สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 245.2 ความจริง (2)
บทที่ 245 ความจริง (2)
อวี้ชินอ๋องเฟยถึงกับชะงัก “เพราะ…เพราะอะไรกัน เสี่ยวจิ้งคงไม่เห็นชอบรึ”
กู้เจียวพูดออกไปตรงๆ “เขาไม่เห็นชอบ ข้าเองก็ไม่เห็นชอบ”
อวี้ชินอ๋องเอ่ยเสียงแข็ง “เรื่องนี้เกรงว่าจะมิใช่กงการอะไรของเจ้าที่จะมาตัดสินใจได้ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเจาก็ไม่มีสิทธิ์!”
อวี้ชินอ๋องเฟยเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงรีบพูดปราม “ท่านพูดกับนางดีๆ หน่อยสิ” ก่อนจะหันมาทางกู้เจียวต่อ “แม่นางกู้ อย่าเพิ่งถือโทษโกรธเคืองพวกเราเลยนะ เป็นความผิดของพวเราเองที่ไม่ได้ให้เวลาพวกเจ้าได้ทำใจ…หากเสี่ยวจิ้งคงไม่ยินยอม ข้า ข้าจะรอเขา…ข้าจะอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ รอให้เขาเปลี่ยนใจ แล้วถึงจะพาเขากลับแคว้นเหลียง…หากเจ้ารู้สึกอาลัย ถ้าเจ้าตกลงล่ะก็ จวนอวี้ชินอ๋องยินดีต้อนรับเจ้าเสมอเลยนะ ข้าจะดูแลเจ้าราวกับเป็นบุตรแท้ๆ …”
นี่เป็นวิธีที่อวี้ชินอ๋องเฟยพอจะประนีประนอมให้ได้แล้ว
นางรอลูกได้ แม้วันนี้ลูกยังไม่ยอมรับนาง นางก็จะรอ ต่อให้เป็นเดือน เป็นปี นางก็ยอม
แต่นางจะไม่ล้มเลิก
เพราะนั่นคือลูกของนาง!
กู้เจียวนิ่งไปสักัพัก ก่อนจะหันไปทางอวี้ชินอ๋องเฟย “ท่านไม่ต้องรอหรอก”
ดวงตาอวี้ชินอ๋องเฟยเบิกกว้าง “เจ้าเห็นด้วยแล้วรึ”
เด็กสาวส่ายหัว
อวี้ชินอ๋องที่รู้แล้วว่ากู้เจียวกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา ก็รีบตะโกนแย้งขึ้นทันควัน “เจ้าเงียบเสียที!”
มีหรือกู้เจียวจะกลัวคนอย่างเขา
กู้เจียวมองเข้าไปที่ดวงตาของอวี้ชินอ๋องเฟย ก่อนจะเอ่ย “เสี่ยวจิ้งคงไม่ใช่ลูกของท่านอ๋องเฟย ไม่มีความจำเป็นที่ท่านจะต้องรอเขา”
อวี้ชินอ๋องเฟยส่ายหัว “ไม่ เขาคือบุตรของข้า! ลูกชายข้า! เขาอายุสี่ขวบไม่ใช่เหรอ เกิดเดือนสิบสอง ลูกชายข้าก็เหมือนกัน! แล้วไหนจะ…ไหนจะ ข้าเคยเจอเขา ข้าตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกพบ…เขาต้องเป็นลูกของข้าสิ…”
ความชอบก็เป็นพรหมลิขิตอย่างหนึ่ง
กู้เจียวมองเข้าไปในดวงตาอ๋องเฟยอย่างแน่วแน่อย่างไม่หลบเลี่ยง
อวี้ชินอ๋องเฟยได้แต่รู้สึกหัวใจสลาย
อวี้ชินอ๋องรีบดึงร่างของคนรักไปไว้ข้างหลัง เพื่อไม่ให้พวกเขาสบตากัน
ก่อนจะใช้สายตาอำมหิตจ้องเข้าไปที่ใบหน้าของกู้เจียว “เจ้าพูดอะไรของเจ้า! เขาเป็นลูกของข้ากับอ๋องเฟยนะ!”
“ถ้าเขาเป็นลูกของท่านจริง แล้วนี่คืออะไร”
พอกู้เจียวเอ่ยจบ นางก็คว้าสิ่งที่ดูคล้ายผ้าอ้อมแต่มีสภาพเก่าและมีอะไรบางอย่างถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้นออกมา
อวี้ชินอ๋องเริ่มหน้าถอดสี
แววตาของเขาจากที่ไม่เป็นมิตรอยู่แล้วก็เปลี่ยนไปในทางที่แย่ลงกว่าเดิม หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยรอยย่นแห่งความโกรธแค้น จากนั้นเขาพยายามจะเข้าไปคว้าห่อผ้าอ้อมนั้นจากมือของกู้เจียว
แต่กลับคว้าน้ำเหลว
กู้เจียวปราดเปรียวกว่าที่คิด นอกจากจะหลบเขาได้แล้ว ยังเดินอ้อมไปที่ด้านหลังตรงที่อ๋องเฟยยืนอยู่อย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ย “อ๋องเฟยจำผ้าอ้อมผืนนี้ได้ใช่ไหม”
อวี้ชินอ๋องเฟยถึงกับพูดไม่ออก
แน่นอนว่านางต้องจำผ้าอ้อมผืนนี้ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นผ้าที่นางเลือกเองกับมือ เพื่อเอามาใช้ห่อร่างของทารกที่เพิ่งเกิดใหม่ นอกจากนี้ นางยังปักปักลายดอกไม้เล็กๆ สองดอกบนผ้าอ้อมด้วย
แม้แต่ในความฝัน นางก็มักจะเห็นทารกน้อยที่ลาโลกไปถูกห่อหุ้มด้วยผ้าอ้อมผืนนี้
เพียงแต่สีของมันดูซีดและเก่าลงไปกว่าตอนนั้นมากพอสมควร
แววตาอวี้ชินอ๋องเฟยเริ่มแข็งกร้าว “แม่นางกู้ได้ผ้าอ้อมผืนนี้มาจากที่ไหนกัน แล้วในนั้นคือ…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ อวี้ชินอ๋องก็เดินเข้ามาแทรกระหว่างกลางสตรีทั้งสอง แล้วกัดฟันพูดกับกู้เจียวว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าทำมันขึ้นมา! ผ้าอ้อมแบบนี้มีขายเกลื่อนทั้งแคว้น! เจ้าต้องการจะบอกอะไรรึ”
กู้เจียวเอ่ยหน้านิ่ง “เป็นอย่างที่ท่านว่านั่นแล ผ้าแบบนี้มีอยู่ถมเถไป แต่ของในนี้สิที่มีอยู่หนึ่งเดียว ในเมื่อท่านคิดว่าข้าหลอกพวกท่านอยู่ ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะเผามันทิ้งเสีย!”
พอกู้เจียวเอ่ยจบ ก็โยนห่อผ้าลงบนพื้นพร้อมกับราดน้ำมันตะเกียงและจุดไฟเผามันต่อหน้าต่อหน้าพวกเขา
ผ้าอ้อมนผืนนั้นติดไฟขึ้นในทันใด!
อวี้ชินอ๋องหน้าเสียเสียยิ่งกว่าเดิม
อวี้ชินอ๋องพยายามบอกตัวเองให้สงบสติอารมณ์และอย่าถูกเด็กสาวคนนี้หลอก ใครคาดคิดว่านางคนนี้จะโหดเหี้ยมถึงขั้นเผาโครงกระดูกของทารก!
ระหว่างที่ไฟโหมกระหน่ำ ชิ้นส่วนของกระดูกสีขาวถูกเปิดเผย ทำให้อวี้ชินอ๋องไม่สามารถแสร้งทำเป็นสงบได้อีกต่อไป เขารีบวิ่งเข้าไปฉีกผ้าอ้อมที่ไหม้ออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นกระดูกเล็กๆ ที่ถูกห่อในนั้น
เมื่อเห็นโครงกระดูกที่กองบนพื้น ใบหน้าของอวี้ชินอ๋องก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธและความเจ็บปวด!
เขารีบวิ่งไปที่โครงกระดูกแล้วถอดเสื้อออกมาเพื่อจะห่อมันไว้โดยที่ไม่สนใจว่าที่จริงเขาต้องเล่นงานกู้เจียวก่อน แต่พอเขาสัมผัสเข้าไปที่กระดูกเหล่านั้น กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
นี่มันไม่ใช่กระดูกจริงๆ นี่
นี่มันเป็นไม้ต่างหาก!
ใช่แล้วล่ะ และนี่ก็คืองานฝีมือที่กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงนั่งหลังขดหลังแข็งทำมันขึ้นมาทั้งคืน
แม้ฝีมือของพวกเจาจะเทียบกับกู้เสี่ยวซุ่นไม่ได้ แต่พอทำออกมาก็พอเห็นเป็นเค้าเป็นโครงปากนิดจมูกหน่อยอยู่ ดูเผินๆ ยังไงก็โครงกระดูกไม่ผิดแน่ๆ
เพียงแต่ว่าระหว่างที่ทำนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นบ้าง เพราะว่ากู้เฉิงเฟิงเป็นคนกลัวผี ทำไปก็เกือบจะเป็นลมไปอยู่ตลอดเวลา
กู้เจียวแทบไม่ได้เข้าไปแตะต้องของที่อยู่ในโลงศพ แม้แต่ผ้าอ้อมนั่นก็สั่งทำขึ้นมาใหม่
และแล้ว อวี้ชินอ๋องก็ติดกับจนได้
เจ้าเด็กนี่ กล้าดียังไง! ขนาดฮ่องเต้แคว้นเจายังไม่กล้าเลย!
ต่อให้อวี้ชินอ๋องจะแก้ตัวอย่างไรก็คงไม่ทันเสียแล้ว
อวี้ชินอ๋องเฟยไม่ใช่คนโง่ เหตุใดนางจะดูไม่ออกถึงการกระทำของพระสวามีที่เข้าไปห่อโครงกระดูกอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนั้น
ร่างกายของเธอเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็วราวกับดอกไม้ในฤดูหนาว ทันใดนั้น ดวงตาของเธอก็หมดเรี่ยวแรง ตัวสั่น และเกือบจะล้มลงกับพื้น
อวี้ชินอ๋องรีบโยนเศษไม้ในมือทิ้ง เดินไปอย่างรวดเร็ว พยุงร่างของอ๋องเฟยที่กำลังแหลกสลาย “นั่นมันไม่ใช่กระดูกของเด็ก…มันทำจากไม้…เจ้าไม่ต้องเสียใจนะ…เจ้า ..เจ้าฟังคำอธิบายข้าก่อน … ”
น้ำตาของอวี้ชินอ๋องเฟยไหลพรากอย่างไม่ขาดสาย
เรื่องที่กู้เจียวควรจัดการก็เป็นอันสิ้นสุดลง ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของพวกเขาแล้ว
อวี้ชินอ๋องเฟยช่างน่าสงสารยิ่งนัก ที่นางเสียใจไม่ได้เป็นเพราะกู้เจียว แต่เป็นเพราะ อวี้ชินอ๋องต่างหาก
อวี้ชิงอ๋องเฟยต้องมาเจ็บปวดกับการสูญเสียลูกอีกครั้ง ความเจ็บปวดครั้งนี้มันช่างยากเกินกว่าจะรับไว้ยิ่งนัก เพราะครั้งนี้นางคาดหวังไว้สูงมากๆ
นางขังตัวร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว
หมิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นก็ได้ยินเสียงสะอื้นของมารดา
ตั้งแต่เขาจำความได้ เขาไม่เคยเห็นท่านแม่โศกเศร้าเช่นนี้มาก่อน เขาใส่รองเท้าแล้วเดินออกไป แล้วเจอกับท่านพ่อที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องท่านแม่ด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“เรื่องเสี่ยวจิ้งคง ข้าผิดเอง…ข้าไม่ควรทำเช่นนั้น…ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง”
เสี่ยวจิ้งคงงั้นรึ
คนที่จะมาเป็นน้องชายของเขาน่ะหรือ
“พวกเรายังมีหมิงเอ๋อร์นะ…ต่อให้เจ้าไม่คิดถึงตัวเอง แต่อย่างน้อย เจ้าต้องคิดถึงหมิงเอ๋อร์บ้างสิ…”
ท่านพ่อพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
หรือว่า พวกเขาจะไม่พาน้องชายกลับวังแล้ว เขาไม่ยอมกลับไปด้วยกันสินะ
ดีจริงๆ
ถ้าไม่มีน้องชาย ท่านแม่ก็จะเป็นของเขาเพียงผู้เดียว
แต่ว่า…ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกดีใจเลย
พอเห็นท่านแม่เสียใจ เขาก็เสียใจด้วย
นัยน์ตาหมิงเอ๋อร์เริ่มรื้นขึ้นๆ ความรู้สึกแสบจมุกเริ่มถาโถมเข้ามา
เขาปาดน้ำตาตัวเองทิ้ง กัดฟัน แล้ววิ่งออกไปข้างนอก!