สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 258 อร่อย
บทที่ 258 อร่อย
แม้กู้เจียวรู้สึกตั้งรับไม่ทันกับท่าทีของพ่อหนุ่มเมามายที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนอะไร
มืออุ่นๆ ของเขาที่ประคองไว้หลังศีรษะราวกับรั้งไว้ไม่ให้ไปไหน
กู้เจียวเบิกตากว้าง และคล้อยตามท่วงท่าของเขา
ขนาดเกิดมาใช้ชีวิตสองชาติสองภพ แต่กู้เจียวยังไม่เคยแม้แต่จะได้ใกล้ชิดและสัมผัสใครในระยะประชิดขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยปล่อยตัวขนาดนี้มาก่อน
ตอนที่นางยังอยู่ที่องค์กรลับนั้นได้รับฉายาว่าเป็นเงา เงาพิฆาตขาโหดประจำองค์กร แม้จะมีนิสัยชอบสะสมหนุ่มน้อยไว้ในกรุ แต่ก็ได้แค่เอาไว้ดูเล่น ไม่เคยปล่อยให้ถึงเนื้อถึงตัว เพราะอาจารย์ของนางเคยพูดไว้ว่า ผู้ชายก็เปรียบเสมือนยาพิษร้าย ให้อยู่แค่ในขวดก็พอ ไม่ต้องเทมันออก
แต่ค่ำคืนนี้ นางกลับได้ลิ้มชิมรสชาติของยาพิษนี้เต็มๆ
ไม่เห็นจะขมขื่นอย่างที่ว่าไว้เลย กลับกันยาพิษนี้ออกจะหวานละมุนราวกับสุราชั้นดี
อาจารย์มั่วแล้ว
ผู้ชายน่ะ อร่อยจะตาย
เอ๊ะ ไม่สิ เขาคนนี้ต่างหากที่อร่อย
แสงของดวงจันทร์ยามค่ำคืนเริ่มส่องไสว
กู้เจียวค่อยๆ เบียดร่างของตัวเองไปใกล้ๆ พลางเอามือป้องปากตัวเองพร้อมกับมองคนตรงหน้า พอนึกภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็อดยกมุมปากขึ้นไม่ได้
เซียวลิ่วหลังนอนหลับไปแล้ว เสียงลมหายใจเข้าออกดังขึ้นเป็นจังหวะ
ไออุ่นจากร่างของเขาค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจนอุณหภูมิทั้งห้องเริ่มสูงขึ้น
หลับแล้วสินะ เช่นนั้น พูดอะไรไปคงไม่ได้ยินหรอกใช่ไหม
กู้เจียวกลอกตาไปมา โน้มตัวลง ก่อนจะยิ้มแล้วกระซิบข้างหูเขาว่า “เอวเจ้าช่างคมบางราวกับมีดที่เฉือนหัวใจของข้า”
เซียวลิ่วหลังยังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง
จากนั้นก็ชำเลืองไปที่เรียวขาของคนตรงหน้า แล้วกระซิบต่อว่า “ขาของเจ้าช่างเรียวยาวราวกับทางแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ!”
ตายล่ะ เผลอพูดดังเฉยเลย
กู้เจียวรีบเอาหัวมุดไปในผ้าห่ม
เซียวลิ่วหลังยังคงหลับไม่รู้เรื่อง
พอแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ปลุกคนตรงหน้าให้ตื่น กู้เจียวจึงมุดหัวออกจากผ้าห่ม แล้วกระซิบที่ข้างหูของเขาอีกครั้ง “เจ้า อร่อย มาก เลย”
เอ่ยจบก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอนข้างๆ เขา
ขณะที่อยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น จู่ๆ มีลมหายใจร้อนผ่าวเข้ามา ริมฝีปากถูกกดเบา ๆ อีกครั้ง
สงสัยจะกินเพลินไปหน่อยจนเก็บเอาไปฝัน
…
แล้วะกู้เจียวก็ฝันอีกครั้ง
นางฝันว่าเซียวลิ่วหลังได้เข้าวังไปร่วมพิธีลู่หมิง
ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ฮ่องเต้ได้ทรงจัดตั้งขึ้นในวันที่สองของการประกาศ หนึ่งคือเพื่อเฉลิมฉลองแก่บัณฑิตแคว้นเจาที่ได้รับการยอมรับในฐานะจิ้นซื่อ และอีกหนึ่งคือการแสดงความเคารพของจักรพรรดิต่อนักปราชญ์ ในขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเหล่าบัณฑิต
ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังเป็นเด็กที่มาจากตระกูลฐานะต่ำต้อยอีกทั้งได้เป็นม้ามืดและสอบได้อันดับหนึ่ง ไม่แปลกที่เขาจะได้รับความสนใจ ขณะเดียวกันก็ได้รับความเกลียดชังไปด้วย
เซียวลิ่วหลังถูกผู้คนพูดจาดูถูกเหยียดหยามใส่ แต่เขาไม่ได้แสดงท่าทีใส่ใจแต่อย่างใด จากนั้นเขาก็ถูกไท่จื่อเรียกให้เข้าพบ
ระหว่างทางไปพระราชวังตะวันออก จู่ๆ แมวสีขาวก็ตกลงมาจากใต้ต้นไม้ และบังเอิญตกลงมาบนไหล่ของเซียวลิวหลัง
ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังกลัวแมว เขาจึงรีบโยนแมวออกไปตามสัญชาตญาณ เจ้าแมวตัวนั้นถูกโยนลงบนพื้นด้วยเสียงครวญครางแล้ววิ่งออกไปด้วยความตกใจ
และในตอนนั้นเองที่หนิงอ๋องเฟยเดินออกมาพอดี
เจ้าแมวที่ตื่นกลัวได้ชนเข้ากับท้องของหนิงอ๋องเฟย นางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว บวกกับทรงมีพลานามัยไม่ค่อยสมบูรณ์อยู่ก่อนแล้ว พอโดนเจอเจ้าแมวชนเข้าให้ก็เกิดแท้งครรภ์จนได้
เซียวลิ่วหลังผู้ดวงซวยที่เพิ่งจะได้เป็นจอหงวนแค่วันเดียวกลับถูกโทษข้อหาลอบปลงพระชนม์ว่าที่องค์รัชทายาท
แม้ฮ่องเต้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเซียวลิ่วหลังไม่ได้ตั้งใจ แต่สุดท้ายคนเริ่มก็คือเขาอยู่ดี
ในเมื่อกฎของวังเป็นแบบนี้ ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเต็มๆ
ความฝันครั้งนี้ของกู้เจียวช่างหนักหน่วงเสียจนนางลืมตื่น
พอลืมตาอีกทีก็พบว่าฟ้าสางแล้ว เซียวลิ่วหลังไม่อยู่ที่ห้องแล้ว แต่เครื่องแบบจอหงวนของเขายังคงอยู่บนเก้าอี้เหมือนเดิม
กู้เจียวแต่งตัวเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่บ่อน้ำ
แต่พอไปถึง ก็พบว่าน้ำถูกเตรียมไว้อยู่แล้วพร้อมกับมีผ้าเช็ดตัววางอยู่ด้านข้าง
แม่นมฝางเดินเข้ามาหาพร้อมกับถาดพริกแห้งในมือ ก่อนจะยิ้มให้กู้เจียว “ลูกเขยเขาเตรียมไว้ให้น่ะคุณหนู พอเขาได้ยินว่าคุณหนูตื่นแล้วก็รีบมาเตรียมน้ำอุ่นให้เลย”
กู้เจียวนึกในใจ สามีน่ารักที่สุด
ส่วนเซียวลิ่วหลังอยู่ในครัวกับแม่นางเหยา เมื่อวานเซียวลิ่วหลังกลับดึกเลยไม่ได้กินขนมของแม่นางเหยา นางจึงตื่นเช้ามาทำให้เขากินอีกรอบ
เซียวลิ่วหลังพยายามจะเข้าไปช่วย แต่แม่นางเหยากลับปฏิเสธ ใครจะกล้าให้ท่านจอหงวนมาลงครัวแบบนี้กันล่ะ
แต่แม่นางเหยาไม่ปล่อยให้เซียวลิ่วหลังเสี่ยวหลิวหลางทำเช่นนี้ ดังนั้นเซียวหลิ่วหลังจึงไปทำอย่างอื่นแทน เช่น รดน้ำแปลงผัก ทำความสะอาดเล้าไก่
ในไม่ช้า สมาชิกในครอบครัวก็เริ่มตื่นขึ้นทีละคน กู้เหยี่ยนและ และกู้เสี่ยวซุ่นพอตื่นขึ้นก็ออกมาแสดงความยินดีกับพี่เขยของพวกเขา ส่วนเสี่ยวจิ้งคงยังคงติดใจและหลงใหลอยู่กับปิ่นดอกไม้ไม่หยุดหย่อน
ในบรรดาปิ่นดอกไม้ทั้งสาม ปิ่นของจอหงวนนั้นสวยและดูซับซ้อนมากที่สุด
จนเสี่ยวจิ้งคงเริ่มคิดในใจว่าเขาเองก็อยากจะสอบจอหงวนบ้าง จะได้มีปิ่นดอกไม้สวยๆ เอาไว้ใช้
หญิงชรามอบเงินซองแดงให้เซียวลิ่วหลังและกู้เจียว
มาตรฐานการมอบซองแดงของนางก็คือ ถ้าลิ่วหลังได้ซอง กู้เจียวต้องได้ด้วย แต่ถ้าลิ่วหลังไม่ได้ อย่างน้อยกู้เจียวต้องได้
ทุกคนทานข้าวเช้ากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ดวงตาของเซียวลิ่วหลังเย็นชาและสงบราวกับว่าเขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาเมา
เสี่ยวจิ้งคงสังเกตเห็นสีหน้าของกู้เจียวและพี่เขยตัวแสบที่ดูแปลกๆ ไป จึงก็เลยเอ่ยทัก “ทำไมพวกเจ้าปากแดงหน้าแดงเชียว กินอะไรกันมารึ”
ทั้งคู่สำลักพร้อมกัน
พอทานข้าวเช้าเสร็จ เซียวลิ่วหลังส่งเจ้าตัวเล็กเข้าเรียน จากนั้นเขาไปที่ศาลาว่าการเพื่อทำเรื่องแต่งตั้งตำแหน่งจอหงวน และแจ้งสังกัดว่าอยู่ในสำนักฮั่นหลิน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ภูมิลำเนาของเขาคือเมืองหลวง ซึ่งอภิสิทธิ์นี้มีเพียงแค่ผู้ที่สอบได้สามอันดับแรกเท่านั้นจึงจะพึงมี
พอช่วงกลางวัน จี้จิ่วอาวุโสพาเขาไปทำความรู้จักกับพวกผู้ใหญ่ และจากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่งานเลี้ยงหมิงลู่ต่อ
กู้เจียวพอรู้ว่าวันนี้เขาจะเดินทางไปที่ไหนบ้าง ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ พอส่งเขาเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่โรงหมอ
เซียวลิ่วหลังเดินทางไปยังวังหลวงตอนช่วงบ่าย
แม้จะยังไม่ถึงเวลางาน แต่เหล่าจิ้นซื่อต่างก็เริ่มทยอยกันเข้ามาในงานแล้ว และกำลังสนทนาพูดคุยกันเพื่อกระชับมิตร เผื่อว่าในอนาคตจะได้พึ่งพาบารมีของกันและกัน
ส่วนเฝิงหลินและคนอื่นๆ ด้วยความที่เมื่อวานกลับดึกเพราะมัวแต่ดื่มเหล้าและเที่ยวต่อ วันนี้พวกเขาจึงตื่นสาย แต่กระนั้นก็มาถึงวังก่อนเซียวลิ่วหลังอยู่ดี
“ลิ่วหลัง!” เฝิงหลินพอเห็นเพื่อนรักที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็เอ่ยทักทาย
“ลิ่วหลัง” หลินเฉิงเย่เองก็เอ่ยทักทายเขาเช่นกัน
ส่วนตู้รั่วหานกลับเบ้ปากถอนหายใจ
“เมื่อวานเจ้าดื่มเยอะเลย ไหวอยู่ไหมนั่น” เฝิงหลินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เมื่อวานคนไปส่งเจ้าควรจะเป็นข้าแท้ๆ ”
“เอาน่า ข้าไม่เป็นไร” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ
ตู้รั่วหานยังคงถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ย “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าเขาไม่เป็นไร กลับไปก็มีลูกมีเมียคอยดูแล เจ้าจะกังวลไปทำไมเพื่อ”
“อะแฮ่ม รีบเข้าไปกันเถอะ” เซียวลิ่วหลังรีบตัดบท
แล้วทั้งสี่คนก็เดินเข้าไปด้านในตำหนัก
หลายคนในงานมองเซียวลิ่วหลังด้วยสีหน้าไม่พอใจทีเมื่อวานนี้เขารีบกลับก่อน
“คิดว่าเก่งมาจากไหน ลองนึกดูสิว่าคนแบบนั้นขึ้นมาเป็นจอหงวนได้อย่างไนกัน”
“เบาๆ สิ เดี๋ยวก็ได้ยินกันหมดหรอก”
เหล่าจิ้นซื่อต่างพากันซุบซิบนินทาถึงเซียวลิ่วหลัง
คนที่เป็นคนเริ่มคือหวังเยวียน เป็นทายาทตระกูลเศรษฐีเช่นเดียวกับหลินเฉิงเย่ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว หวังเยวียนมีชื่อเสียงมากกว่า ใครหลายๆ คน รวมถึงซูเฟยต่างก็เทคะแนนให้เขาได้เป็นทั่นฮวา
ด้วยความที่ความสามารถของเขาไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ชื่อเขาจึงถูกตัดออกจากยี่สิบอันดับแรก
สุดท้าย ชื่อของเขาตกอยู่ที่อันดับเจ็ดสิบห้า
พอหวังเยวียนเห็นว่ามีคนพยายามปรามเขา ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ “ทำไมต้องกลัวใครมาได้ยินด้วย ข้าพูดผิดตรงไหน! ที่เจ้านั่นสอบได้ก็เพราะหน้าของเจ้านั่นมีความคล้ายกับบุตรชายของเซวียนผิงโหวก็เท่านั้น สงสัยจะคิดว่าตัวเองได้เป็นท่านโหวน้อยแล้วกระมัง!”
ด้วยความที่อยู่ในวัง หวังเยวียนจึงไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะเกรงว่าจะเป็นการกล่าวหาว่าฮ่องเต้ลำเอียง
แต่ต่อให้เขาไม่ได้พูดที่นี่ เขาก็เอาไปพูดที่อื่นอยู่ดี ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาที่เซียวลิ่วหลังกลับไปก่อน พวกเขาก็เริ่มคุยลับหลังกันแล้ว
วันนั้นที่เซวียนผิงโหวมาหาเซียวลิ่วหลังก็เป็นอันกระจ่างว่าเพราะอะไร
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเปิดโปงเรื่องคะแนนสอบที่ผ่านๆ มาของเซียวลิ่วหลังอีกด้วย
“เจ้านั่นน่ะนะ ตอนอยู่สำนักบัณฑิตเทียนเซียงมักสอบได้ที่รองโหล่ตลอด แต่พอหลังจากนั้นไม่กี่เดือน พอถึงตอนสอบระดับอำเภอ กลับสอบได้ที่หนึ่ง พวกเจ้าว่าน่าสงสัยไหมล่ะ”
“เป็นเพราะอะไรล่ะ”
“จะเป็นอะไรได้อีกล่ะ ก็เจ้าสำนักของสำนักบัณฑิตเทียนเซียงเป็นลูกศิษย์คนโปรดของจี้จิ่วอาวุโส เป็นรุ่นพี่ของท่านโหวน้อยน่ะสิ! สงสัยเห็นว่าหน้าตาละม้ายคล้ายกันก็เลยเกิดอยากให้คะแนนพิศวาสกระมัง”
“แล้ว…ตอนสอบระดับจังหวัดล่ะ”
“ก็คนที่คุมสอบระดับจังหวัดก็คือท่านจวงซื่อฉื่อยังไงล่ะ เจ้าไม่เคยได้ยินหรือที่เขาเคยเป็นอาจารย์ของไท่จื่อเฟยกับท่านโหวน้อยมาก่อน พวกเจ้าลองคิดดูสิว่าจะไม่ให้ลำเอียงได้อย่างไร”
“แล้ว…ตอนสอบระดับสำนักทำไมเขาถึงไม่ได้ที่หนึ่งล่ะ”
“ก็หัวหน้าคุมสอบคือคนของตระกูลหลัว เฮ่อจิงหงอย่างไรเล่า! ใครจะไปกล้ามีเรื่องกับเขา”
ที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดไร้ซึ่งตรรกะทั้งสิ้น
ที่จริงคนที่ควรได้ที่หนึ่งในการสอบระดับสำนักควรจะเป็นเซียวลิ่วหลังด้วยซ้ำ ถ้าไม่เจอกับอุบายของพวกตระกูลหลัวที่แอบสับเปลี่ยนข้อสอบจนเฮ่อจิงหงได้ขึ้นเป็นที่หนึ่งเสียก่อน
เมื่อคืนช่วงระหว่างที่พวกหวังเยวียนนินทาถึงเซียวลิ่วหลังอยู่ เดิมเฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่ดื่มจนเมาและจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่พอมาวันนี้ พอได้ยินอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่าพวกเขาจำเรื่องราวทุกอย่างได้ในทันที
เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่เดินดุ่มเข้าไปที่หวังเยวียนด้วยความหัวร้อน แต่กลับถูกเซียวลิ่วหลังห้ามไว้ก่อน “อย่าก่อเรื่องที่นี่เป็นอันขาด”
เฝิงหลินกัดฟัน “แต่ว่า…”
ตู้รั่วหานมองเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะหันไปพูดกับเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ “เจ้าตัวเขาไม่เห็นจะโกรธอะไรเลย พวกเจ้าจะโกรธไปทำไม แล้วอย่างไรเล่า พวกเจ้าจะไปเย็บปากเจ้านั่นรึ”
การพูดจาใส่ร้ายเป็นเพียงเริ่มต้นเท่านั้น และยังมีเรื่องน่ากลัวกว่านี้รอให้จัดการอีกเยอะ
งานเลี้ยงใกล้เริ่มแล้ว ทุกคนจึงรีบประจำที่
ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับลำดับที่นั่ง แต่เป็นธรรมเนียมที่ทุกคนจะนั่งตามลำดับของตนเอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อันจวิ้นอ๋องเข้าไปในห้องโถง เขาไม่ได้นั่งข้างๆ เซียวลิ่วหัลัง แต่เดินไปฝั่งตรงข้ามและนั่งจุดที่เป็นตำแหน่งของทูตชั้นโทแทน
ที่นั่งข้างๆ เซียวลิ่วหลังว่างอยู่และไม่มีใครกล้าเข้าไปนั่งใกล้เขา
สักพัก หนิงจื้อหย่วนที่มาสายก็พบว่าที่นั่งของปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวาไม่มีใครนั่งเลยสักคน เขาเหลือบมองที่อันจวิ้นอ๋องซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม เขาไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะนั่งลงเงียบ ๆ ข้างเซียวลิ่วหลัง