สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 252.1 การสอบหน้าพระที่นั่ง (1)
บทที่ 252 การสอบหน้าพระที่นั่ง (1)
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเหนือความคาดหมายของทุกคน แม้แต่ไท่จื่อเฟยเองก็ตื่นตระหนกไม่น้อย วินาทีที่ชั้นหนังสือล้มลงมา นางก้าวไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ ทำให้รอดพ้นจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นได้อย่างหวุดหวิด
ทว่าภายในห้องแห่งนี้ช่างคับแคบเสียเหลือเกิน หากก้าวไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว ก็คงชนเข้ากับเซียวลิ่วหลังแล้ว
เซียวลิ่วหลังได้ยินเสียงก่อนหน้า จึงรู้ว่ามีคนเข้ามา จากนั้นชั้นหนังสือก็โค่นลงมากระแทกกับประตู ภายในห้องไม่มีตะเกียงน้ำมัน ไม่มีหน้าต่าง พอประตูปิดลง ห้องทั้งห้องก็ตกสู่ความมืดมิด
เขาเห็นไม่ชัดว่าผู้มาเยือนเป็นใคร แต่สัญชาตญาณป้องกันตัวเองบอกให้เขาก้าวถอยหลัง ถอยจนตัวเองแทบจะแนบไปกับกำแพงอยู่แล้ว
สัญชาตญาณป้องกันตัวเองของเซียวลิ่วหลังไม่ได้บ่มเพาะขึ้นเพียงข้ามคืน แต่เกิดขึ้นแต่ตั้งที่เขาได้รู้จักกับเฝิงหลิน เขาเพิ่งค้นพบว่าตัวเองนั้นรังเกียจการเข้าสังคม เพียงแต่เฝิงหลินเป็นคนหน้าด้านหน้าทน ถึงได้ตามตอแยเซียวลิ่วหลังอยู่ตลอด
ไท่จื่อเฟยกระอักกระอ่วนกับพฤติกรรมการเอาตัวรอดของของอีกฝ่าย หากบุรุษทั่วไปพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ต้องเป็นอัศวินขี้ม้าขาวมาช่วยหญิงงามไม่ใช่หรือ
แน่นอนว่าไท่จื่อเฟยผู้สูงส่งอย่างนาง ไม่มีทางยอมให้ชายอื่นสัมผัสร่างกายของตนอยู่แล้ว หากนางไม่อนุญาตนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่หากอีกฝ่ายไม่ทำอะไรเลยก็อีกเรื่องหนึ่ง
กลิ่นเครื่องสำอางของหญิงสาวอบอวลไปทั่วห้อง ไม่ใช่กลิ่นแป้งราคาถูกที่ขายตามท้องตลาด แต่เป็นกลิ่นเครื่องหอมชั้นสูงที่ใช้ในวัง
มือของเซียวลิ่วหลังที่ถือแท่นหมึกอยู่ชะงักไป
แม้ภายในห้องจะไร้แสง แต่พอดวงตาคุ้นชินกับความมืดแล้ว ประกอบกับแสงสว่างที่ลอดผ่านช่องด้านล่างของขอบประตูเข้ามา ก็ช่วยให้มองเห็นเลือนลาง
อีกฝ่ายสวมชุดกระโปรงสีขาวมุก ผืนพ้าแพรพริ้วไหว ดิ้นทองที่ปักเย็บตกแต่งส่องประกายท่ามกลางความมืดมิด
นั่นคือผ้าตาข่ายชีฟองที่ราคาเท่ากับอัฐทองหนึ่งก้อนต่อหนึ่งนิ้ว ได้ยินมาว่าหญิงสาวชาวประมงกว่าร้อยคนช่วยกันทอกว่าหนึ่งเดือนก็ยังทอได้ไม่ถึงหนึ่งพับ แม้จะฟังดูเกินจริงไปเสียหน่อย แต่ผ้าตาข่ายชีฟองนี้นับว่าเป็นของล้ำค่าแสนหายากในราชสำนัก
นางข้าหลวงทั่วไปไม่มีสิทธิได้สวมใส่อย่างแน่นอน นางสนมทั่วไปก็ไม่มีสิทธิ์เช่นกัน สำนักกิจการภายในมักจะมอบให้กับเจ้านายหญิงฝ่ายในเท่านั้น ต้องเป็นไทเฮาหรือไม่ก็ฮองเฮา
ไทเฮาไม่ได้อยู่ในวังหลวงมาตั้งนานแล้ว ส่วนฮองเฮาก็ไม่สามารถออกมาจากวังได้
หญิงผู้นี้ร่างเล็กอรชร ราวกับนางมัจฉาที่แหวกว่ายขึ้นมาเหนือน้ำใต้แสงจันทร์
เป็นหญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่ง
ภายในห้องเงียบสงัด แทบจะได้ยินเสียงหายใจอย่างชัดเจน
เซียวลิ่วหลังไม่เอ่ยคำใด ทั้งยังไม่มีความคิดที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อชวนคุยหรือคำนับอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“เจ้าเป็นใคร”
ไท่จื่อเฟยลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาก่อน
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เซียวลิ่วหลังก็กำแท่นหมึกในมือแน่นยิ่งกว่าเดิม ทว่ายังคงไม่ยอมปริปากเช่นเคย
ไท่จื่อเฟยคิดในใจ หรือว่าจะไม่ใช่อาเหิงจริงๆ หากเป็นอาเหิง เขาไม่มีทางจำเสียงของตัวเองไม่ได้…
นางชะงักไป เดินเข้าไปใกล้เพื่อลองเชิงอีกฝ่าย ทว่าไม่รู้ว่าตั้งใจหรืออย่างไร ชั้นหนังสืออีกแถวหนึ่งกลับล้มลงมาในทันใด ขั้นกลางระหว่างทั้งสองคนพอดิบพอดี
ถามก็ไม่ตอบ จะเดินไปหาก็ไม่ได้ คราวนี้ไท่จื่อเฟยคงต้องยอมลิ้มเลิกความคิดเสียแล้ว
ทั้งสองคนถูกขังอยู่ในห้องได้ไม่นาน ผู้ดูแลร้านก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น จึงรีบเรียกคนงานมาช่วยกันงัดประตู
แต่น่าเสียดายที่ประตูถูกขวางจนเปิดไม่ออก ใช่ว่าจะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามในการงัดประตูได้
ผู้ดูแลร้านเองก็เสียดายประตูและพื้นของร้านตัวเอง จึงไม่กล้าร้องโวยวายจนเป็นเรื่องใหญ่โต กว่าจะเปิดประตูได้จึงล้าช้าไปหลายชั่วโมง
ส่วนไท่จื่อที่รออยู่ชั้นบนของร้านอยู่นานสองนานก็ยังไม่เห็นไท่จื่อเฟยกลับมา เขาและไท่จื่อเฟยออกมาข้างนอกกันสองคน ไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย มีเพียงสารถีคนหนึ่งและองครักษ์ลับสองคนที่คอยคุ้มกันเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น
เขาครุ่นคิดอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจออกไปตามหาด้วยตนเอง
ไท่จื่อเฟยบอกว่าจะออกไปซื้อขนมเปี๊ยะงา แต่พอมาถึงร้านขนมเปี๊ยะงากลับไม่พบนางแต่อย่างใด
เขาจึงเอ่ยถามสารถี “เห็นไท่จื่อเฟยหรือไม่”
สารถีตอบ “ทูลองค์ชาย ไท่จื่อเฟยไปที่ร้านหนังสือขอรับ”
สงสัยก็ส่วนสงสัย แต่ไท่จื่อก็ยังคงก้าวฉับๆ เข้าไปในร้านหนังสืออย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาเข้าไป ถึงได้รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นในร้านหนังสือ หัวใจของเขากระตุกวูบก่อนจะก้าวไปข้างหน้า เขาถามออกไปด้วยเสียงเคร่งขรึมแม้ใจจะร้อนรน “ผู้ใดถูกขังอยู่ข้างใน”
ผู้ดูแลร้านเห็นท่าทางน่าเกรงขามของอีกฝ่าย ทั้งยังเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แตกต่างจากคนทั่วไป จึงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ข้าเองก็เห็นไม่ชัดขอรับ เป็นแม่นางผู้หนึ่ง…”
“ถอยไป” ไท่จื่อเอ่ยเสียงขรึม
ทุกคนสัมผัสได้ถึงอำนาจบารมีของเขา จึงพากันหลีกทางให้ ไท่จื่อเคาะประตูเบา ๆ พลางเอ่ย “หลินหลัง เจ้าอยู่ในนั้นใช่หรือไม่”
ท่ามกลางความมืดมิด ไท่จื่อเฟยเหลียวหลังกลับไปก่อนจะจ้องมองชั้นหนังสือที่อยู่ตรงหน้า แล้วมองไปยังประตูห้องที่ถูกขวางจนปิดตาย นางขานตอบ “ข้าอยู่ข้างใน”
ไท่จื่อผลักประตู ทว่ากลับไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด
ผู้ดูแลร้านเอ่ย “ไม่ได้ผลหรอกขอรับ ชั้นหนังสือด้านในล้มลงมาขวางประตูไว้น่ะขอรับ”
ไท่จื่อขมวดคิ้วเอ่ย “ยังไม่รีบงัดประตูอีก”
“งัด…งัดไม่ได้หรอกขอรับ” ผู้ดูร้านเองก็อยากจะเรียกช่างมาทุบประตูอยู่หรอก แต่ก็กังวลว่าคนด้านในจะได้รับบาดเจ็บ
หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ไท่จื่อไม่มีทางเรียกองครักษ์ลับของตัวเองออกมา แต่ยามนี้คงมัวพะวงเรื่องอื่นไม่ได้แล้ว เขาเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นยามไท่จื่อเฟยถูกขังอยู่ด้านใน
เขาเรียกให้องครักษ์ลับออกมา
องครักษ์ทั้งสองนายเป็นยอดฝีมือของราชสำนัก พังประตูแค่นี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรงของพวกเขาอยู่แล้ว ไม่นานทั้งสองคนก็งัดประตูได้สำเร็จ แล้วขนย้ายชั้นหนังสือแถวแรกที่ขวางประตูอยู่ออกมาข้างนอก
ไท่จื่อรีบยื่นมือออกไปคว้าตัวไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยรับมือเขาไว้ ก่อนจะเดินออกมาจากเศษซากแท่นหมึกที่แตกกระจัดกระจาย
ไท่จื่อสำรวจนางทั้งเนื้อทั้งตัว ก่อนจะถามอย่างห่วงใย “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
ไท่จื่อเฟยส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่ต้องเข้าแถวรอขนมเปี๊ยะงา ข้าเลยมาเลือกแท่นหมึกให้น้องเจ็ดเสียหน่อย”
ฉินฉู่อวี้ไม่สามารถใช้แท่นหมึกของวังหลวงได้ เพราะเป็นการเปิดเผยตัวตน
ไท่จื่อไม่ได้สงสัยในตัวนาง พลางเอ่ยบอกนางว่า “เรื่องเช่นนี้เจ้าให้บ่าวเป็นคนจัดการเถิด ไม่จำเป็นต้องมาเลือกด้วยตนเองหรอก หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าคงเศร้าใจยิ่งนัก”
ไท่จื่อเฟยยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ทำให้ท่านต้องกังวลใจเสียแล้ว เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”
ไท่จื่อเอ่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ไท่จื่อไม่รู้ว่าภายในห้องนั้นยังมีใครอีกหนึ่งคน ไท่จื่อเฟยแอบเหลือบมองทว่าไม่เอ่ยคำใด
ไท่จื่อกุมมือไท่จื่อเฟยเอาไว้ ก่อนจะโยนถึงอัฐเงินให้กับผู้ดูแลร้าน ก่อนจะพากันเดินออกไปจากร้านหนังสือ
ผู้ดูแลร้านได้รับอัฐเงินแล้วก็ไม่เสียใจที่บานประตูและห้องหับของร้านและแท่นหมึกมากมายถูกพังจนยับเยิน ทั้งยังเอ่ยขอบคุณอย่างหน้าชื่นตาบาน “เดินทางปลอดภัยขอรับท่านชาย! เดินทางปลอดภัยขอรับแม่นาง!”
พูดจบก็หมุนตัวกลับมาขยี้หัวตัวเองไปมา พลางมองไปยังห้องที่สภาพวุ่นวายก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “เอ๊ะ ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่มีบัณฑิตอีกคนหนึ่งเข้าไปข้างในมิใช่หรือ… เอ๊ะ เหตุใดชั้นหนังสือนี้ถึงได้ล้มลงมาด้วย ไม่น่าจะเป็นไปได้…”
ชั้นหนังสือชั้นนี้เขาเคยตอกตะปูยืดไว้อย่างหนาแน่นแล้ว ทั้งยังไม่ได้วางของหนักแต่อย่างใด เหตุใดถึงล้มลงมาได้
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เซียวลิ่วหลังก็หยัดตัวลุกขึ้นมาจากอีกฝากหนึ่งของชั้นหนังสือที่ล้มลงมา
ผู้ดูแลร้านตกอกตกใจ “มี…มีคนอยู่ตรงนั้นหรือ…”
เซียวลิ่วหลังไม่พูดอะไร ก่อนจะจ่ายเงินค่าแท่นหมึกทั้งยังให้เงินเพิ่มอีกเล็กน้อย ผู้ดูแลร้านกำลังจะเอ่ยถาม แต่เขากลับชิงพูดออกมาก่อน “ค่าเสียหายน่ะ”
ค่าเสียหายของชั้นวางของชั้นที่สอง
ผู้ดูแลร้านชะงักไป
เสี่ยวจิ้งคงและสวี่โจวโจวพบกับญาติผู้น้องของเขาเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นสวี่โจวโจวและบ่าวตระกูลสวี่ก็พาเขากลับมาหาเซียวลิ่วหลังที่ร้านขนมเปี๊ยะงา
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กช่างสังเกต ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นว่ามือของพี่เขยมีบางอย่างผิดปกติไป
เขาหยุดฝีเท้าลง พลางก้มลงมองมือขวาของเซียวหลังที่พ้นแขนเสื้อกว้างออกมาด้วยแววตาจริงจัง “มือเจ้าเป็นอะไรไป”
“ไม่ได้เป็นอะไร” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเรียบ
เสี่ยวจิ้งคงไม่เชื่อ เขาคว้าแขนเสื้อของเซียวลิ่วหลังเอาไว้ ก่อนจะเห็นว่าฝ่ามือนั้นทั้งบวมและแดงก่ำ ดวงตาของเขาเบิกโพลงในทันที “บวมเสียขนาดนี้! เจ้าไปทำอะไรมา เจ็บหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังพลันยิ้มออกมา ก่อนจะหยิกแก้มบนดวงหน้าน้อยๆ “เป็นห่วงข้าขนาดนั้นเชียวหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงปัดมือที่วุ่นวายบนใบหน้าของตนเองออก ก่อนจะเอ่ยสีหน้าจริงจัง “ข้ากลัวว่าเจ้าจะไปสอบไม่ได้ต่างหาก เจียวเจียวลงเดิมพันแล้วว่าเจ้าจะได้เป็นจองหงวน! เดิมพันด้วยทรัพย์สินหมดทั้งเนื้อทั้งตัว!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
เมื่อไปถึงโรงหมอ เสี่ยวจิ้งคงก็ตรงไปหากู้เจียวที่ตากวัตถุดิบยาอยู่ที่หลังเรือนเล็ก พลางเล่าอาการของพี่เขยตัวร้ายด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “…ข้าคลาดสายตาเขาไปเพียงครู่เดียว เขาก็ทำตัวเองเจ็บตัวแล้ว!”
กู้เจียววางวัตถุดิบยาในมือลง ก่อนจะเดินดูอาการเซียวลิ่วหลัง “บาดเจ็บตรงไหนหรือ ขอข้าดูหน่อย” พลางหันไปบอกกับเสี่ยวจิ้งคงว่า “ไปเล่นกับพี่เจียงหลีสิ”
“เช่นนั้นก็ได้” เสี่ยวจิ้งคงได้ยินดังนั้นก็ไปหาเสี่ยวเจียงหลี