สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 261.2 ความจริง (2)
บทที่ 261 ความจริง (2)
ยามบ่าย นางไปยังกั๋วจื่อเจียนเพื่อรับเสี่ยวจิ้งคงหลังเลิกเรียน
เสี่ยวจิ้งคงออกมาพร้อมกับฉินฉู่อวี้และสวี่โจวโจว
หลังจากเหตุการณ์ตะลุมบอนหมิงเอ๋อร์ที่ตำหนักบูรพา ทั้งสามคนก็ไม่ได้ไปก่อเรื่องวุ่นวายที่วังหลวงอีกเลย แต่วันนี้ฉินฉู่อวี้นั้นอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาพบรังนกขนาดยักษ์บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในวังหลวง เขาอยากจะไปสอยรังนกกับผองเพื่อน
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียวก่อนจะกอดหมับที่ขาของนาง ศีรษะน้อยคลอเคลียกับลำตัว “เจียวเจียว ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”
กู้เจียวลูบหัวโล้นน้อยๆ ของเขา “วันนี้เล่นสนุกไหม”
“สนุก!” เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าขึ้น มองกู้เจียวตาปริบๆ พลางเอ่ย “เจียวเจียว ข้าไปเล่นที่วังหลวงจะได้ไหม”
เรื่องราวเมื่อคราวก่อน เซวียนผิงโหวไม่ได้บอกกับกู้เจียว กู้จึงไม่รู้ว่าเหล่าเด็กน้อยได้ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรไว้ แต่ถึงแม้จะรู้กู้ เจียวก็ไม่กลัวว่าจะเรื่องซ้ำสอง
ฮ่องเต้เปิดเผยตัวตนให้กู้เจียวได้รับรู้แล้ว พระโอสรของฮ่องเต้และเรื่องที่ว่าตัวตนที่แท้จริงของฉินฉู่อวี้เป็นใคร กู้เจียวเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
กู้เจียวไม่รับปากในทันทีแต่กลับถามกลับว่า “คนที่บ้านเจ้ารับรู้แล้วใช่หรือไม่”
ฉินฉู่อวี้พยักหน้ารัว “รู้แล้ว รู้แล้ว! หากไม่เชื่อประเดี๋ยวพี่สะใภ้ข้าจะมารับข้า! เจ้าจะถามนางดูก็ได้!”
พูดไม่ทันขาดคำก็มาพอดี
รถม้าของไท่จื่อเฟยจอดลงที่หน้าประตูกั๋วจื่อเจียน ขันทีหนุ่มนายหนึ่งลงมาจากรถม้าแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินฉู่อวี้ ก่อนจะส่งยิ้มบางให้เขา “ท่านชายเจ็ด ข้าน้อยมารับพวกท่านแล้วขอรับ”
ฉินฉู่อวี้ถามขึ้นในทันใด “พี่สะใภ้มาด้วยหรือไม่”
ขันทีหนุ่มชะงักไป ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินน้อย…วันนี้มีธุระกะทันหัน มาไม่ได้ จึงให้ข้าน้อยมารับท่านแทน”
ฉินฉู่อวี้หงุดหงิดเป็นที่สุด “ไหนรับปากแล้วว่าจะมารับข้านี่นา…เหตุใดนางถึงกลับคำเล่า”
ขันทีหนุ่มตอบอย่างลนลาน “ฮูหยินน้อยไม่ได้กลับคำนะขอรับ ไม่ขอปิดบังท่านก็แล้วกัน ฮูหยินน้อยไปซื้อขนมเปี๊ยะงาให้ท่านชาย ท่านชายบอกว่าชอบกินขนมเปี๊ยะงาเมื่อคราวก่อนมากเลยไม่ใช่หรือขอรับ”
พอได้ยินว่าไปซื้อขนมเปี๊ยะให้ตน ฉินฉู่อวี้ก็โล่งใจ “เช่นนั้นก็ได้ พวกเราล่วงหน้าไปก่อนก็แล้วกัน!”
ฉินฉู่อวี้กับเสี่ยวจิ้งคงต่างพากันขึ้นรถม้าไปแล้ว แต่สวี่โจวโจวยังคงลังเลเล็กน้อย
ตั้งแต่ถูกพ่อของเขาลากตัวกลับบ้านไปฟาด พ่อของเขาก็กำชับเขาว่าห้ามไปก่อเรื่องที่วังหลวงอีกเป็นอันขาด
เขาจึงไม่กล้าไป
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นไปบ้านข้ากัน! ใกล้ๆ บ้านข้ามีสวนผลไม้ ที่นั่นก็มีรังนกให้สอยเหมือนกัน!”
สวี่โจวโจวไม่คัดค้าน
ฉินฉู่อวี้ทอดถอนใจด้วยความระอา “ในเมื่อพวกเจ้าดึงดัน เช่นนั้นก็ได้” เขาบอกกับขันทีหนุ่ม “ข้าไปเล่นสักพักประเดี๋ยวค่อยกลับ!”
ขันทีหนุ่ม “เอ่อ แต่ว่า…”
แต่ว่าอะไรเล่า
ฉินฉู่อวี้สลัดกระเป๋าหนังสือทิ้งเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะลากเพื่อนทั้งสองวิ่งฉิวออกไป
ทั้งๆ ที่อ้วนจ้ำม่ำแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงวิ่งเร็วนัก
กู้เจียวลูบคางไปมา ไม่ได้ตามเข้าวังไป น่าเสียดายจริงๆ
กู้เจียวตามเหล่าเด็กๆ ไปยังสวนผลไม้ เพราะมีคนจากตระกูลสวี่และขันทีหนุ่มคอยดูแล กู้เจียวจึงไม่ต้องกังวลใจ
ข้าวสารและเครื่องเทศที่บ้านหมดพอดี กู้เจียวตั้งใจว่าจะไปตลาดเพื่อซื้อเสียหน่อย นึกไม่ถึงเลยว่าที่เครื่องเทศที่ตลาดจะขายหมดเกลี้ยง ที่ถนนฉังอันยังมีร้านขายเครื่องเทศอยู่ร้านหนึ่ง ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก
กู้เจียวสะพายตะกร้าใบน้อยขึ้นบนหลังแล้วมุ่งหน้าไปยังถนนฉังอัน
ถนนฉังอันนั้นคึกคักกว่าถนนเซวี่ยนอู่นัก รถม้าคับคั่ง ผู้คนมากมาย ยามนี้ใกล้เวลามื้ออาหาร กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอลอยอบอวลออกมาจากบรรดาโรงน้ำชาและร้านอาหาร
“ซาลาเปา ซาลาเปาไส้เนื้อร้อนๆ จากเตา”
พ่อค้าริมทางตะโกนเรียกลูกค้า
“แม่นาง ซาลาเปาสักลูกไหมจ๊ะ” พ่อค้ามองไปทางกู้เจียว
กู้เจียวส่ายหน้า “ไม่เป็นไรจ้ะ”
นางมุ่งตรงไปยังร้านขายเครื่องเทศ ซื้อเครื่องเทศมาเล็กน้อย ยามเดินออกมาก็เห็นคนขายถังหูลู่ นางจึงซื้อมาห้าหกไม้เผื่อเด็กๆ หญิงชรา และเสี่ยวซุ่นคนละไม้
ตะกร้าใบน้อยหนักอึ้ง นางหันหลังเพื่อเดินกลับบ้าน ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว สายตาก็เหลือบเป็นเห็นร่างอันแสนคุ้นเคย
ที่บอกว่าคุ้นเคยนั้นเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายสวมชุดขาวกับงอบที่มีผ้าแพรสีขาวคลุมหน้า ข้างกายมีนางข้าหลวงอีกสองนาง หนึ่งในนั้นนางเคยเห็นหน้ามาก่อน
ซึ่งคือตอนที่เกิดเหตุโรงมหรสพถล่ม
นางถูกเฟยซวงล่อลวงไปยังห้องใต้ดินของโรงมหรสพ ทำลายแผนการนัดพบของไท่จื่อเฟยและเซวียนผิงโหว ในตอนนั้นไท่จื่อเฟยก็สวมชุดเช่นนี้ และคนที่ติดตามนางก็คือนางข้าหลวงผู้นี้
พยายามแทบตายแต่คว้าน้ำเหลว แต่พอล้มเลิกกลับสำเร็จอย่างง่ายดาย
“แม่นาง แม่นาง!”
พ่อค้าขายถังหูลู่วิ่งตามมา
“เมื่อครู่เก็บเงินเจ้าเกินน่ะ นี่ให้เจ้า!”
กู้เจียวเหลียวหลังไปมองเขา “มีอะไรหรือ” พ่อค้ายื่นเงินห้าเหรียญทองแดงให้นางด้วยความละอายใจ “ขอโทษด้วยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร” กู้เจียวตอบ
คลาดสายตาเพียงครู่ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของไท่จื่อเฟยแล้ว
กู้เจียวมองผู้คนที่หลั่งไหลดั่งสายน้ำ หรี่ตามองราวกับคิดอะไรบางอย่าง
ภายในห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ไท่จื่อเฟยได้พบกับเซวียนผิงโหวที่สวมชุดตัวโคร่งสีม่วงก่ำ
เซวียนผิงโหวนั่งมาดเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้พนักสูง ข้างกายมีฉังจิ่งที่กอดกระบี่ด้ามหนึ่งยืนอยู่
“พวกเจ้าออกไปรอข้างนอก” ไท่จื่อเฟยสั่งนางข้าหลวงสองคนที่ติดตามมาด้วย
ทั้งสองขานรับ ก่อนจะออกไปจากประตูอย่างว่าง่าย
ไท่จื่อเฟยเดินเข้ามาในห้องแล้วค้อมตัวคำนับให้แก่เซวียนผิงโหวด้วยความนอบน้อม “ท่านลุง”
เซวียนผิงโหว “ไท่จื่อเฟยให้เกียรติขุนนางต่ำต้อยยิ่งนัก”
ไท่จื่อเฟยเอ่ย “ท่านลุงอย่าได้พูดเช่นนั้น ในห้องนี้ไม่มีไท่จื่อเฟย มีเพียงหลินหลัง หลินหลังยังคงเป็นลูกหลานของท่านอยู่เสมอ สมควรแล้วที่ต้องคำนับให้ท่าน”
เซวียนผิงโหวทอดถอนใจ “เจ้านั่งลงเถิด”
“เจ้าค่ะ” ไท่จื่อเฟยนั่งลงฝั่งตรงข้ามของเซวียนผิงโหว
ฉังจิ่งรินชาให้ใครไม่เป็น เขาเป็นมือสังหาร มือของเขาใช้ฆ่าคนและเล่นลูกแก้วเท่านั้น
เขายืนด้วยมาดเย่อหยิ่งอยู่ตรงนั้น
แพขนตาของไท่จื่อเฟยกระพือขึ้นลง ยื่นมือออกไปหมายจะยกกาน้ำชาขึ้นด้วยตนเอง ทว่าเซวียนผิงโหวกลับเร็วกว่าก้าวหนึ่ง แล้วรินน้ำชาให้นางเอง
ไท่จื่อเฟยเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอบใจท่านลุงมากนัก”
เซวียนผิงโหววางกาน้ำชาลง “เจ้ามาพบข้าในวันนี้มีเรื่องอันใดหรือ”
ไท่จื่อเฟยหลุบตาลง พลางยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองไปทางเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านลุง เขาไม่ใช่อาเหิงจริงๆ หรือเจ้าคะ”
เซวียนผิงโหวชะงักไปเล็กน้อย “ผู้ดูแลหลิวมิได้บอกเจ้าแล้วหรือ เขาเป็นลูกนอกสมรสของข้าที่อำเภอซ่ง”
ไท่จื่อเฟยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “แต่เขากับอาเหิงหน้าเหมือนกันถึงปานนั้น…”
เซวียนผิงโหวยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้น “ข้าเองก็หวังว่าเขาจะเป็นอาเหิงเช่นกัน ข้าเองก็ถามเขาต่อหน้าแล้ว”
แววตาของไท่จื่อเฟยวูบไหว “เขาว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงเรียบ “จะว่าอย่างไรได้เล่า ย่อมต้องบอกว่าไม่ใช่”
เซวียนผิงโหวพูดพลางล้วงร่างหนังสือฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “นี่เป็นร่างคำตอบข้อสอบระดับเตี้ยนซื่อของเขา เจ้าลองดูซิว่าลายมือเหมือนอาเหิงหรือไม่”
ไท่จื่อเฟยรับร่างคำตอบมา หลังจากพินิจมองอย่างละเอียด สีหน้าก็ดูผิดหวัง “แตกต่างจากลายมือของอาเหิงลิบลับเลยเจ้าค่ะ บางครั้งข้าก็หวังว่าเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนจะเป็นเพียงแค่ฝันร้าย เพียงแค่ลืมตาขึ้นมา อาเหิงจะยังอยู่ที่จวน”
เซวียนผิงโหวกำถ้วยชาในมือแน่น
ไท่จื่อเฟยเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรพูดเรื่องปวดใจในอดีต”
“ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป” เซวียนผิงโหวเอ่ย
ไท่จื่อเฟยยิ้มพลางเอ่ยอย่างเจ็บปวด “หากอาเหิงฟื้นขึ้นมา องค์หญิงคงมีความสุขยิ่งนัก ยามนี้ถึงพูดไปก็ไม่มีความหมาย…”
เซวียนผิงโหวเอ่ย “หากไม่มีธุระอันใดแล้ว กระหม่อมขอทูลลา”
ไท่จื่อเฟยลุกยืนขึ้น พลางมองส่งเขาเดินออกไป
ฉังจิ่งเดินนำหน้า เปิดประตูห้องให้เขา
เท้าข้างหนึ่งของเขาเพิ่งก้าวพ้นประตูไป ไท่จื่อเฟยก็เอ่ยรั้งเขาไว้ “อาเหิงกลัวแมว ท่านลุงรู้หรือไม่เจ้าคะ หากท่านลุงอยากรู้ว่าเขาใช่อาเหิงหรือไม่…”
เซวียนผิงโหวตัดบทนาง “อาเหิงตายแล้ว บนโลกนี้ไม่มีอาเหิงแล้ว”
…
หลังจากเซวียผิงโหวจากไป ไท่จื่อเฟยก็นั่งอยู่ที่โรงน้ำชากว่าครึ่งชั่วยามถึงจะลงมาจากชั้นบน
ทว่าหลังจากที่นางเดินออกมาจากห้อง ประตูของห้องที่อยู่ถัดกันก็เปิดออก
กู้เจียวเดินออกมาจากห้อง แววตาของนางดูอันตรายยิ่งนัก
รถม้าจอดอยู่ในตรอกข้างโรงน้ำชา
ไท่จื่อเฟยสวมชุดลำลองยามออกมาข้างนอก ไม่มีองครักษ์ติดตามมากนัก มีเพียงยอดฝีมือของวังหลวงคนหนึ่งที่ทำหน้าที่สารถี
รถม้าจอดอยู่ตรงหน้าแล้ว
นางก้าวเดินไปทางรถม้า กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าอยู่แล้ว ทว่าทันใดนั้นเงาร่างผอมบางก็โรยตัวลงมาจากหลังคา
เงาร่างนั้นโรยตัวลงมาด้านหลังนาง จากนั้นศีรษะของนางถูกครอบด้วยกระสอบใบหนึ่ง!