สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 256 ปิ่นดอกไม้
บทที่ 256 ปิ่นดอกไม้
ณ แคว้นเจา ประเพณีการมอบปิ่นดอกไม้ของจอหงวนเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาโดยตลอด โดยเริ่มแรกเริ่มจะมีเพียงแค่จอหงวนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะได้รับมอบปิ่นดอกไม้ ต่อมาผู้ที่ได้เป็นทั่นฮวาและปั้งเหยี่ยนเองก็สามารถได้รับมอบปิ่นดอกไม้ได้เหมือนกัน โดยปิ่นดอกไม้นั้นเป็นของพระราชทาน เป็นของล้ำค่ายิ่ง ดังนั้น การที่หญิงงามของแคว้นเจาครอบครองปิ่นดอกไม้นี้ได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องน่าภูมิใจอย่างยิ่ง
ใช่แล้ว ปิ่นดอกไม้นี้ไม่สามารถมอบให้ผู้เป็นชายได้
แต่โดยทั่วไปแล้ว ก็มิอาจจะมอบให้ได้ตามอำเภอใจ หนึ่งด้วยความที่เป็นของพระราชทาน สองเกรงว่าจะมีผลร้ายตามมาในภายหลังหากมอบให้คนที่ไม่เหมาะสม
ซึ่งเคยมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ในสมัยรัชศกก่อน จอหงวนนายหนึ่งได้มอบปิ่นดอกไม้ให้คนที่เขารักซึ่งนางทำงานอยู่ในหอนางโลม ภายหลังภรรยาของจอหงวนจับได้ ซ้ำร้ายคือบิดาของผู้ที่เป็นภรรยาดันเป็นขุนนางชั้นสูงผู้มีอำนาจ คงเดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้นกับจอหงวนคนนั้น เส้นทางชีวิตของเขาพบเจอแต่ความยากลำบาก ขณะที่ปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวารวมถึงจิ้นซื่อคนอื่นๆ ได้เลื่อนขั้นและได้ทำงานในราชสำนัก ส่วนจอหงวนคนนั้นกลับต้องลงเอยด้วยการประจำอยู่ที่ชนบท
แน่นอนว่านี่เป็นแค่หนึ่งในตัวอย่างเท่านั้น
ประเด็นสำคัญคือปิ่นดอกไม้นั้นเป็นของมีค่าอย่างยิ่ง
การที่จะได้ปิ่นดอกไม้มาครอบครองนั้นมีอยู่ด้วยกันสองวิธี วิธีแรกคือบุรุษทั้งสามคนเลือกสตรีที่จะมอบปิ่นดอกไม้ให้ด้วยความเต็มใจ ส่วนวิธีที่สองคือฝ่ายสตรีจะต้องตั้งคำถามประลองกับบุรุษ หากบุรุษเป็นฝ่ายแพ้ ปิ่นดอกไม้ก็จะต้องตกเป็นของสตรีไปโดยปริยาย
ไท่จื่อเฟยพระองค์ก่อนเองก็ใช้วิธีนี้ในการคว้าชัยชนะและได้ปิ่นดอกไม้จากจิ้นซื่อสองคนมาครอง และการเป็นข่าวดังของแคว้นเจาอยู่ช่วงหนึ่ง
หากไม่มีใครคิดจะประลองกับเซียวลิ่วหลัง แน่นอนว่าอำนาจในการเลือกจะต้องตกเป็นของเซียวลิ่วหลัง แต่หากมีคนอยากประลองกับเขา เขาก็ต้องรับคำท้าอย่างไม่มีข้อแม้ และต้องชนะมาให้ได้ จึงจะสามารถคงสิทธิ์ในการเลือกผู้รับปิ่นดอกไม้
เขาเลือกที่จะไม่รับคำท้าได้ แต่มีกฎอยู่ว่าเขาไม่สามารถส่งปิ่นดอกไม้ให้ใครได้อีก
และดูจากที่เซียวลิ่วหลังคว้าปิ่นนั้นออกมา แสดงว่าเขาต้องการจะมอบมันให้ใครอยู่แน่ๆ
ท่าทีของเขาทำเอาเหล่าหญิงสาวต่างพากันตาลุกวาว
ข้างๆ ร้านน้ำชาที่กู้เจียวนั่งอยู่ก็เป็นร้านน้ำชาอีกร้านเช่นกัน มีสองชั้นเหมือนกัน พอหน้าต่างร้านถูกเปิดออก ก็ปรากฎหญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงพร้อมกับสวมผ้าคลุมหน้า
ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นบุตรสาวเศรษฐี นอกจากนี้บริเวณข้างๆ ยังมีสาวใช้คอยยืนประกบ
นางแทบไม่ได้สังเกตเห็นกู้เจียวที่อยู่อีกตึกข้างๆ แต่กลับส่งสายตาหวานเยิ้มให้เซียวลิ่วหลัง ก่อนจะเอ่ย ขึ้นว่า “ข้าอยากขอท้าเล่นคำกับท่านจอหงวน มิทราบว่าท่านจะให้เกียรติข้าหรือไม่”
และนี่ก็คือการท้าประลองจอหงวน
ทุกปีที่มีการเดินขบวนเกิดขึ้น จะต้องมีสตรีจากตระกูลสูงส่งยื่นคำท้าพวกเขา เพียงแต่คนที่เอาจริงเอาจังนั้นไม่ได้มีจำนวนเยอะมากนัก
แม่หญิงผู้นี้เป็นใครกัน ช่างกล้านัก
ทุกคนหันไปทางสตรีในชุดม่วงอย่างอดไม่ได้
แต่ดูเหมือนนางจะไม่สะทกสะท้ายต่อสายตาผู้คนแต่อย่างใด ยังคงยิ้มร่าอย่างภาคภูมิใจ “ว่าอย่างไรล่ะท่าน กลัวจะสู้สตรีตัวเล็กๆ อย่างข้ามิได้หรือ ท่านจะปฏิเสธข้าก็ได้ แต่ปิ่นดอกไม้นั่นท่านจะมอบให้ผู้อื่นมิได้อีกเป็นอันขาด”
ผู้คนเริ่มเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อ แม่หญิงผู้นี้คงคิดว่าหากตัวเองไม่ได้ปิ่นดอกไม้ อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้ไปอย่างนั้นสินะ
แม้จะฟังดูพิลึกพิลั่น แต่หญิงสาวคนอื่นๆ ก็เกิดนึกครึ้มดีใจขึ้นมา นั่นสินะ ท่านจอหงวน ปิ่นดอกไม้นั่นท่านเก็บไว้แต่เพียงผู้เดียวเถิด อย่าได้มอบให้ใครเลย!
เซียวลิ่วหลังพยักหน้าให้กู้เจียว ก่อนจะเบนสายตามาทางสตรีในชุดม่วง ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าแววตาเย็นชา “เชิญแม่หญิงเริ่มการประลองได้เลย”
สตรีชุดม่วงทำหน้าได้ใจ “วั่งเจียงโหลว วั่งเจียงหลิว วั่งเจียงโหลวซย่าวั่งเจียงหลิว เจียงโหลวเชียนกู่ เจียงหลิวเชียนกู่!”
ผู้คนต่างพากันตกตะลึงกับความเจ้าบทเจ้ากลอนของแม่หญิงคนนี้!
“ยิ่นเยว่จิ่ง ยิ่นเยว่อิ่ง ยิ่นเยว่จิ่งจงยิ่นเยว่อิ่ง เยว่จิ่งวั่นเหนียน เยว่อิ่งวั่นเหนียน” เซียวลิ่วหลังโต้กลับเบาๆ ทันควัน
ผู้คนต่างพากันปรบมือให้เขา “สุดยอด!”
สมกับเป็นจอหงวนคนใหม่จริงๆ ! บทที่เขาพูดออกมาช่างกินขาดนัก!
สตรีในชุดม่วงเริ่มอ้ำอึ้ง นางคาดไม่ถึงว่าเขาจะตอบกลับได้เร็วขนาดนี้ ด้วยความไม่อยากเสียหน้า นางจึงร่ายบทต่อ “อู้สั่วซานโถวซานสั่วอู้!”
เซียวลิ่วหลัง “เทียนเหลียนสุ่ยเหวยสุ่ยเหลียนเทียน”
สตรีในชุดม่วง “เยว่จ้าวชาชวง เก้อเก้อข่งหมิงจูเก๋่อเลี่ยง” นางเอ่ยถึงจูเก๋่อเลี่ยง ซึ่งมีนามว่าข่งหมิง
เซียวลิ่วหลัง “เสว่เฟยเหมยหลิง ฉูฉู่เซียงซานไป๋เล่อเทียน” เขาเอ่ยถึงไป๋จวีอี้ ซึ่งมีนามว่าเล่อเทียน ฉายาเซียงซาน
สตรีในชุดม่วงร้อนรนราวไฟสุม นางยังอยากประลองต่อ แต่เซียวลิ่วหลังกลับตัดบทนาง “แม่หญิง ท่านหมดสิทธิ์ถามแล้ว”
นางคือคนแรกที่ขอท้าประลอง โดยคนแรกจะได้สิทธิ์ในการถามสามครั้ง ส่วนคนต่อๆ มาหากต้องการประลองต่อ จะสามารถถามได้แค่คำถามเดียวเท่านั้น
นางโกรธจนควันออกหู ก่อนจะหันไปทางแม่ชีในชุดยาวที่นั่งอยู่ในร้านน้ำชา “ไหนท่านพี่ลองอีกทีสิ! ”
แม่ชีสาวจิบชาเบาๆ ก่อนจะวางถ้วยลง แล้วเอ่ยตอบกลับไปว่า “อย่าไปให้เสียหน้าเลย ถ้าคนอย่างเขาแพ้ง่ายๆ ก็คงไม่ได้เป็นจอหงวนหรอก”
“แต่ว่า…” สตรีชุดม่วงย่ำเท้าไม่พอใจ ก่อนจะกลับไปที่นั่งของตัวเองตามเดิม
หลังจากนางเป็นคนประเดิมคนแรก สักพักก็มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาเริ่มท้าประลองกับเขา แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวกลับมาอยู่ดี
สักพักก็มีสตรีนางหนึ่งเริ่มท้าทายด้วยโจทย์ที่ยากขึ้น นางไม่ได้จะมาทดสอบบทกวี แต่กลับให้เซียวลิ่วหลังอ่านบทความหนึ่งในคัมภีร์ ‘จั๋่วจ่วน’
แถมยังพกคัมภีร์ไว้ในมืออีกด้วย ซึ่งในนั้นมีจำนวนคำถึงเก้าหมื่นกว่าคำ ต้องเป็นยอดมนุษย์ขนาดไหนถึงจะจำได้หมด แล้วนี่ยังจะท้าให้อ่านแบบย้อนหลังอีก
จงใจแกล้งกันชัดๆ !
ตอนแรกก็ดูน่าสนุกอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มจะเห็นใจท่านจอหงวนคนใหม่นี้ขึ้นเสียแล้ว
ขุนนางฝ่ายพิธีการเริ่มปาดเหงื่อ พลางนึกในใจ การท้าประลองแบบนี้ควรจะออกกฎให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ให้อ่านบทกลอนบทกวีอะไรก็ว่าไป มิใช่มาเล่นพิสดารอะไรแบบนี้! นี่มันจงใจทำให้เสียหน้ากันชัดๆ
ต้องเป็นคนที่เรียนหนังสือมาถึงจะรู้ว่าโจทย์แบบนี้หินแค่ไหน ซึ่งพวกชาวบ้านไม่มีทางเข้าใจ พวกเขาอาจมองแค่ว่าให้ท่องจำเท่านั้นก็หมดเรื่อง เป็นถึงจอหงวนแค่นี้ทำไม่ได้หรือ
สตรีเจ้าปัญหายืนยิ้มหน้าระรื่น “ตอบไม่ได้แล้วสินะ ปิ่นดอกไม้นั่นคงต้องเป็นของข้าแล้วล่ะ!”
ทันใดนั้น เซียวลิ่วหลังก็เริ่มอ้าปาก “อวี่ไป๋สือ ซีอวี่สวี่เซิ่งจื่อหวังสื่อจื่อฉู่ ตง…”
สตรีผู้นั้นถึงกับหน้าหงาย พลางมองไปที่หนังสือในมือด้วยความตะลึง นี่ นี่ นี่…นี่มัน เขาจำได้หมดทุกคำเลยหรือนี่!
“ข้าฝีมือต่ำต้อยนัก” เซียวลิ่วหลังพูดทิ้งทวนอย่างเกรงใจก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
“ยังมีอีกหรือไม่”
เขาเอ่ยถาม
ทุกคนต่างอึ้งกับความจำอันดีเลิศของเขาที่สามารถท่องคัมภีร์จั๋่วจวนแบบย้อนกลับได้อย่างไหลลื่น เลยไม่มีใครกล้าเอ่ยปากท้าอีกเพราะเกรงว่าจะเสียหน้าไปมากกว่านี้
เซียวลิ่วหลังเพ่งเล็งไปที่กู้เจียวด้วยสายตาอ่อนโยนที่สาวอื่นๆ เห็นแล้วเป็นต้องพากันอิจฉาตาร้อน “แม่หญิง ถามข้าสิ”
เอ๋ ถึงตานางแล้วรึ
กู้เจียวยืนอ้ำอึ้ง
ทุกคนต่างถามเกี่ยวกับกวีไม่ก็กลอน แต่นางไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยนี่นา
ที่จริงกู้เจียวก็พอรู้บ้าง แต่เพราะเมื่อครู่ดันเผลอไปชายตามองหนุ่มหล่อในขบวนจิ้นซื่อ ก็เลยเกิดอาการสมองไม่ทำงานขึ้นมาเสียอย่างนั้น
กู้เจียวอ้าปากค้างพลางกลอกตาไปมา “เอ่อ…ไป๋รื่ออีซานจิ่น”
ทุกคนที่รอฟังอยู่รอบๆ ต่างพากันสำลัก!
เดี๋ยวก่อนสิแม่หญิง โจทย์แค่นี้เด็กสามขวบก็ตอบได้เถอะ! ท่านผู้นั้นเป็นถึงจอหงวนที่ท่องจำคัมภีร์จั๋่วจ่วนได้เชียวนะ!
เซียวลิ่วหลังร้องอ้่อออกมาหนึ่งที ก่อนจะมองนิ่งๆ แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ข้าน้อยแพ้แล้ว”
คนอื่นๆ “…”
เดี๋ยวก่อนสิท่านจอหงวน โจทย์ง่ายๆ แค่นี้ท่านทำไม่ได้รึ
ทุกคนต่างพากันพูดไม่ออก และในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีสตรีประหลาดปรากฏกายขึ้นพร้อมกับรัวคำพูดออกมาจนฟังไม่ได้ศัพท์
เซียวลิ่วหลังมองสตรีประหลาดด้วยสายจาเย็นชา ก่อนจะโต้กลับด้วยประโยคที่ฟังไม่รู้เรื่องเช่นกัน
สตรีในชุดม่วงคนก่อนหน้าถึงกับเหงื่อตก “ท่านพี่ พวกเขากำลังพูดอะไรกัน”
แม่ชีสาวเลิกคิ้ว พลางตอบ “พวกเขาท่อง ‘ไป๋รื่ออีซานจิ่น’ ด้วยภาษาแคว้นเฉินน่ะ”
“หา” สตรีในชุดม่วงถึงกับนิ่งอึ้งไป
แม่ชีสาวเอ่ยต่อ “จากนั้นท่านจอหงวนคนใหม่ก็เลยโต้ตอบด้วยภาษาแคว้นเฉิน แคว้นเหลียง แคว้นจ้าว แคว้นจิ้น และแคว้นเยียนด้วยประโยค ‘หวงเหอรู่ไห่หลิว’”
หญิงผู้นั้นคงนึกว่าเซียวลิ่วหลังต่อกลอนไม่ได้จริงๆ แถมยังนึกไปว่าตัวเองเก่งกว่าสตรีในชุดเขียวครามคนนั้น อีกทั้งยังนึกว่าท่านจอหงวนจะหันมามองบ้างอย่างนั้นสินะ
ที่ไหนได้ หญิงผู้นั้นกำลังโดนหักหน้าอยู่ต่างหาก
ไม่ว่าใครหน้าไหนท้าเขา เขาตอบได้หมด แต่พอเป็นกู้เจียว เขากลับเว้นให้
นี่สินะที่เขาเรียกว่าชนะทั้งโลกแต่แพ้ให้คนคนๆ เดียว
ผู้คนไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้แต่มองแม่หญิงที่มาท้าประลองที่เอาแต่พูดภาษานกและทำหน้าเหวอราวกับเห็นผี
สาวใช้ของแม่ชีจึงนำคำพูดของแม่ชีเมื่อครู่ไปบอกให้ทุกคนทราบ ทุกคนจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ด้วยความที่รีบตื่นแต่เช้ามาดูจอหงวนคนใหม่ ข้าวเช้ายังไม่ตกถึงท้องเลย คราวนี้คงได้อิ่มกันจนฟันร่วงจมูกร่วงกันไปอย่างแน่นอน!
ในที่สุด กู้เจียวก็ได้ปิ่นดอกไม้จากจอหงวนคนใหม่ไป
พอได้มาก็มองปิ่นดอกไม้นั้นด้วยความใคร่และหลงใหล
สวยงามถูกใจยิ่งนัก!
เซียวลิ่วหลังแอบมองกู้เจียวอยู่ห่างๆ พลางคลี่รอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมาโดยที่เขาเองก็ไม่ทันได้รู้ตัว
ทันใดนั้น ก็มีหัวกลมๆ โผล่มาทางด้านข้างกู้เจียว
“เอ๋ ดอกไม้นี่นา เจียวๆ ข้าอยากได้!” จิ้งคงยื่นมือทั้งสองออกแล้วตบเบาๆ ที่หัวเหม่งของตัวเอง
เหล่าหญิงสาวต่างพากันมองมาทางนี้ด้วยสายตาประมาณราวกับว่า
พ่อหนุ่มน้อย เจ้าน่ะไม่มีผม จะเอาปิ่นไปทำไม เอามาให้พวกข้าดีกว่าน่า!
พวกข้าออกจะผมหนา!
ส่วนจิ้งคงพอเห็นดังนั้นก็เบือนหน้าหนี เหอะ ก็อยากได้นี่นา!
กู้เจียวใช้ผ้าม้วนเป็นเกลียวเพื่อทำให้ดูเหมือนที่คาดผม จากนั้นก็คาดเข้าที่หัวของจิ้งคง ก่อนจะนำปิ่นดอกไม้ติดลงไป จิ้งคงโยกหัวไปมาด้วยความดีใจ
จอหงวนคนใหม่ที่มองอยู่ห่างๆ ก็ถึงกับทำหน้าบูดบึ้ง
เป้าหมายของกู้เจียวคือการคว้าปิ่นดอกไม้สามอันมาให้ได้ บัดนี้นางได้ปิ่นของจอหงวนมาแล้ว ต่อไปคือปิ่นของคนที่เป็นปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวา
พอมาถึงอันจวิ้นอ๋อง กู้เจียวก็ท้าประลองเขาด้วยโจทย์คณิต
อันจวิ้นอ๋อง “…”
เดิมอันจวิ้นอ๋องจะเล่นมุขยอมแพ้แบบเซียวลิ่วหลังเหมือนกัน แต่เขาคาดไม่ถึงว่ากู้เจียวจะโยนโจทย์ยากขนาดนี้มาให้เขา
นี่ใครเป็นคนสอนนางกันนี่ หรือจะเป็นเซียวลิ่วหลัง
เหตุใดนางถึงเอาโจทย์ง่ายๆ ให้เซียวลิ่วหลัง แต่พอเป็นเขาถึงได้เล่นไม้โหดแบบนี้เล่า
อันจว้นอ๋องสูดหายใจลึก ก่อนเอ่ย “ข้ายอมแพ้”
เซียวลิ่วหลังหรี่ตามองอันจวิ้นอ๋องที่ยื่นปิ่นดอกไม้ให้กู้เจียวด้วยสายตาอำมหิต
และไม่นาน กู้เจียวก็พุ่งเป้าไปที่หนิงจื้อหย่วน
จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครท้าทายหนิงจื้อหย่วน ดังนั้นเขาจึงสามารถเลือกที่จะมอบปิ่นให้ได้โดยตรง แต่หนิงจื้อหย่วนไม่ต้องการเช่นนั้น เขาตัดสินใจว่าถ้าใครท้าทายเขา เขาจะปฏิเสธพวกเขาทั้งหมดและเก็บปิ่นไว้เอง
พอเซียวลิ่วหลังเห็นว่ากู้เจียวอยากได้ปิ่นของหนิงจื้อหยวน เขาก็ไม่รู้สึกโกรธแล้ว
หนิงจื้อหย่วนกำปิ่นไว้ในมือแน่น
เขาไม่ยอมให้หรอก
เขาจะเก็บมันไว้เป็นสมบัติของตระกูล
“ส่งปิ่นดอกไม้นั่นให้นางเถอะ” จอหงวนคนใหม่เอ่ยขู่
“ไม่” หนิงจื้อหยวนปฏิเสธ
“ระวังผลที่ตามมาก็แล้วกัน” จอหงวนยังคงโน้มน้าวและข่มขู่ “ข้าเป็นถึงจอหงวน ถ้าเจ้าไม่ทำตามที่ข้าพูด ก็ระวังวันหน้าของเจ้าไว้ก็แล้วกัน”
หนิงจื้อหย่วน “…”
ด้วยความที่จอหงวนมีอำนาจมากกว่าทั่นฮวาและปั้งเหยี่ยน ดังนั้นการที่จอหงวนจะสกัดดาวรุ่งทั่นฮวาจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
โบราณว่าไว้พบเจอความยากลำบากให้อดทน แต่ในวันนี้หนิงจื้อหย่วนกลับไม่ทนพร้อมทั้งมอบปิ่นให้ทั้งน้ำตา!
หนิงจื้อหยวนกัดฟันจำใจยื่นปิ่นดอกไม้ให้กู้เจียว
โธ่ สมบัติของตระกูล
ในที่สุดกู้เจียวก็ได้ปิ่นดอกไม้ครบสามอัน กลายเป็นว่ากู้เจียวคือสตรีคนแรกที่คว้าปิ่นดอกไม้ได้ครบสามอัน แม้แต่ไท่จื่อเฟยเองก็เทียบไม่ติด
ทั้งเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวกลายเป็นคู่ชายหญิงที่ผู้คนให้ความสนใจมากที่สุดในวันนี้
แน่นอนว่าพวกเขาจะกลายเป็นประเด็นสนทนาของชาวบ้านกันไปอีกยาว
ขบวนเดินสายกินเวลาเกือบชั่วโมง พวกเขาเดินขบวนผ่านถนนฉังอานทั้งสาย ไปจนถึงศาลาว่าการ ก่อนจะรับประทานอาหารกลางวัน แล้วแยกย้ายกันกลับเรือน
“ลิ่วหลัง นี่เรื่องจริงใช่ไหม” ณ ห้องโถงในศาลาว่าการ เฟิงหลินกำลังพูดคุยกับเซียวลิ่วหลังด้วยอารมณ์พลุ่งพุ่งพล่าน “ข้าเห็นผู้คนมากมายมองมาที่ข้าตลอดทาง ข้า… ทั้งชีวิตของข้า ..ไม่เคยมีอะไรหวือหวาขนาดนี้มาก่อน”
แม้สิ่งที่เขาเจอแทบจะเทียบไม่ได้กับจอหงวนคนใหม่ แต่เขาไม่เคยคิดที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับเซียวลิ่วหลังแม้แต่นิด ความผิดหวังในการเป็นถงจิ้นซื่อในตอนแรกหายไปอย่างสมบูรณ์ระหว่างที่เดินขบวนไปตามถนน บัดนี้ความรู้สึกของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เขาแค่ต้องการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อรับใช้ราชสำนัก!