สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 246 พี่น้อง
บทที่ 246 พี่น้อง
หมิงเอ๋อร์รู้วิธีลัดเลาะเพื่อหลบพวกทหารยาม ไม่นานเขาก็เดินพ้นเขตสวนหลวง และออกมาทางถนนใหญ่ที่มีคนและรถม้าวิ่งเดินกันให้ขวักไขว่ สักพัก เขาเห็นว่ามีรถม้าและสารถีกำลังจอดรอลูกค้าอยู่ หมิงเอ๋อร์ก็รีบวิ่งเข้าไปหา “ไปเมี่ยวโส่วถัง!”
สารถีมองเขาด้วยสายตาประหลาด
หมิงเอ๋อร์ยื่นตราพู่ที่แขวนอยู่ตรงเอวให้สารถีดู “อ่ะนี่!”
ตรานั้นทำมาจากหยกไขแพะชั้นดี แม้สารถีจะแยกแยะไม่ได้ว่าหยกนั้นเป็นของแท้หรือปลอม แต่มีลิ่มทองคำห้อยอยู่ที่พู่ของจี้หยก ซึ่งดูก็รู้ว่าเป็นทองคำแท้
สารถีเห็นดังนั้นก็ทำหน้าเบิกบาน “มา มา มา พ่อหนุ่มน้อย ขึ้นรถมาเลย! เมี่ยวโส่วถังใช่ไหม ตรงถนนเสวียนอู่ใช่ไหม รับรองว่าท่านจะไปถึงโดยสวัสดิภาพ!”
“ข้าขอเร็วๆ เลยนะ!” หมิงเอ๋อร์เอ่ยกับสารถี
สารถีหัวเราะ “ได้สิ เอาแบบเร็วทันใจเลย!”
เป็นโชคดีของหมิงเอ๋อร์ที่เจอกับสารถีที่ใช้ม้าวิ่งจริงๆ ไม่ใช่ลาหรือล่อแบบที่คนทั่วไปใช้กัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ทันใจเขาแน่ๆ
อีกทั้งสารถีคนนี้เองไม่ใช่พวกหลอกลวง
ไม่นานรถม้าก็พาเขามาจอดส่งหน้าเมี่ยวโส่วถัง
ตอนที่หมิงเอ๋อร์ลงจากรถม้า เขาเริ่มมาอาการไอเจ็บคอเล็กน้อย
เขารีบออกมาจนลืมทานยาไปเสียสนิทเลย
คนที่โรงหมอจำเขาได้ หนึ่งในผู้ช่วยของโรงหมอจึงรีบเข้าไปทักทาย “ท่านชายน้อย มาหาหมอหรือขอรับ แล้วพ่อกับแม่ท่านล่ะ ไม่มาด้วยหรือ”
หมิงเอ๋อร์ไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวจิ้งคงอยู่ไหน”
หมิงเอ๋อร์เป็นถึงพระโอรสของท่านอ๋อง มีศักดิ์เป็นหลานพระเจ้าแผ่นดินแคว้นเหลียง ความเป็นราชนิกุลอยู่ในสายเลือดของเขา สายตาที่ดุดันและแน่วแน่ของหมิงเอ๋อร์ทำเอาผู้ช่วยหมอถึงกับผงะ
“ท่านหมายถึงน้องชายของแม่นางกู้ใช่หรือไม่ วันนี้เขาไม่ได้มาที่โรงหมอ น่าจะกำลังเรียนหนังสืออยู่นะขอรับ”
“เขาเรียนที่ไหน” หมิงเอ๋อร์ถาม
“ที่กั๋วจื่อเจียนขอรับ” ผู้ช่วยเอ่ยตอบ
“ไปยังไง” หมิงเอ๋อร์ถามต่อ
“เดินไปข้างหน้า พอถึงร้านขายผ้าแล้วเดินต่อไปทางทิศตะวันตกอีกนิดก็ถึงขอรับ”
พอผู้ช่วยเอ่ยจบ หมิงเอ๋อร์ก็รีบพุ่งตัวออกไปโดยทันที
ผู้ช่วยถึงกับปาดเหงื่อ
และแล้ว หมิงเอ๋อร์ก็เดินมาถึงกั๋วจื่อเจียน
ด้วยความที่ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน เขาจึงเข้าไปข้างในไม่ได้ แม้เขาจะเปิดเผยตัวตนแล้ว กระนั้น ก็ไม่มีใครเชื่อและยอมให้เขาเข้าไปข้างใน
ก็เลยต้องรออยู่ข้างนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้
หมิงเอ๋อร์ออกมาด้วยความรีบ เลยลืมพกเสื้อคลุมออกมาด้วย ชุดที่เขาใส่อยู่ในตอนนี้ค่อนข้างบางเลยทีเดียว
แม้วันนี้จะมีแดด แต่ก็มีลมเช่นกัน พอพัดมาทีก็ทำเอาเขาตัวสั่นไม่น้อย
หมิงเอ๋อร์เดินวนไปมาอยู่ด้านหน้า ซักพักก็นั่งดูมดเดินที่ใต้ต้นไม้ ซักพักก็ดูใบไม้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแล้วเท่าไหร่ แต่ในที่สุด ก็ถึงเวลาเลิกเรียนสักซักที
ประตูใหญ่ถูกเปิดออก เด็กนักเรียนและบัณฑิตจำนวนมากต่างทยอยออกมา หมิงเอ๋อร์แฝงตัวเดินเข้าไปในกั๋วจื่อเจียนได้สำเร็จ
ตามหาชั้นเรียนปฐมวัยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา แค่มีปากไว้เอ่ยถาม
เสี่ยวจิ้งคงเดินออกมาจากชั้นเรียนช้าๆ
เด็กชั้นเรียนปฐมวัยต่างพากันวิ่งกรูออกมาแล้วมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร พวกเขาอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบ จะมีก็แค่เสี่ยวจิ้งคงคนเดียวที่ตัวเล็กกว่าใครเพื่อน ก็เลยตามหาได้ไม่ยากนัก
หมิงเอ๋อร์มองเห็นเสี่ยวจิ้งคงในทันที พลางใช้สายตาสำรวจ แล้วนึกในใจ หน้ากลมๆ เล็กๆ แบบนี้น่ะหรือที่ท่านแม่ชอบนักชอบหนา
พอมองแบบนี้ หมิงเอ๋อร์ก็เริ่มจะรู้สึกได้แล้วว่าที่จริงเสี่ยวจิ้งคงก็ไม่ได้ดูน่ารำคาญอะไรขนาดนั้น
“เสี่ยวจิ้งคง!”
เสี่ยวจิ้งคงสะดุ้งโหยงกับร่างใหญ่ที่วิ่งเข้ามาใกล้ๆ จนต้องเงยหน้ามอง
ใช่แล้ว เงยหน้ามอง
เพราะเขาตัวเล็กเกินไป ไม่ว่าจะมองหน้าใครเป็นต้องเงยหน้าขึ้นทุกครั้ง น่าโมโหชะมัด!
“เจ้าเองรึ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยพลางตีหน้าหน้าเคร่งขรึม “จะมาหาเรื่องพวกข้าอีกหรือไร”
“ไม่ใช่นะ!” หมิงเอ๋อร์เห็นแล้วว่าตรงนี้คนอยู่เยอะเกิน เลยคว้าแขนของเสี่ยวจิ้งคง กะว่าจะพาไปจุดอื่นที่คนน้อยกว่านี้
ให้ตายสิ มือเล็กเสียจริง!
เล็กจนเขาเริ่มกลัวว่าจะมือของเสี่ยวจิ้งคงจะหลุดออกจากแขน แต่ว่า พอจับไปจับมา ก็นิ่มดีเหมือนกัน
หมิงเอ๋อร์เริ่มทำการเล่นมือเสี่ยวจิ้งคง ทั้งนวดๆ บีบๆ อย่างสนุกมือ
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้ารังเกียจ
จริงด้วย ลืมเรื่องสำคัญไปเลย
“เจ้า มากับข้า!”
หมิงเอ๋อร์พูดจบก็ลากเสี่ยวจิ้งคงแล้วเดินออกจากกั๋วจื่อเจียน
เสี่ยวจิ้งคงอุทานขึ้น “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหน ข้าต้องกลับไปกินข้าวที่เรือนนะ!”
ชั้นเรียนของเสี่ยวจิ้งคงกับเซียวลิ่วหลังเลิกเรียนไม่พร้อมกัน ก็เลยไม่ได้กลับด้วยกัน
ปกติเสี่ยวจิ้งคงจะเป็นเด็กดียืนรอเซียวลิ่วหลังเลิกเรียนอยู่ในกั๋วจื่อเจียน แต่วันนี้จู่ๆ หมิงเอ๋อร์ดันมาลากตัวเขาออกไปข้างนอกแบบนี้จนเสี่ยวจิ้งคงเริ่มรู้สึกกลัว
หมิงเอ๋อร์พาเสี่ยวจิ้งคงไปยังมุมที่ไม่มีคนพุกพล่าน ก่อนจะพูดกับเสี่ยวจิ้งคงด้วยท่าทีทั้งหนักแน่นแต่ขณะเดียวกันก็ดูโลเลด้วย “เอาล่ะ เรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ เจ้าอาจจะรับไม่ได้ แต่ข้าขอสาบานเลยว่าทุกอย่างที่ข้าพูดเป็นความจริง!”
สมกับเป็นราชนิกุล แต่ละประโยคที่พ่นออกมาช่างดูหนักแน่นน่าเชื่อถือดีแท้
เสี่ยวจิ้งคงมองด้วยสายตาประหลาด “เจ้าจะพูดอะไรล่ะ”
หมิงเอ๋อร์สูดหายใจลึก “เจ้าคือน้องชายข้า!”
“เอ๋” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าบอกบุญไม่รับ “แต่เจ้าไม่ใช่พี่ชายข้าซักหน่อย!”
หมิงเอ๋อร์ทำหน้าประมาณว่ารู้แล้วว่าเจ้าตัวเล็กจะต้องพูดแบบนี้ “เนี่ย ดูสิ ดูๆ เจ้าไม่เชื่อข้าจริงๆ ด้วย! แต่ข้าเป็นพี่ชายของเจ้าจริงๆ ! แม่ของข้าก็คือแม่ของเจ้า! เจ้าเคยเจอนางแล้ว! เจ้าไม่ชอบนางรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเคยเจออวี้ชินอ๋องเฟยอยู่สองครั้ง ครั้งแรกที่โรงหมอ ครั้งที่สองคือที่วัง อวี้ชินอ๋องเฟยเป็นฮูหยินที่ใจดีและอ่อนโยน เหมือนกับแม่นางเหยา ซึ่งเป็นคนประเภทที่ทำให้เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกชอบได้ไม่ยาก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในคำถามเมื่อครู่นี้
เสี่ยวจิ้งคงเริ่มสับสน
หมิงเอ๋อร์ถอนหายใจยาว ก่อนจะตัดสินใจอธิบายต่อว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในวัง ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรโมโหเจ้า ไม่ควรผลักเจ้า ที่เจ้าไม่ยอมกลับไปกับพวกเราเป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม รู้ไหมว่าท่านแม่เสียใจมาก เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ลูกเดียว!”
เด็กน้อยมักจะไม่คิดอะไรซับซ้อน ในสายตาหมิงเอ๋อร์ มองว่าอวี้ชินอ๋องเฟยคือมารดาที่ดีที่สุดในโลก เขารักมารดาเขา และน้องชายก็ต้องรักมารดาเหมือนที่เขารักด้วย ที่น้องชายไม่ยอมกลับไปคงต้องเป็นเพราะตัวเขาเองทำอะไรผิดไปแน่ๆ
ก็เลยตัดสินใจมาขอโทษเสี่ยวจิ้งคง!
หมิงเอ๋อร์ดึงมือเสี่ยวจิ้งคงขึ้นมาแล้วเอ่ยต่อ “ต่อไปข้าจะไม่รังแกเจ้าแล้ว ข้าจะปกป้องเจ้า! จวนอ๋องเป็นที่ที่ๆ ดีมากเลยนะ! มีทั้งตำหนักใหญ่ ของกินอร่อยๆ และบริวารกับม้าอีกเป็นร้อย! ข้าจะสอนเจ้าขี่ม้าเอง! และจะสอนเจ้ายิงธนูด้วย! กลับไปกับข้าเถอะนะ!”
พอเห็นว่าเสี่ยวจิ้งคงยังไม่พูดอะไร ก็เลยพยายามโน้มน้าวต่อ “เด็กทุกคนต้องมีพ่อมีแม่สิ เด็กต้องอยู่กับพ่อแม่ถึงจะถูก! ตอนนั้น ใช่ว่าท่านแม่จะไม่ต้องการเจ้าแล้วเสียหน่อย นางคิดว่าเจ้าไม่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาตามหาเจ้าเจอแล้ว! ถ้าเจ้าไม่ยอมกลับไป ท่านแม่คงเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ !”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตอบหมิงเอ๋อร์ “แต่ข้าอยากอยู่กับเจียวเจียวนี่นา”
หมิงเอ๋อร์ทำหน้าตกใจ “เจียวเจียวไม่ใช่แม่เจ้าซักหน่อย!”
ว่าแต่ ใครคือเจียวเจียว
หมิงเอ๋อร์มองว่าเขาพูดในสิ่งที่ต้องพูดออกไปหมดแล้ว ท่านแม่ยังคงเศร้าโศกอยู่ เขารอคำตอบจากเสี่ยวจิ้งคงไม่ไหวแล้ว สุดท้าย เขาตัดสินใจพาเสี่ยวจิ้งคงกลับไปที่สวนหลวง
เขาจำทางได้ และคิดไปเองว่าน่าจะไม่ไกลจากที่นี่นัก
แต่เขาลืมนึกถึงเรื่องความเร็วของรถม้า และประเมินฝีเท้าตัวเองสูงเกินไป ความเหนื่อยล้าเริ่มมาเยือน
เสี่ยวจิ้งคงตะโกนร้อง “นี่เจ้าจะพาข้าไปที่ไหนกันแน่เนี่ย”
“กลับวังน่ะสิ!” หมิงเอ๋อร์เอ่ยตอบพลางจูงมือเล็กๆ ของเสี่ยวจิ้งคง ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นปาดเหงื่อของตัวเอง
เขาจับมือเสี่ยวจิ้งคงไว้แน่นเพราะกลัวว่าเสี่ยวจิ้งคงจะหายไป
ดูเหมือนหมิงเอ๋อร์จะหมดโชคเสียแล้ว เพราะตอนนี้ ทั้งสองเดินมาตรงที่ถนนที่ไร้ผู้คน และทันใดนั้นก็มีชายวัยกลางคนแปลกหน้าแต่งตัวดีเดินเข้ามา
ใบหน้าของเขาแลดูเป็นมิตร ดูแล้วยังไงก็น่าจะเป็นคนดีไม่มีพิษสงอะไร
เขาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กทั้งสอง ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วะเอ่ยทักทาย “พ่อหนูน้อยทั้งสองจะไปไหนหรือ พ่อแม่ของพวกเจ้าล่ะ หรือว่าพลัดหลงมาล่ะ”
หมิงเอ๋อร์ตะโกนออกไปด้วยความระแวง “ไม่ใช่ธุระของเจ้า หลีกทางซะ!”
สมกับเป็นท่านชายน้อยแห่งจวนอ๋อง ไม่เคยเห็นสามัญชนอยู่ในสายตา
ทุกครั้งที่เขาพูดอะไรออกไป ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่เขาพูดเสมอ
แต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้อยู่ที่วัง ไม่ได้มีบริวาร มีแค่เขา และเด็กสี่ขวบ ไร้ซึ่งอำนาจในมือ
พวกเขาเป็นแค่เด็ก ต่อให้แสดงท่าทีดุดันขึงขังอย่างไร สุดท้ายก็เป็นได้แค่เด็ก
ชายคนนั้นหัวเราะร่วน นอกจากจะไม่ถอยตามที่หมิงเอ๋อร์บอกแล้ว ซ้ำยังยื่นมือมาลูบที่หัวของเสี่ยวจิ้งคง
“อย่ามาแตะต้องน้องชายข้านะ!” หมิงเอ๋อร์ปัดมือคนแปลกหน้าออก
เสี่ยวจิ้งคงจู่ๆ นึกครึ้มชี้มือไปด้านตรงข้าม ก่อนจะเอ่ย “ลุงๆ ตรงนั้นมีคนเรียกลุงน่ะ!”
ชายคนนั้นเลยหันไปอีกทาง
เสี่ยวจิ้งคงเลยใช้จังหวะนี้รีบพาหมิงเอ๋อร์หนีออกไป!
ทั้งสองวิ่งเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่บริเวณที่มีคนเดินพลุกพล่านจึงได้หยุด หมิงเอ๋อร์ได้แต่หอบแฮ่กเพราะหายใจไม่ทัน ส่วนเสี่ยวจิ้งคงวิ่งได้สบายปร๋อโดยไม่รู้สึกหอบเลยแม้แต่นิด
“เหตุ เหตุใดต้อง วิ่งหนี ด้วย ล่ะ” หมิงเอ๋อร์เอ่ยถาม
“นั่นมันพวกเรียกค่าไถ่น่ะ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “พวกเขาคือคนไม่ดี ชอบลักพาตัวเด็ก”
หมิงเอ๋อร์ทำหน้าไม่เข้าใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้าเดาเอาน่ะ”
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ที่ชนบท เวลาเสี่ยวจิ้งคงพาเจ้าลูกไก่ไปเดินเล่น ชาวบ้านมักชอบพูดตลกกับเขา บอกว่าเขายังเด็กมาก ระวังอย่าให้พวกเรียกค่าไถ่จับตัวไป
เจียวเจียวเองก็เคยสอนเขาว่าห้ามพูดกับคนแปลกหน้า
หมิงเอ๋อร์หันกลับไปมองว่าคนแปลกหน้านั่นตามหลังมาหรือไม่ “พวกเรารีบไปกันก่อนเถอะ”
เด็กน้อยทั้งสองเดินไปข้างหน้าต่อ
ในที่สุด ชายแปลกหน้าคนนั้นก็ไล่ตามพวกเขาจนเจอ แม้จะอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ชายแปลกหน้าคนนั้นก็เดินเข้าไปหาเด็กทั้งสองคนด้วยความโกรธ เขาอุ้มร่างของเสี่ยวจิ้งคงขึ้นมา จากนั้นก็ฟาดหมิงเอ๋อร์เข้าที่หน้าจนร่างของหมิงเอ๋อร์ร่วงลงไปบนพื้น
ชายคนนั้นชี้ไปที่หมิงเอ๋อร์และทำเป็นดุด่า “เจ้าเป็นพี่ประสาอะไร ข้าก็แค่ต่อว่าเจ้าไม่กี่ประโยคแค่นี้ถึงกับน้อยใจจะพาน้องชายหนีออกจากบ้านเลยเรอะ เจ้ารู้ไหมว่าน้องเจ้าป่วยหนักอยู่ นี่ข้าเลี้ยงลูกเนณรคุณอย่างเจ้ามาได้ยังไงกัน!”
หมิงเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็หัวร้อน “อย่ามาพูดจาสามหาวนะ! เจ้าไม่ใช่พ่อของข้าซักหน่อย!”
“ก็ได้ เจ้าลูกเณรคุณ ไม่เห็นหัวข้าใช่ไหม! เช่นนั้นก็ตายเสียเถอะ! ข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้ตายเลยคอยดูสิ!” ชายแปลกหน้ายังคงเล่นละครต่อ พลางชี้นิ้วด่าหมิงเอ๋อร์
ฝูงชนเริ่มเข้ามามุง
จู่ๆ มีหญิงแก่แปลกหน้าเดินร้องไห้ออกมาแล้วเข้ามากอดหมิงเอ๋อร์ “คุณท่าน อย่าตีเขาเลย! ข้าผิดเองที่ไม่ดูเขาให้ดี!”
“พวกเจ้าไปให้พ้นๆ เลยนะ!” หมิงเอ๋อร์พยายามดิ้น
หญิงแปลกหน้าทำทีเป็นร้องไห้โฮ “ลูกเอ๋ย หยุดดื้อดึงกับพ่อได้แล้ว! ที่พ่อเจ้าทำแบบนี้ ก็เพื่อตัวเจ้าเองนะ!”
หมิงเอ๋อร์ตะโกนกลับ “เจ้าไม่ใช่แม่ข้า ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
จู่ๆ ชายแปลกหน้าใช้หลังมือตบเข้าไปที่หน้าของหมิงเอ๋อร์อีกครั้ง “นางจะไม่ใช่แม่ของเจ้าได้อย่างไร! ต่อให้เป็นแม่เลี้ยง อย่างไรนางก็คือแม่ของเจ้าอยู่ดี!”
คนที่มามุงดูแทบไม่มีใครสงสัยเลยว่าภาพตรงหน้านี้เป็นเรื่องโกหก ในสายตาของพวกเขามองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร
ลูกไม่ยอมรับแม่เลี้ยงเป็นแม่ ก็แค่ปัญหาของคนในครอบครัว
มิหนำซ้ำ ชายแปลกหน้ายังกระทืบเข้าไปที่ร่างของหญิงแปลกหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งทำให้เรื่องนี้ดูสมจริงขึ้นไปอีก
ไม่ว่าหมิงเอ๋อร์จะดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์ ภายในใจเขาเต็มไปด้วยความโกรธแบบไม่รู้จบ และในขณะเดียวกันก็รู้สึกกลัวและหมดหนทาง
รู้เช่นนี้ไม่ออกมาเสียก็ดี
ทั้งสองโดนพวกต้มตุ๋นลากตัวไป
โดยชายวัยกลางคนอุ้มร่างของเสี่ยวจิ้งคง ส่วนหญิงแปลกหน้าพยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของหมิงเอ๋อร์ออกไปจากบริเวณนั้น
ไม่มีใครแจ้งความกับเหตุการณ์รุนแรงในครอบครัวแบบนี้ พอพวกเขาเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป
พวกเขาถูกจับโยนเข้าไปในเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง
เดิมชายแปลกหน้าคิดจะวางยาให้เสี่ยวจิ้งคงสลบไป แต่ตอนนั้นดูเหมือนเสี่ยวจิ้งคงจะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนนิ่งไป ก็เลยไม่ได้คิดจะวางยาเขา
อีกอย่าง ยานั้นก็แพงใช่เล่น หากใช้สุ่มสี่สุ่มห้ากับเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้. เกิดเป็นอะไรขึ้นมาอาจทำให้พวกเขาก็อดเรียกค่าไถ่กับเด็กพวกนี้กันพอดี
“เด็กพวกนี้ดูไม่เลวเลย” หญิงแปลกหน้าจากที่ทำหน้าเศร้าในตอนแรก บัดนี้ได้เผยให้เห็นใบหน้าที่ทั้งดูขมขื่นและภาคภูมิใจออกมา
ชายวัยกลางคนมองดูเด็กสองคนที่นอนแน่นิ่งบนพื้นด้วยความพึงพอใจพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย “นั่นสินะ นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้จับพวกเด็กชั้นสูงมาเรียกค่าไถ่ได้ พวกมันต้องให้ราคาสูงมากแน่ๆ! ว่าแต่ เจ้าหลิวไปไหนเสียแล้ว”
“ไปเตรียมรถม้าแล้วน่ะ! สักพักเดี๋ยวเตรียมแบกพวกมันขึ้นรถม้าออกนอกเมืองกัน!” หญิงแปลกหน้าเอ่ยต่อ
“เปลี่ยนเสื้อให้พวกมัน โกนผมด้วย!” ชายคนนั้นออกคำสั่ง
“ได้เลย!”
หญิงแปลกหน้าจึงเดินเข้าไปที่ห้องข้างๆ เพื่อเตรียมชุดและมีดโกน
ชายคนนั้นเดินออกมาจากห้อง มองไปรอบๆ แล้วะปิดประตูอย่างระมัดระวัง
ความตื่นตระหนกในดวงตาของจิ้งหายไป เขาคลานไปด้านข้างของหมิงเอ๋อร์ จากนั้นผลักแขนของเขาแล้วะกระซิบ “ท่านพี่หมิงเอ๋อร์ ตื่นได้แล้ว”