีเดียว
แต่เพื่อเป็นการยืนยัน อวี้ชินอ๋องจึงกัดฟันตัดสินใจเดินทางไปยังหลุมฝังศพ
เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าบริเวณฮวงซุ้ยแห่งหนึ่ง และแล้วสั่งให้ทหารช่วยขุดหีบศพขึ้นมา
ขณะที่ทหารกำลังจะเปิดหีบศพนั้น จู่ๆ เขาก็เอ่ยห้าม “ช้าก่อน!”
“ท่านอ๋อง” เหล่าทหารมองเขาอย่างไม่พอใจ
อวี้ชินอ๋องเดินเข้าไปใกล้ๆ หีบศพ “ข้าขอทำเอง”
เขายื่นมือไปข้างหน้า สัมผัสโลงศพอย่างช้าๆ แล้วหลับตา หายใจลึก ก่อนจะเปิดฝาโลงออก