สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 253.2 โหดเหี้ยม (2)
บทที่ 253 โหดเหี้ยม (2)
เซียวลิ่วหลังเขียนมาถึงด้านหลังจึงพบว่าโจทย์นี้ยากมากจริงๆ ทุกคนเพิ่งเริ่มได้ข้อสอบมา ความผ่อนคลายก็หายลับไปแล้ว แต่ละคนต่างก้มหน้าก้มหน้าเขียนหลังขดหลังแข็ง ไม่มีใครส่งข้อสอบก่อนเวลาเลย
อาจเพราะตั้งใจเขียนอย่างใจจดใจจ่อเกินไป ขนาดฮ่องเต้มายืนอยู่หลังเซียวลิ่วหลังพักใหญ่เขายังไม่รู้ตัวเลยสักนิด
จากมุมของฮ่องเต้เห็นได้แค่ท้ายทอยของเซียวลิ่วหลังเท่านั้น
ฮ่องเต้ไม่ได้มองนานเท่าใดนัก พระองค์ไม่มีอารมณ์จะเพิ่มแรงกดดันในสนามสอบแก่ผู้เข้าสอบ พระองค์แค่เพิ่งเข้ามาแล้วบังเอิญเดินผ่านข้างกายเซียวลิ่วหลัง และเห็นลายมืองดงามของเซียวลิ่วหลังเข้า
พระองค์กวาดตามองอย่างรวดเร็ว ลายมือไม่เลวเลย
จากนั้นก็เหลือบไปมองชื่อผู้เข้าสอบ เซียวลิ่วหลัง
อ๋อ บัณฑิตยากจนที่สอบได้อันดับเดียวกันกับอันจวิ้นอ๋องอย่างนั้นรึ
ด้านข้างมีไม้เท้าวางไว้ บาดเจ็บรึ หรือว่าร่างกายพิการ
อันที่จริงราชสำนักนี้เลือกขุนนางค่อนข้างดูที่หน้าตา ขอแค่เซวียนผิงโหวทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาฮ่องเต้ก็จะให้ขุนนางที่อัปลักษณ์เกินไปอยู่สักสองสามปีแล้วปล่อยเขาออกมาแล้ว
ฮ่องเต้เห็นไม้เท้าจึงค่อนข้างผิดหวัง พระองค์เป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาไม่เอาไหน
แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ดูแค่หน้าอย่างเดียว จี้จิ่วอาวุโสหน้าตาไม่หล่อเหลาเขายังถูกตาฮ่องเต้ได้ เพราะจี้จิ่วอาวุโสนั้นเก่งกาจสามารถจริงๆ
เพียงไม่นานฮ่องเต้ก็เดินผ่านข้างกายเซียวลิ่วหลังไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหน้าสุด
พวกขุนนางคุมสอบต่างรู้ว่าผู้เข้าสอบคนนั้นถูกฮ่องเต้สนพระทัยเข้าแล้ว แค่ไม่รู้ว่าความประทับใจดีหรือไม่ดี
หลังจากฮ่องเต้นั่งลงคุมสอบก็ไม่ได้สนใจเซียวลิ่วหลังอีก อย่างไรเสียก็ไกลเกินไป มองเห็นไม่ชัด
พระองค์ให้คนเอาฎีกามาให้ คุมสอบไปพลางอ่านฎีกาโดยไร้เสียงไปด้วย จนกระทั่งการสอบเสร็จสิ้น
บรรดาผู้เข้าสอบลุกขึ้นคำนับให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้สุ่มเรียกพวกผู้เข้าสอบมาถามสองสามคำถาม อันจวิ้นอ๋องกับหลานชายราชเลขาหยวนต่างถูกโดนเรียก
ส่วนเซียวลิ่วหลังไม่โดนเรียก
ยามโหย่วสามเค่อ ทุกคนก็ออกจากวังหลวง
อย่าคิดว่าสอบแค่วันเดียว แต่ทุกคนเหนื่อยกันเสียยิ่งกว่าสอบระดับมณฑลกับสอบชุนเหว่ยเสียอีก เหนื่อยใจน่ะ
นอกจากผู้เข้าสอบส่วนน้อยไม่กี่คนแล้ว ส่วนใหญ่ชั่วชีวิตนี้ล้วนไม่เคยพบฮ่องเต้มาก่อน ได้ร่วมชายคาเดียวกันกับฮ่องเต้ พวกเขาแทบจะเขียนหนังสือกันไม่ได้
“ตื่นเต้นนัก” แผ่นหลังเฝิงหลินเปียกชุ่ม
เลขที่สอบของเขาอยู่ลำกับค่อนข้างต้นๆ เขานั่งแถวแรก อยู่ในสายตาของฮ่องเต้ขนานแท้เลย แต่เขาไม่กล้าเงยหน้าไปมองฮ่องเต้ กลัวว่าจะโดนโทษกำเริบเสิบสาน
“ข้ารู้สึกว่าข้าสอบแย่ พอถึงตอนท้ายข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองเขียนอะไรลงไป”
เขาก้มหน้าห่อเหี่ยวใจพลางเอ่ย
ตู้รั่วหานเอ่ยปลอบว่า “เจ้าอย่าเพิ่งท้อสิ ทุกคนก็เหมือนกันกับเจ้านั่นแหละ พอฝ่าบาทมาก็ลืมกันหมดว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่”
ยังนับว่าฮ่องเต้เห็นอกเห็นใจพวกเขา ยามเที่ยงผ่านพ้นไปแล้วจึงได้เสด็จมา ตอนนั้นฉบับร่างของทุกคนก็เขียนกันได้พอสมควรแล้ว มิฉะนั้นพระองค์มานั่งตรงนั้นแต่แรก รับรองได้เลยว่าคนกว่าครึ่งแม้แต่ฉบับร่างก็เขียนไม่ออกแน่
ตอนที่ฮ่องเต้ยืนอยู่ด้านหลังเซียวลิ่วหลัง เขาก็ตกใจขึ้นมายกใหญ่ เลขที่นั่งของพวกเขาสองคนติดกัน ด้านหลังเซียวลิ่วหลังก็คือข้างหน้าของเขา เขาได้กลิ่นอำพันทะเลจากร่างของฮ่องเต้เลย ตื่นเต้นเสียหนังหัวชาดิกเป็นระลอก
แต่ดีที่เมื่อเช้าถูกเซวียนผิงโหวกระตุ้นเข้าให้รอบหนึ่ง ดูเหมือนว่าเรียกสติกลับมาได้นิดหน่อย
“ลิ่วหลังสอบเป็นอย่างไรบ้าง” เฝิงหลินถามเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “พอทำเนา เขียนสิ่งที่คิดออกมาได้หมดเลย”
เฝิงหลินถามตู้รั่วหานกับหลินเฉิงเย่ต่อ ทั้งสองคนก็นับว่าแสดงออกปกติ แค่อัตวิสัยของคำถามมันมากเกินไป จะสอบติดจิ้นซื่อตัวจริงหรือไม่ยังต้องดูความชอบของพวกขุนนางคุมสอบด้วย
นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถคาดเดาได้แล้ว พวกเขาทำได้เพียงฟังลิขิตสวรรค์เท่านั้น
คนทั้งกลุ่มกลับมาถึงบ้าน
ณ ตำหนักไท่เหอ พวกขุนนางอ่านกระดาษข้อสอบเริ่มให้คะแนนโดยมีเจ้ากรมพิธีการกับเอกอัครราชทูตเป็นประธานและรองประธาน เสนาบดีสี่คนเป็นขุนนางอ่านข้อสอบ ข้อสอบครานี้ไม่แบ่งกลุ่มอ่าน ทุกฉบับล้วนถูกทั้งหกคนอ่านจนครบ
ยี่สิบอันดับแรกจะถูกส่งไปถึงมือฮ่องเต้
การสอบชุนเหว่ยทำได้ดี ไม่ได้หมายความว่าการสอบระดับเตี้ยนก็จะทำได้ดีเหมือนกัน สามารถต้านทานความน่าเกรงขามและแรงกดดันของฮ่องเต้ แต่ยังสงบนิ่งได้นั้นก็เรื่องหนึ่ง บังเอิญเจอขอบเขตความรู้ที่ตัวเองถนัดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากแต่ผู้เข้าสอบอย่างเซียวลิ่วหลังที่อันดับเดียวกันกับอันจวิ้นอ๋องแบบนี้ เป็นคนที่ได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าฮ่องเต้จงใจยืนอยู่ข้างกายเขาในสนามสอบพักหนึ่ง
ดังนั้นกระดาษข้อสอบของเขาหากไม่อยู่ในยี่สิบอันดับแรก ฮ่องเต้ก็จะถามถึงแน่นอน เป็นไปได้มากที่จะให้คนไปเอาข้อสอบของเขามาดูว่าเพราะอะไรจึงตกยี่สิบอันดับแรกไป
กระดาษข้อสอบของการสอบระดับเตี้ยนซื่อจะไม่ถูกคัดลอก อย่างไรเสียต้องส่งให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ต้องการทอดพระเนตรลายมือผู้เข้าสอบ แต่ก่อนที่จะส่งให้ฮ่องเต้จะทำการเลือนชื่ออย่างง่ายๆ ก่อน หรืออีกนัยหนึ่งคือบรรดาขุนนางคุมสอบจะไม่เห็นชื่อเสียงเรียงนามของผู้สอบ
แต่หากอยากดูอย่างซื่อสัตย์ก็ไม่ยาก
ยิ่งไปกว่านั้นหลังสอบย่อยแล้ว พวกขุนนางผู้คุมสอบก็จดจำลายมือของผู้เข้าสอบได้จำนวนหนึ่งแล้ว
เพียงไม่นานข้อสอบของเซียวลิ่วหลังก็มาอยู่ในมือเอกอัครคราชทูต เขามองปราดเดียวก็จำลายมือเซียวลิ่วหลังได้ ราชครูจวงได้ออกคำสั่งมาว่าจะให้เซียวลิ่วหลังโดดเด่นกว่าอันจวิ้นอ๋องไม่ได้
หากเรียงความของเซียวลิ่วหลังไม่โดดเด่น ไม่เพียงพอจะข่มอันจวิ้นอ๋อง เอกอัครราชทูตก็จะปล่อยให้เขาเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกไปได้อย่างเบาใจ
ทว่าเห็นได้ชัดเลยว่าเรียงความของเซียวลิ่วหลังโดดเด่นเกินไป
นี่เป็นเรียงความที่ไม่ว่าขุนนางคุมสอบคนไหนก็หาจุดบกพร่องไม่เจอ ข่มอันจวิ้นอ๋องขนานหนักเลย
เวลาว่างจากการกินข้าว เอกอัครราชทูตจึงแอบไปห้องน้ำเงียบๆ
ใกล้ห้องน้ำนั้น ราชครูจวงมาคอยอยู่นานแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง” ราชครูจวงถาม
“ข้ายังดูไม่ถึงอันจวิ้นอ๋อง” เอกอัครราชทูตบอก “ดูถึงแค่เซียวลิ่วหลัง”
ราชครูจวงส่งกระดาษร่างในอ้อมอกไปให้เขา นี่เป็นฉบับร่างที่อันจวิ้นอ๋องกลับไปถึงจวนแล้วเขียนจากความทรงจำขึ้นใหม่อีกครั้ง คลาดเคลื่อนจากข้อสอบระดับเตี้ยนซื่อไปนิดเดียว
เอกอัครราชทูตอ่านจบสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ข้อสอบของทั้งคู่กินกันไม่ลงเลย”
กินกันไม่ลงอย่างนั้นรึ
ราชครูจวงขมวดคิ้ว นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามว่า “เซวียนผิงโหวเป็นอะไรไป ข้าดูแล้วเขาเหมือนจะถูกใจเจ้าเด็กคนนี้นะ”
เอกอัครราชทูตเอ่ยว่า “ราชครู ท่าน…คงไม่ได้ดูใบหน้าค่าตาของเซียวลิ่วหลังอย่างละเอียดกระมัง”
ราชครูจวงเอ่ยต่ออย่างไม่เข้าใจว่า “เขาทำไมรึ”
หน้าตาดียิ่งนักจึงถูกเซวียนผิงโหวถูกใจเข้าอย่างนั้นรึ แต่แม้ว่าเซวียนผิงโหวจะเจ้าชู้ก็ไม่ได้ชื่นชอบบุรุษนี่นา
เอกอัครราชทูตเอ่ยว่า “เขาหน้าตาเหมือนท่านโหวน้อยที่ตายไปเลย ข้าน้อยเห็นครั้งแรกก็ตกอกตกใจยิ่งนัก อาจเพราะเหตุนี้เซวียนผิงโหวจึงได้โปรดปรานเขากว่าเดิม”
ราชครูจวงหัวเราะเสียงเย็น “ลูกชายตัวเองตายแล้วก็ไปหาคนที่หน้าตาคล้ายกันมาเป็นตัวแทนอย่างนั้นรึ”
ฝ่าบาทมีเจตนากดขี่ตระกูลจวง หากมีคนที่สูสีกันกับอันจวิ้นอ๋องขึ้นมาจริงๆ ฝ่าบาทไม่มีทางเลือกอันจวิ้นอ๋องมาเป็นอันดับหนึ่งแน่ ก่อนจะมีวันนี้ฝ่าบาทก็ไม่มีทางเลือกเซียวลิ่วหลังเป็นอันดับหนึ่งเช่นกัน
เซียวลิ่วหลังมีชาติกำเนิดแย่เกินไป หากเขาเป็นที่สนใจของชาวบ้านเกินไป จะทำให้เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นได้ หากฮ่องเต้เมตตาลิ่วหลังจริงๆ ก็คงไม่มอบตำแหน่งจอหงวนให้เขาหรอก
ฝ่าบาทจะเลือกคนอื่นมาเป็นจอหงวน หากพวกขุนนางใหญ่มีความเห็นต่าง ฝ่าบาทก็จะหยิบข้อสอบของเซียวลิ่วหลังออกมาบอกว่าแบบนี้ก็ไม่ได้ที่หนึ่ง แล้วอันจวิ้นอ๋องจะเอาที่หนึ่งได้อย่างไร
ส่วนข้อสอบของจอหงวนฝ่าบาทไม่มีทางให้คนได้เห็นแน่นอน
นี่คือราชสำนัก นี่คือสนามสอบ!
ทว่าเซวียนผิงโหวดันออกหน้าก่อนแล้ว
เขากำลังบอกกับทุกคนว่าเซียวลิ่วหลังเป็นคนที่เขากางปีกปกป้อง ใครกล้าลงมือเซียวลิ่วหลังล้วนต้องใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน
เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปถึงหูฝ่าบาท ฝ่าบาทรู้ว่าเซียวลิ่วหลังมีที่พึ่งแล้วก็จะไม่ห่วงอะไรอีก
ความเย็นเยียบวาบผ่านในแววตาของราชครูจวงไป “เจ้าเด็กคนนี้ประจบเอาใจหลานชายข้าพลางประจบสอพลอเซวียนผิงโหวด้วย ช่างกล้าประจบทั้งสองด้านนัก! ข้าสมเพชไอ้คนซื้อได้แต่ตัวไม่อาจซื้อใจเป็นที่สุด!”