สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 265.1 ฟื้นคืนความทรงจำ (1)
บทที่ 265 ฟื้นคืนความทรงจำ (1)
จี้จิ่วอาวุโสขมับเต้นกระตุก!
เซวียนผิงโหวผู้นี้หากไม่มาก็วางใจ แต่พอมาแล้วก็เล่นกันถึงตายเชียวหรือ!
เขาจำผิดเสียที่ไหนกันเล่า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตั้งใจจำผิด
จวงไทเฮาประทับนอกวังเพื่อรักษาตัว ใครที่ไหนจะป่าวประกาศไปทั่วว่าหญิงนางหนึ่งที่เป็นภรรยาเขาคือไทเฮาแห่งราชสำนักกัน
แม้ฮ่องเต้จะไม่โปรดไทเฮาสักเท่าไหร่ แต่ด้วยพระเกียรติของราชสำนัก หากรักษาไว้ได้ก็ย่อมคงอยู่ แต่หากถูกทำลายแล้วก็ไม่อาจกอบกู้คืนมาได้ เพื่อรักษาเกียรติยศของราชสำนักและการปกครองแล้ว ฮ่องเต้จึงไม่มีทางยอมรับหญิงที่นอกใจฮ่องเต้พระองค์ก่อนว่าคือจวงไทเฮาอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีฮ่องเต้ก็หาหนทางกำจัดจวงไทเฮาอยู่แล้ว เพียงแต่ฮ่องเต้นั้นต้องคิดหน้าคิดหลังมากกว่าเซวียนผิงโหว ประกอบกับจวงไทเฮาเป็นผู้ครอบครองสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการอยู่ในมือมาโดยตลอด หากเซวียนผิงโหวฆ่าจวงไทเฮาจริงๆ ฮ่องเต้ย่อมเกรี้ยวโกรธ ย่อมเสียดายที่ได้สิ่งที่ตนสมควรจะได้ แต่ไม่มีทางประหารชีวิตเซวียนผิงโหวแน่นอน
เอาล่ะ คราวก่อนเขาไม่ได้ตาฝาดสินะ เซวียนผิงโหวช่างเจ้าเล่ห์นัก!
คนทั่วไปต่างขนานนามเซวียนผิงโหวว่าแม่ทัพไร้พ่าย ชนะศึกมาได้ด้วยความห้าวหาญของตน ทว่าความจริงแล้วพวกเขาล้วนแต่คิดผิด ความกล้าหาญนั้นสำคัญก็จริง แต่หากเซวียนผิงโหวไม่มีสมองเลย คงถูกกองทัพศัตรูปั่นหัวไปตั้งนานแล้ว
จี้จิ่วอาวุโสเป็นฝ่ายที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ใจหนึ่งต้องกล้ำกลืนฝืนทนความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ใจหนึ่งก็กลัวว่าจวงจิ่นเซ่ส่อจะถูกฆ่า เขาจึงเอ่ยขึ้นในทันใด “หน้าเหมือนไม่ได้เลยหรือไร ผู้ใดแอบอ้างกัน”
เซวียนผิงโหวยิ้มถากถาง “เหอะ ลูกนอกสมสรสรข้ากับลูกชายคนโตข้าหน้าตาเหมือนกันก็แล้วไป อย่างน้อยก็เป็นพี่น้องกัน แต่คนผู้นี้กับพระองค์นั้นในวังมีความสัมพันธ์อันใดกันหรือ พี่สาวน้องสาวหรือ ว่าอย่างไร”
จี้จิ่วอาวุโสไม่รู้จะตอบเช่นไร
เจ้าช่วยเป็นขุนพลเงียบๆ สงบเสงี่ยมจะได้ไหม เจ้าเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ แต่กลับไหวพริบเฉียบแหลมแถมยังปากคอเราะร้ายเช่นนี้ ไม่เหลือหนทางให้พวกขุนนางฝ่ายบุ๋นเลยหรือ
จี้จิ่วอาวุโสแสดงออกว่าตนเองยังอดทนไหว ไม่มีทางยอมแพ้ให้กับแม่ทัพผู้นี้เป็นแน่ เขาหันไปมองเซวียนผิงโหวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าจะฆ่านางไม่ได้! นางเป็นท่านย่าของลิ่วหลัง!”
ทุกอย่างหยุดชะงัก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าท่านย่าก็เป็นพี่สาวน้องสาวของท่านปู่ได้เช่นกัน และแน่นอนว่าเซวียนผิงโหวไม่มีป้าแม้แต่คนเดียว จี้จิ่วอาวุโสฉลาดราวกับเทพเซียนมาประทับร่าง “ป้าของพ่อของพี่ชายคนโตของเขา!”
พี่ชายคนโตที่กล่าวถึงนั้นคือลูกชายคนโตของเฉินอวิ๋นเหนียงและสามีเก่า หากเป็นท่านย่าของพี่ชายคนโต เซียวลิ่วหลังที่เป็นน้องชายแม่เดียวกันจะเรียกว่าท่านย่าเหมือนกันก็มิใช่เรื่องผิด
ยิ่งไปกว่านั้นพี่ใหญ่ก็ดีกับลิ่วหลังมาก เซียวลิ่วหลังจะเลี้ยงดูท่านย่าแทนพี่ใหญ่ก็ไม่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง
เซวียนผิงโหวส่งเสียงเย้ยหยันพลางเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นรึ”
จี้จิ่วอาวุโสชูนิ้วขึ้นสาบาน “จริงแท้แน่นอน! หากโกหก ขอให้ฟ้าผ่า…”
ครึน เปรี้๊ยง เปรี้๊ยง
สายฟ้าพาดผ่านท้องฟ้าเสียงดังสนั่น!
จี้จิ่วอาวุโส “…”
ฉีกหน้ากันขนาดนี้เชียวหรือ
ฝนใกล้จะตกแล้ว ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับทะเลเมฆกับลงโถมทับม่านฟ้า
บรรยากาศก็พลัดอึดอัดตามไปด้วย
ฉังจิ่งไม่ได้ผลีผลามลงมือ ทว่าไม่ใช่เพราะคำพูดของจี้จิ่วอาวุโสสะกิดใจเขา แต่เพราะลูกแก้วของเขาหายไปต่างหาก เขาก้มลงมองควานหาลูกแก้วในกระเป๋ากางเกง
เซวียนผิงโหวมองไปทางหญิงชรา หญิงชราเองก็มองเขา ดวงตาสองคู่ปะทะกัน สายฟ้าที่ผ่าลงมาสว่างวาบกลางฟากฟ้า ใบหน้าของทั้งสองสว่างวาบท่ามกล่างม่านราตรี
มังกรแม้จะพลาดท่าอย่างไรก็ยังเป็นมังกรอยู่วันยังค่ำ
แม้สูญเสียความทรงจำ แม้จะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบกระด้าง แต่สำหรับเทพสงครามอย่างเซวียนผิงโหวแล้ว มาดอันน่าเกรงขามของหญิงชรานั้นไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย แม้แต่สายตาต่อต้านนั้นยังแฝงไปด้วยตัวตนของจวงจิ่นเซ่ส่อ
จี้จิ่วอาวุโสปวดหัวจนแทบจะระเบิด เขาเอ่ยกับเซวียนผิงโหว “เจ้าฟังข้าก่อน เรื่องราวในตอนนั้นอาจเป็นเพียงความเข้าใจผิดก็เป็นได้…”
“เข้าใจผิด เข้าใจผิดอะไร”
“เรื่องตอนไหน”
เซวียนผิงโหวและหญิงชราเอ่ยขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน
“เอ่อ เรื่องที่…” จี้จิ่วอาวุโสมองหญิงชรา ก่อนจะมองเซวียนผิงโหว จากนั้นจึงยกมือขึ้นปรามทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “นางจำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เจ้าอย่าทำเช่นนี้”
เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงเย็น “นางจำไม่ได้ แต่ข้าจำได้ ศัตรูที่ฆ่าลูกชายข้า ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้”
จี้จิ่วอาวุโสส่ายหน้า “จะเรียกว่าฆ่าได้อย่างไร” อย่างมากก็แค่วางยาพิษหรอกน่า เรื่องตั้งแต่ตอนอาเหิงอายุสี่ห้าขวบแล้ว ในวังจับคนวางยาพิษได้ ได้ยินมาว่าเป็นฝีมือของไทเฮา
เซวียผิงโหวเอ่ยอย่างเย็นชา “ฆ่าไม่ตายเรียกว่าไม่ได้ฆ่าอย่างนั้นหรือ ที่ลูกชายข้าไม่ตายก็เพราะลูกชายข้าดวงแข็ง ไม่ใช้ข้ออ้างลบล้างความผิดให้แก่นาง!”
“ข้า…เคยทำร้ายลูกชายเจ้าอย่างนั้นหรือ” หญิงชรานึกไม่ออก แต่นางก็ไม่ได้แก้ต่างความผิดของตนเองแต่อย่างใด เพราะนางรู้สึกว่าตนเองมีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจมาตลอด ไม่แน่ใจว่าแต่ก่อนตนเองเป็นคนร้ายกาจถึงเพียงนั้น
เซวียนผิงโหวไม่สนใจว่าเหตุใดจวงจิ่นเซ่ส่อถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาไม่ถามที่มา เขาไม่ถามที่ไป เขาต้องการเพียงแค่ผลสุดท้าย ซึ่งก็คือเขาต้องฆ่าจวงจิ่นเซ่ส่อให้ได้!
“ฉังจิ่ง! เจ้าหูหนวกหรือว่าเป็นบ้าไปแล้ว ไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรืออย่างไร ยังไม่ลงมืออีก!”
“เจอแล้ว!” ฉังจิ่งควานหาลูกแก้วที่หล่นเข้าไปในซอกกระเป๋ากางเกงจนเจอ ก่อนจะใส่ลงไปในกระเป๋าอีกฝั่ง สีหน้าพลันเยือกเย็นขึ้นมา พริบตาเดียวก็เปลี่ยนร่างเป็นมือสังหารในทันใด
“ไอ้หยา ลิ่วหลังเจ้ากลับมาแล้ว!” จี้จิ่วอาวุโสทอดสายตามองไปด้านหลังเซวียนผิงโหว ฉวยจังหวะยามที่เซวียนผิงโหวชะงักไป แล้วผลักหญิงชรากลับเข้าไปในเรือน ประตูปิดลงดังโครมแล้วสอดกลอนประตู!
“ออกทางประตูหลัง!”
เขาเอ่ยกับหญิงชรา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ” แม่นางเหยาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงเดินออกมา
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เจ้ารีบกลับเข้าเรือนไปเถิด!” จี้จิ่วอาวุโสโบกมือปัดไล่แม่นางเหยา เป้าหมายของเซวียนผิงโหวคือจวงจิ่นเซ่ส่อ ไม่มีทางฆ่าคนบริสุทธิ์ เขาจึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของแม่นางเหยานัก
เขาลากหญิงชราหนีออกทางประตูหนัง หลัง ก่อนจะรีบไปหาลิ่วหลังเป็นอันดับแรก มีเพียงเขาเท่านั้นที่ต้านทานเซวียนผิงโหวได้
ทว่าทั้งสองเพิ่งจะก้าวพ้นธรณีประตู ก็พบฉังจิ่งที่ยื่นแผ่รังสีมือสังหารอยู่ตรงหน้า
จี้จิ่วอาวุโสตื่นตกใจ!
จะถอยก็คงไม่ทันแล้ว เซวียนผิงโหวยังเฝ้าอยู่ที่ประตูหน้า
“คือว่า พ่อหนุ่ม เรามาเจรจากันสักนิดจะได้ไหม” จี้จิ่วอาวุโสยิ้มเจื่อน ทันใดทันก็โผตัวเขาไปจับตัวฉังจิ่งเอาไว้ ก่อนจะตะโกนบอกหญิงชรา “รีบหนีไป! ไปหาลิ่วหลัง! เขาอยู่ที่เรือนของเจ้าหนูหลิน!”
เรือนของหลินเฉิงเย่อยู่ในละแวกนี้เช่นกัน ปกติแล้วหากเดินไปใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ
แต่มีหรือที่จี้จิ่วอาวุโสจะจับตัวมือสังหารอย่างฉังจิ่งเอาไว้ได้
ฉังจิ่งคว้าตัวเขาลอยขึ้นด้วยมือเดียว นอกเหนือจากเป้าหมายแล้ว ฉังจิ่งไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เขาโยนตัวจี้จิ่วอาวุโสออกไปอีกทางก่อนจะตามไล่ล่าเอาชีวิตหญิงชรา
ขอเพียงแค่เขาคว้าท้ายทอยของหญิงชราไว้ แล้วบิดเพียงแผ่วเบา ก็สามารถหักคอของนางได้แล้ว
ในวินาทีหน้าน่าสิ่วหน้าน่าขวานนั้น เงาร่างผอมบางของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าหญิงชรา แขนเรียวเล็กยกขึ้นกันท่อนแขนของฉังจิ่งที่ยื่นเข้ามา
ฉังจิ่งใช้มือขวา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความจริงแล้วเขาถนัดมือซ้าย เขายกมือซ้ายขึ้นมาแล้วคว้าหมับเข้าที่แขนของกู้เจียว
กู้เจียวรับแรงปะทะของฝ่ามือเขาอย่างจัง แรงมหาศาลทำให้ทั้งสองคนผละออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างก้าวถอยหลัง
ฉังจิ่งมองกู้เจียวด้วยความประหลาดใจ พลางมองดูฝ่ามือของตนเอง เอ๊ะ รับแรงฝ่ามือของเขาได้ด้วยหรือนี่
กู้เจียวคิดในใจ ‘เหอะ…เล่นเอาแขนชาไปครึ่งซีก นี่เขาเป็นยอดฝีมือจากที่ไหนกันเนี่ย’
“ท่านย่า ท่านปู่ พวกท่านรีบหนีไปก่อน!” กู้เจียวขวางฉังจิ่งเอาไว้พลางเอ่ยกับทั้งสอง
ตอนนี้จี้จิ่วอาวุโสไม่มีเวลามาเกรงใจกู้เจียวอีกต่อไป เขาลากตัวหญิงชรามุ่งหน้าไปยังเรือนของหลินเฉิงเย่ แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะเหลียวไปกลับไปเอ่ยเตือนฉังจิ่ง “นางเป็นลูกสะใภ้ของเซวียนผิงโหว! เจ้าห้ามเตะต้องนางเป็นอันขาด!”
คำพูดนั้นได้ผลเลยทีเดียว รังสีนักฆ่าของฉังจิ่งหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง
วรยุทธ์ของฉังจิ่งนั้นสูงส่งกว่าเหล่ายอดฝีมือจากวังหลวงหลายต่อหลายเท่า แม้จะกักเก็บรังสีอำมหิตไปแล้วกว่าครึ่ง แต่หากกู้เจียวอยากจะเอาชนะเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น แน่นอนว่าการที่ฉังจิ่งจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของกู้เจียวก็เป็นเรื่องยากเอาการอยู่เหมือนกัน
ทั้งสองออกกระบวนท่ากันอย่างกินกันไม่ลง
จี้จิ่วอาวุโสพาหญิงชราวิ่งไม่หยุด ที่ยังวิ่งได้แม้อายุปูนนี้ ก็เพราะได้กู้เจียวดูแลอาหารการกินอยู่ทุกวัน กระดูกกระเดี้ยวของทั้งสองจึงแข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก จี้จิ่วอาวุโสยังถึงขั้นแอบรู้สึกว่าผมดำของพวกเขาทั้งสองเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย
ทว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม้จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเซวียนผิงโหวและฉังจิ่งมาได้ แต่กลับบังเอิญพบเข้ากลุ่มคนชุดดำที่ปิดหน้าปิดตา
กลุ่มคนชุดดำกรูเข้ามาล้อมปิดทางเข้าออกของตรอก
เพื่อที่จะพาหญิงชราไปถึงเรือนของหลินเฉิงเย่ให้เร็วที่สุด จี้จิ่วอาวุโสพาหญิงชราเดินไปยังทางลัด ค่อนข้างจะเปลี่ยว แทบไม่มีคนเดินผ่าน นั่นก็หมายความว่าละแวกนี้ไม่มีทหารทางการคอยลาดตระเวน
จบกัน จบเห่แล้วชีวิต
หนีเสือปะจระเข้คงเป็นเช่นนี้สินะ