สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 268 แม่ลูก
บทที่ 268 แม่ลูก
“ท่านย่าเจ้ารึ ท่านย่าเจ้าอยู่ในวังหรือ” ฉินฉู่อวี้ถาม
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้า “อื้อ! เมื่อครู่ข้าเห็นนาง! พวกเขาบอกว่านางพักอยู่ในวังหลวง!”
ฉินฉู่อวี้มึนงงไปหมด
พักอยู่ในวังหลวงอย่างนั้นรึ เจ้าขุนมูลนายที่แท้จริงที่พักอาศัยอยู่ในวังหลวงมีแค่เจ้านายในวังเท่านั้น อย่างเช่นไท่จื่อ ชายาสนม รวมถึงพวกเขาที่เป็นองค์ชาย แต่พวกนางกำนัลในวังก็มากมายถมเถไป บางทีหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นย่าของเจ้าเด็กนี่ก็ได้
“ย่าเจ้าชื่ออะไรรึ” ฉินฉู่อวี้ถาม
“ย่าข้าชื่อ…ชื่อ…” ครู่หนึ่งทีเดียวเสี่ยวจิ้งคงจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่รู้จักชื่อท่านย่า “ข้าไม่รู้!”
“แล้ว…” ฉินฉู่อวี้ถอนหายใจ “หากเจ้าไม่รู้ชื่อคงหายากมาก คนในวังหลวงเยอะกว่าที่กั๋วจื่อเจียนมากนัก”
เสี่ยวจิ้งคงนึกทวนอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองเป็นประกายวาบ ก่อนเอ่ย “พวกเขาเรียกนางว่าไทเฮา!”
“แค่ก!” ฉินฉู่อวี้สำลัก “ทะ…ไทเฮาอย่างนั้นรึ ท่านย่าเจ้าเป็นไทเฮารึ เจ้าเป็นคนในราชวงศ์รึ”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด ก่อนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าเป็นคนในชนบท แต่ตอนนี้พวกเราย้ายเข้าเมืองหลวงมาแล้ว ไม่ทำไร่ไถนาแล้ว ดังนั้นน่าจะไม่นับว่าเป็นคนบ้านนาแล้วกระมัง”
ฉินฉู่อวี้ ‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกับทำไร่ไถนากัน เหตุใดย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงแล้วก็ไม่ใช่คนบ้านนาแล้วเล่า มันเปลี่ยนกันได้ตามใจด้วยรึ’
เด็กทั้งสองคนคุยคนละเรื่องเดียวกันอยู่เนิ่นนาน ฉินฉู่อวี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าเสี่ยวจิ้งคงเป็นคนบ้านนาหรือไม่
เขาเพิ่งจะแปดขวบ หากบอกว่าเขาเข้าใจ เขานั้นไม่เข้าใจ แต่หากบอกว่าเขาไม่เข้าใจ เขาก็พอจะรู้ว่าเสด็จแม่กับจวงกุ้ยเฟยไม่ถูกกัน
ฉินฉู่อวี้เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากเจ้าเป็นคนในราชวงศ์ละก็ ภายหน้าข้าคงเล่นกับเจ้าไม่ได้แล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงตาเบิกโต “แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่นะ! เจ้าเล่นกับข้าได้!”
“อ้อ เช่นนั้นก็ดี” เขาหักห้ามใจทิ้งเจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้เหมือนกัน “แต่วันนี้ข้าพาเจ้าเข้าวังด้วยไม่ได้นะ หมู่นี้พี่สะใภ้ป่วย พี่ชายข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าพาเพื่อนไปในวังจะทำให้เขาไม่พอใจ เอาอย่างนี้ เจ้ารออีกสองวัน ข้าจะพาเจ้าเข้าวังแน่นอน”
เสี่ยวจิ้งคง …คงต้องเป็นแบบนั้นแล้วล่ะ
…
จวงไทเฮากลับมายังตำหนักเหรินโซ่วที่จากมานานแรมปีกว่าๆ
ตำหนักเหรินโซ่วยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง แม้แต่นางกำนัลยังไม่ต่างไปจากตอนที่นางออกจากวังเลย
จวงไทเฮากลับวังอย่างเอิกเกริก ไม่ได้แจ้งฮ่องเต้ก่อนล่วงหน้า ทำเอาฮ่องเต้ ‘ยินดีปรีดา’ ยิ่งนัก!
จวงไทเฮานั่งลงบนบัลลังก์หงส์บนบันไดตำหนักหลัก สวมชุดคลุมยาวสีดำปักดิ้นทองลายหงส์ขลิบแดง ศีรษะสวมมงกุฎหงส์ทองคำ ใบหน้างดงามทว่าไม่ทิ้งมาดดุดัน
ฮ่องเต้ยืนอยู่บนพื้นหยกขาวตรงหน้านาง สีหน้าเคารพกตัญญู “เสด็จแม่พลานามัยแข็งแรง ช่างเป็นโชคดีของแคว้นยิ่งนัก”
สายตาของจวงไทเฮาตกลงบนใบหน้าของฮ่องเต้อย่างเรียบนิ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ฮ่องเต้ทราบก็ดีแล้ว”
แววตาฮ่องเต้ขยับไหวไปมา ก่อนอมยิ้มเอ่ยกับจวงไทเฮา “เดินทางมาไกล เสด็จแม่คงเหนื่อยแย่แล้ว ลูกพาหมอหลวงเหลียงมาจับชีพจรถวายเสด็จแม่ หมอหลวงเหลียง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หมอหลวงเหลียงที่อายุกว่าห้าสิบคว้ากระเป๋ายาเดินมาหา แล้วคุกเข่าลงโขกศีรษะให้จวงไทเฮา “กระหม่อมคารวะไทเฮา ไทเฮาทรงพระเจริญพันปี พันพันปี!”
จวงไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น แล้วยื่นมือไปพลางเอ่ยอย่างไม่แยแส “ฮ่องเต้กตัญญู ข้าก็จะไม่ทำให้ฮ่องเต้เสียน้ำใจก็แล้วกัน”
ฮ่องเต้ส่งสายตาให้หมอหลวงเหลียงเพื่อบอกให้เขาจับชีพจรให้จวงไทเฮา
หมอหลวงเหลียงคลานเข่าไปตรงปลายเท้าจวงไทเฮา แล้ววางกระเป๋ายาลงกับพื้น ก่อนจะเปิดออกแล้วเอาผ้าไหมผืนสะอาดมาวางไว้บนข้อมือไทเฮา จากนั้นก็จับชีพจรให้ไทเฮาโดยมีผ้ากั้น
จวงไทเฮาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขา “หมอหลวงเหลียง สัญญาณชีพจรข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหลวงเหลียงดึงมือกลับ แล้ววางผ้าไหมให้ดี ก่อนประสานมือเอ่ย “ไทเฮาสัญญาณชีพคงที่ ดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนสามส่วน”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
จวงไทเฮาหยักยกมุมปากนิ่งๆ “ฮ่องเต้ผิดหวังมากหรือ”
ฮ่องเต้รีบตรัส “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ลูกเฝ้ารอให้เสด็จแม่หายวันหายคืน ปลอดภัยไร้กังวลและอายุยืนยาวมาตลอด ”
จวงไทเฮายิ้มเย็นเอ่ย “สมพรปากฮ่องเต้นะ ข้าจะอายุยืนยาวเป็นร้อยปีแน่นอน ข้ายังอยากจะเห็นแคว้นเจาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ปวงชนอยู่ดีกินดีอิ่มหนำสำราญ และสงบสุขรุ่งเรืองทั้งแผ่นดิน”
ฮ่องเต้กำหมัดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเอาไว้แน่น
จวงไทเฮายิ้มเอ่ย “ข้าทราบถึงสำนึกกตัญญูของฮ่องเต้แล้ว หากไม่มีอะไรแล้วฮ่องเต้ก็ไปทำงานเถิด ตอนที่ข้าไม่อยู่ ฮ่องเต้คงจะยุ่งมาก”
ประโยคนี้มีนัยแอบแฝง ฮ่องเต้ยุ่งอะไร ยุ่งกับการจัดการราชกิจหรือว่ายุ่งในการกำจัดพรรคพวกของไทเฮาล่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้
ฮ่องเต้ตรัส “ลูกขอตัวก่อน เสด็จแม่รักษาพระวรกายด้วย เดี๋ยววันหน้าลูกจะมาเยี่ยมใหม่”
“ไม่ต้องหรอก” จวงไทเฮาเอ่ย
ฮ่องเต้ชะงักไปเล็กน้อย
ชั่วขณะต่อมาก็ได้ยินจวงไทเฮาเอ่ย “พรุ่งนี้ประชุมเช้าก็ได้เจอกันแล้ว จะต้องมาอีกทำไม”
นี่จะนั่งฟังประชุมหลังม่านแล้วหรือ
ฮ่องเต้ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเดินออกจากตำหนักเหรินโซ่วด้วยอารมณ์แบบไหน
เขาให้เว่ยกงกงไล่คนรับใช้ออกไป แล้วถามหมอหลวงเหลียง “สัญญาณชีพของไทเฮาไม่มีปัญหาจริงๆ รึ”
หมอหลวงเหลียงเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท สัญญาณชีพของไทเฮาดีกว่าตอนออกจากวังจริงๆ ร่างกายนางแข็งแรงมากนัก”
ฮ่องเต้ตรัสอย่างสงสัย “ไปอยู่ในหมู่สามัญชนเนิ่นนานเพียงนี้ ยังแข็งแรงอยู่ได้อย่างไร โรคเรื้อนของนางเล่า”
หมอหลวงเหลียงส่ายหน้า “ไม่มีโรคเรื้อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ไม่มีในที่นี้หมายความว่านางหายแล้ว หรือว่านางไม่ได้เป็นมาตั้งแต่แรก”
“เรื่องนี้…” หมอหลวงเหลียงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะวินิจฉัยอย่างไร ตอนนั้นเขาเป็นคนวินิจฉัยว่าไทเฮาเป็นโรคเรื้อน เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้วินิจฉัยผิด แต่โรคเรื้อนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ไทเฮากลับรักษาหายเหมือนกับคนปกติทุกประการ…
หรือว่าหมอเทวดารักษาโรคเรื้อนให้ไทเฮาแล้ว
ไม่มีทาง โรคเรื้อนมีแค่แคว้นเยี่ยนที่รักษาได้
ช่างเถอะ จะมาคิดหาคำตอบตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว จวงไทเฮากลับมาอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราวแล้ว
สถานการณ์ย่ำแย่กว่าที่ฮ่องเต้คาดคิดไว้ เดิมทีคิดว่าหนึ่งปีกว่าๆ ที่จวงไทเฮาไม่อยู่ ฮ่องเต้แอบกำจัดและปราบปรามพรรคพวกของจวงไทเฮาไม่น้อยแล้ว แต่เช้านี้นางเพิ่งกลับวังมา สถานการณ์ยามบ่ายของเขตพระราชฐานก็ล้างไพ่ใหม่หมด
ฮ่องเต้รีบเรียกรัฐบุรุษอาวุโสจำนวนหนึ่งเข้าพบ แต่คนครึ่งหนึ่งบอกว่าป่วยมาไม่ได้ ส่วนพวกที่มาส่วนมากก็ทำตัวแกล้งโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับพระองค์
ทั้งๆ ที่เมื่อวันก่อนพวกเขายังสาบานว่าจะจงรักภักดีกับพระองค์อยู่เลย!
ฮ่องเต้เดือดดาลยกใหญ่ แต่ไม่อาจฆ่าพวกเขาจริงๆ ได้ แบบนั้นจวงไทเฮาคงได้ออกหน้าช่วยพวกเขาแน่ พวกเขาก็จะยิ่งจงรักภักดีต่อจวงไทเฮาเข้าไปใหญ่
ฮ่องเต้โมโหจนปวดใจ เรียกจี้จิ่วอาวุโสมาหาในคืนนั้นเลย
จี้จิ่วอาวุโสทิ้งคนรับใช้ไว้ที่บ้านโทรมๆ หลังนั้นที่เขาเช่าไว้ ฮ่องเต้ส่งคนไปตามเขา คนรับใช้ของเขาก็มาแจ้งที่ตรอกปี้สุ่ย
อันที่จริงฮ่องเต้ก็เคยเรียกเขาเข้าเฝ้าหลายหน ตอนที่ฮ่องเต้กุมอำนาจใหญ่อยู่ เขาไม่มา ตอนที่ฮ่องเต้ตกต่ำ เขามาหาแล้ว
ฮ่องเต้ย่อมซาบซึ้งใจยิ่ง เดินออกมาจากโต๊ะหนังสือ แล้วกุมมือเขาไว้ “เรารู้อยู่แล้วว่าท่านขุนนางเป็นคนที่เราไว้ใจได้ที่แท้จริง!”
อารมณ์จี้จิ่วอาวุโสซับซ้อน เขารู้ว่าโอกาสที่ตัวเองรอคอยมาตลอดได้มาถึงเสียที ยามนี้กลับมาในราชสำนักแล้ว จะต้องได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและให้ความสำคัญจากฝ่าบาทแน่นอน แต่เขาไม่มีอารมณ์ดีใจเลย
ไม่เพียงเพราะเพื่อตัวเอง แต่เพื่อลิ่วหลังด้วย
ลิ่วหลังเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักก็หมายความว่าจะต้องเป็นศัตรูกับตระกูลจวงทุกคน เขาไม่มีทางทิ้งลิ่วหลังไปได้
แต่เขายังสามารถมองจวงจิ่นเซ่อเป็นจวงไทเฮาสมัยก่อนได้หรือ
ฮ่องเต้ตรัสอย่างดีใจ “เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียนในเร็ววัน ป่าวประกาศราชโองการในวันพรุ่งนี้!”
จี้จิ่วอาวุโสคุกเข่าลง ก่อนคำนับให้อย่างหนักแน่นแล้วเอ่ย “กระหม่อม…ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
เว่ยกงกงมาส่งจี้จิ่วอาวุโสออกจากวัง
เมื่อผ่านสวนดอกไม้ก็เจอเกี้ยวของจวงไทเฮาเข้า
จวงไทเฮาไม่อยากอาหาร อารมณ์ก็หงุดหงิด ตำหนักก็เหมือนเดิมแท้ๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจวงไทเฮาจึงได้เหงานัก
ตำหนักอันโอ่โถงนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเงียบเหงามาก่อน แต่ครานี้ก็ยังคงเงียบเหงาอยู่ไม่น้อย
“ไทเฮา ท่านเสวยขนมอีกสิเพคะ มื้อค่ำท่านก็เสวยไปนิดเดียว” นางกำนัลคนหนึ่งยกจานขนมกุหลาบอันประณีตน่ากินมาให้
จวงไทเฮาไม่อยากอาหารเลย
จี้จิ่วอาวุโสยืนอยู่หลังพุ่มไม้ มองนางนิ่งๆ
จวงไทเฮาสวมชุดคลุมหงส์ กลิ่นอายดุดัน แววตาคมกริบดุจมีด ยามไม่พูดจาก็เหมือนกระบี่ออกจากฝัก ไม่มีใครกล้าลูบคม
เว่ยกงกงหยุดอยู่ข้างๆ จี้จิ่วอาวุโส มองจี้จิ่วอาวุโสที่มองไทเฮา ก่อนกระซิบ “ใต้เท้าฮั่วจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาหรือไม่”
จี้จิ่วอาวุโสส่ายหน้า
เข้าเฝ้าแล้วอย่างไร นางลืมไปหมดแล้ว
นางไม่มีทางถือมีดจ่อคอเขาเพื่อปล้นทรัพย์สินส่วนตัวของเขาอีกแล้ว และไม่มีทางบีบบังคับเขาให้เข้าครัวไปทำขนมจ้างน้ำตาลแดงให้นางอีกแล้ว ไม่มีทางซ่อนผลไม้เชื่อมที่แอบกินไปครึ่งหนึ่งไว้ในห้องเขาแล้ว และไม่มีทางพาเขาไปเล่นไพ่ให้เขาคอยเทชาเทน้ำให้อยู่ข้างๆ อีกแล้ว
“ไปกันเถอะ” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เว่ยกงกงทอดมองแผ่นหลังจี้จิ่วอาวุโส เหตุใดจึงรู้สึกว่าใต้เท้าฮั่วอาทรไทเฮาอย่างไรก็ไม่รู้