สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 272.2 ฟื้นความจำ (2)
บทที่ 272 ฟื้นความจำ (2)
จวงไทเฮาคิดว่ากู้เจียวคงจะพูดประมาณว่าจะพาออกวังเพื่อฟื้นความทรงจำเสียอีก
แม่นางคนนี้ไม่ได้สนใจว่าตนจะฟื้นความจำได้
สนแค่ว่าตนมีความสุขหรือไม่อย่างนั้นหรือ
จวงไทเฮาเบือนสายตาหนี ก่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง “ใครบอกว่าข้าไม่มีความสุขกัน ข้าน่ะเป็นสตรีที่สูงส่งที่สุดของแคว้นเจา ไม่ว่าข้าอยากได้อะไรเพียงแค่ดีดนิ้วทุกอย่างก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว”
กู้เจียวไม่เอ่ยอะไร พลางจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาเป็นห่วง
เดิมทีก็นึกว่าพอหญิงชราเป็นแบบนี้ คนที่เสียใจสุดคงจะเป็นตัวกู้เจียวเอง ที่ไหนได้…กลายเป็นเจ้าตัวต่างหาก
จวงไทเฮาไม่กล้าสบตากับกู้เจียว เลยหันไปมองนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ฮ่องเต้วานให้เจ้ามาหาข้าสินะ คงจะพูดทำนองว่าดีกับตัวข้าเอง แต่ที่จริงแล้วพวกเจ้านั่นแหละที่จงใจมุ่งร้ายกับข้า! ข้าจะบอกให้เอาบุญนะ พวกเจ้าน่ะ…”
ยังไม่ทันจะพูดจบ จู่ๆ ไทเฮากลับสัมผัสได้ถึงสัมผัสที่นุ่มนวลในฝ่ามือของนาง
พอก้มหน้าลง ก็เห็นว่ากู้เจียวดึงมือของตนแล้วแนบไว้ที่ใบหน้า
ผิวใบหน้าของกู้เจียวอ่อนนุ่มราวกับผิวของก้นทารก
ขนตายาวเรียวปัดผ่านฝ่ามือทุกครั้งที่กระพริบตา
ครึ่งชั่วยามต่อมา ฉินกงกงก็เดินเข้ามาปลุกจวงไทเฮาตามปกติ
แม้จวงไทเฮาอยู่ในวังมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงเข้มงวดกับเวลาพักผ่อนอย่างมาก ทุกอย่างต้องตรงต่อเวลา
“ไทเฮาขอรับ กระหม่อมขอเข้ามาถวายเครื่องฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินกงกงยืนรายงานอยู่หน้าห้องพร้อมกับถือชุดยาวที่ถักเย็บอย่างประณีต ก่อนจะดันประตูเข้าไป
พอฉินกงกงเดินเข้ามาใกล้แท่นบรรทมของไทเฮาและพบว่ามีใครบางคนอยู่บนนั้น ก็พลันตกใจและร้องตะโกน “บังอาจ….”
ยังไม่ทันจะพูดจบ จู่ๆ ฉินกงกงก็รู้สึกได้ว่าใครสักคนยืนอยู่ด้านหลังเขา
จึงรีบหันไปด้านหลัง ก่อนจะพบกับร่างของไทเฮาที่เปลี่ยนชุดเสร็จสรรพแล้ว “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ!”
จวงไทเฮามิได้สวมชุดยาวปักดิ้นทองแต่อย่างใด แต่เป็น… ชุดผ้าหยาบๆ ของชาวบ้าน
ฉินกงกงถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
จวงไทเฮาเหลือบมองกู้เจียวซึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่บนแท่นบรรทม ก่อนจะเอ่ยกับฉินกงกงเบาๆ “ข้าจะออกนอกวัง ดังนั้น เจ้าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”
“…พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินกงกงได้แต่น้อมรับ
ด้วยความที่รับใช้มาหลายปี ฉินกงกงไม่จำเป็นต้องให้ไทเฮาสอนเขาว่าควรเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบไหน
ฉินกงกงมักจะออกนอกวังเพื่อไปซื้อของอยู่บ่อยๆ เขาจึงชำนาญเรื่องเข้าออกวัง ฉินกงกงกำชับให้นางกำนัลและขันทีทุกคนห้ามเข้าไปรบกวนไทเฮาด้วยเหตุเพราะไทเฮากำลังทรงอักษรอยู่ ก่อนจะพาจวงไทเฮาออกมาอย่างลับๆ โดยที่ไม่มีใครจับได้
ณ บริเวณรอบวัง ฉินกงกงเอ่ยถามไทเฮา “ไท…เอ่อ อะแฮ่ม ฮูหยินใหญ่ต้องการไปที่แห่งใดขอรับ”
จวงไทเฮามองไปรอบๆ พลางสูดอากาศในที่ๆ นางไม่ควรสูด ก่อนจะเอ่ยตอบ “ตรอกปี้สุ่ย”
จวงไทเฮานึกในใจ ดูเหมือนแม่หนูคนนั้นจะบอกไว้แบบนั้นนะ
ตรอกปี้สุ่ยตั้งอยู่ใกล้ๆ กั๋วจื่อเจียน ฉินกงกงทราบดี
ฟ้าเริ่มมืดลง ดวงไฟเริ่มสว่างขึ้น
นี่คือโลกที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรืองของนาง แต่ความมีชีวิตชีวานี้ไม่ได้เป็นของนางแต่อย่างใด
“ข้างหน้านี้ก็ถึงแล้วขอรับ” ฉินกงกงชะลอรถม้าลง ขณะที่เตรียมกำลังจะเลี้ยวเข้าตรอก จู่ๆ จวงไทเฮาก็โพล่งขึ้น “จอดตรงนี้แล้วกัน”
“ขอรับ” ฉินกงกงลงจากรถม้า แล้วค่อยๆ พยุงร่างของจวงไทเฮาลงจากรถม้า
ก่อนหน้านี้ พื้นในตรอกมักจะมีหลุมหรือไม่ก็รอยแตกต่างๆ บนพื้นถนน แต่หลังจากที่ชาวบ้านแต่ละคนมาช่วยกันต่อนู่นเติมนี่ด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ทำให้ถนนในตรอกแลดูไม่สม่ำเสมอเท่าใดนัก
“ถนนฮุ่ยหยวน” จวงไทเฮาเอ่ยขึ้น
ฉินกงกงทำท่าตกใจ “เอ่อ…ไทเฮาจะทรงพระราชทานนามให้ตรอกแห่งนี้หรือขอรับ”
“ไม่รู้สิ” จวงไทเฮาส่ายหัว
ก็แค่เป็นคำพูดที่แวบเข้ามาในหัว ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
จวงไทเฮาเดินเข้าไปในตรอกอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเอง ที่เรือนด้านขวามือ จู่ๆ มีใครคนหนึ่งเปิดประตูออกมา พลางมองมาที่จวงไทเฮาด้วยสายตาเป็นประกาย “ยายเฒ่าฮั่วนี่นา! ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน! ไปเยี่ยมญาติเสร็จแล้วหรือ เหตุใดถึงไปนานขนาดนี้เล่า”
จวงไทเฮาทำหน้าตกใจพลางมองอีกฝ่าย
แม่เฒ่าหลิวเดินขยับเข้ามาใกล้จวงไทเฮาพร้อมกับลากมือของจวงไทเฮาไปด้วย “มาแล้วก็ดีเลย กำลังขาดขาอยู่พอดี!”
“บังอาจ!” ฉินกงกงเอ่ยพลางกัดฟัน
แม่เฒ่าหลิวที่เพิ่งจะสังเกตเห็นฉินกงกง ก็เอ่ยถามขึ้น “เอ๋ นี่ใครกัน ญาติของยายเฒ่ารึ”
ฉินกงกงได้ยินดังนั้นก็แทบเข่าทรุด
เขาเป็นแค่บ่าว มิบังอาจเทียบตัวเองขึ้นเป็นญาติขององค์ไทเฮาได้อยู่แล้ว
“สารถีน่ะ” จวงไทเฮาเอ่ย
“ดูดีไม่เบาเลยน้า!” แม่เฒ่าหลิวชำเลืองฉินกงกงอยู่พักใหญ่พลางเอ่ยออกมา
ฉินกงกงนึกในใจ ข้าเป็นขันทีนะ!
จวงไทเฮามองไปยังมือที่กำลังกุมข้อมือของตนไว้ หากเป็นในวัง แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่กล้าแตะต้องแม้แต่ชายเสื้อผ้าของตน
แม่เฒ่าหลิวไม่ได้สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของจวงไทเฮา เพราะเดิมยายเฒ่าก็ชอบวางตัวราวกับตัวเองเป็นจักรพรรดินีครองโลกอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนต่างก็คุ้นชินอยู่แล้วว่ายายเฒ่าน่ะ แม้ภายนอกจะเย็นชา แต่ที่จริงเป็นคนอบอุ่นมากเลยทีเดียวล่ะ!
“นี่! แม่นางจ้าว! ฮูหยินฮั่วกลับมาแล้ว!”
“ฮูหยินฮั่วกลับมาแล้วรึ” แม่นางจ้าวเดินออกมาจากในเรือน พอได้เห็นจวงไทเฮา ก็รีบตะโกนเข้าไปในเรือน “ท่านพี่เลี่ยง รีบไปบอกยายเร็วเข้า ฮูหยินฮั่วลับมาแล้ว!”
“รู้แล้ว!”
เด็กที่ชื่อว่าเลี่ยงเกอจึงรีบวิ่งออกจากเรือนของตระกูลจ้าว แล้วกลับไปที่เรือนของตัวเอง พลางตะโกน “ยาย! ยายฮั่วกลับมาแล้ว!”
ทันใดนั้น ทั้งตรอกปี้สุ่ยก็เริ่มคึกคัก
ตรอกปี้สุ่ยที่ไม่มียายเฒ่าจับกลุ่มเล่นไพ่นี่มันช่างน่าเบื่อเสียจริง!
ผู้คนต่างทยอยออกมายืนรุมล้อมจวงไทเฮา แล้วเล่าเรื่องที่เจ้าตัวเล็กออกมายืนรอยายเฒ่ากลับมาจนบ่อน้ำตาแตกไปหลายรอบ
เจ้าตัวเล็กอย่างนั้นรึ
จวงไทเฮาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
หรือว่า เจ้าตัวเล็กที่หัวล้านนั่นกันนะ
พอพูดถึงก็มาพอดี เสี่ยวจิ้งคงเดินออกมาจากเรือนพอดี
เขาค่อยๆ ชะโงกหัวดูว่าเกิดอะไรขึ้นในตรอก
เหตุใดจู่ๆ ทุกคนจึงออกมากันหมด
และในตอนนั้นเองที่เขาเห็นใครบางคนเดินออกมาจากฝูงชน
ท่านย่านี่นา
แววตาของเสี่ยวจิ้งคงเริ่มเป็นประกาย ขณะที่กำลังจะอ้าปากเรียกท่านย่า จู่ๆ ก็เกิดปากแข็งขึ้นและรีบวิ่งมุดเข้าไปในห้องเสียอย่างนั้น!
แม่นางจ้าวเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยขึ้น “เอาละ เอาละ รีบไปง้อเจ้าตัวเล็กก่อน วันหลังค่อยมาเล่นไพ่กันก็ได้”
จวงไทเฮาถูกรุมล้อมดันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูเรือน
จวงไทเฮาเกิดมาก็อยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ หลังจากเข้าวังเมื่ออายุสิบหก นางมักจะถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนนับพันตามไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ได้รับการชื่นชมจากผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผู้คนชื่นชมเยินยอนั้นคือยศตำแหน่งของนาง มิใช่ตัวตนจริงๆ ของนาง
จากนั้นจวงไทเฮาจึงเดินเข้าไปในเรือน
ความรู้สึกอันคุ้นเคยเริ่มเกิดขึ้น
แม้แต่ตัวนางเองก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาก่อน
ทั้งกอไผ่ แปลงผัก บ่อปลาบริเวณสวนด้านหน้าเรือน รวมถึงต้นไม้ กรงสุนัข และเล้าไก่ที่หลังเรือน ภาพทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้เริ่มปรากฏขึ้นช้าๆ ในห้วงความคิดของนาง
“โฮ่ง!”
เสี่ยวปาเห่าต้อนรับพลางวิ่งเข้ามาทางจวงไทเฮา
ฉินกงกงเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปยืนขวางไว้ “คุ้มกัน!”
เสี่ยวปามองบนใส่ฉินกงกงหนึ่งที ก่อนจะเข้าไปคลอเคลียที่เท้าของจวงไทเฮา
สักพักเจ้าเหยี่ยวน้อยก็บินโฉบลงมาจากหลังคาเรือน
“อ๊ากกก” ฉินกงกงตกใจจนแทบลมจับ นี่มันเหยี่ยวมิใช่รึ!
เจ้าเหยี่ยวน้อยกางปีกออก ก่อนจะบินมาเกาะที่หัวไหล่ของจวงไทเฮา
“ใครมากันรึ” แม่นางเหยาเดินออกมาจากเรือน พอเห็นว่าเป็นจวงไทเฮา แม่นางเหยาก็ไม่พูดอะไร
ความรู้สึกแรกของจวงไทเฮาตอนที่เจอกับแม่นางเหยาก็คือรู้ว่าแม่นางเหยากำลังท้องอยู่แน่ๆ
แต่ไม่ใช่เพราะว่าจวงไทเฮาดูออก แต่เพราะว่ารู้อยู่แล้วต่างหาก
“ท่าน ท่านกลับมาแล้ว” แม่นางเหยาไม่รู้ว่าจะต้องเรียกจวงไทเฮาว่าอย่างไรดี แล้วไม่รู้ว่าจวงไทเฮามาที่นี่ด้วยเหตุใด
จวงไทเฮาหันหน้าไปทางห้องๆ หนึ่งที่อยู่ตรงทางเดิน
แม่นางเหยาหันไปตามสายตา พลางเอ่ย “อ๋อ เสี่ยวซุ่นกับเหยี่ยนเอ๋อร์ไปเรียนงานฝีมือน่ะ ยังไม่กลับมาหรอก”
จากนั้นจวงไทเฮาก็มองไปที่ห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
แม่นางเหยาจึงตอบ “ข้าคอยเก็บกวาดห้องของท่านให้ตลอดเลยนะ”
จวงไทเฮานึกในใจ ตนเคยนอนในที่แบบนี้ด้วยรึ
จวงไทเฮาใช้มือตบเบาๆ ที่ปีกของเจ้าเหยี่ยว เจ้าเหยี่ยวจึงบินออกไปอย่างรู้งาน จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในห้อง
ฉินกงกงรีบเดินนำหน้าก่อน
แม้ฟ้าจะเริ่มมืด ในห้องไม่ได้เปิดไฟ แต่แสงธรรมชาติจากหน้าต่างที่ส่องเข้ามาก็ยังทำให้พอเห็นได้ว่าห้องนี้น่าอยู่ขนาดไหน แม้จะเล็กไปหน่อย เรียกได้ว่าเล็กกว่าแท่นบรรทมในวังเสียอีก
ฉินกงกงนึกในใจ ที่ผ่านมาไทเฮาต้องมานอนในห้องรูหนูแบบนี้หรือนี่
แต่จวงไทเฮากลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจที่นี่แต่อย่างใด พลางใช้ปลายนิ้วลูบไล้ข้าวของต่างๆ ที่อยู่ในห้อง นางสัมผัสถึงความคุ้นเคยอย่างลึกซึ้ง จากปลายนิ้วแผ่กระจายไปทั่วแขนขาของนาง
เสี่ยวจิ้งคงขังตัวเองอยู่ในห้อง รออยู่พักใหญ่แต่หญิงชราก็ไม่มาง้อเขาเสียที เขายิ่งกังวลว่าท่านย่าของเขาจะจากไปอีกเหมือนครั้งก่อน จึงแง้มประตูออกไปดูซ้ายดูขวา
ปรากฏว่าเขาเจอกับหญิงชราที่กำลังมองมาที่เขาอยู่
เสี่ยวจิ้งคงรีบย่นคอกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูใส่!
จวงไทเฮาเห็นดังนั้นจึงเดินไปที่ห้องของเจ้าตัวเล็ก
พอเข้าไปในห้อง ก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กกำลังเอาหน้าหันเข้ากำแพงแล้วยืนหันหลังให้ตัวเองอยู่
“ออกมาสิ” จวงไทเฮาเอ่ย
“ไม่ออก!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงฟึดฟัด ก่อนจะหันหัวกลับมา “ป้อนข้าว ป้อนข้าวก่อนสิ แล้วข้า ข้าจะยอมออกไป!”
พอจะพูดอ้อนทีก็เกิดตะกุกตะกักขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ผ่านไปเสี้ยวชั่วยาม จวงไทเฮาและเจ้าตัวเล็กก็มานั่งด้วยกันในสวน
โดยมีโจ๊กร้อนๆ ของพวกเขาทั้งสองวางอยู่บนโต๊ะ
“กินเองนะ” จวงไทเฮาเอ่ย
เสี่ยวจิ้งคงน้อยสูดปาก เงยหน้าขึ้น ก่อนจะอ้าปาก “อ้ามมม”
จวงไทเฮาเริ่มมือสั่นพลางค่อยๆ ตักข้าวต้มในถ้วยแล้วยัดเข้าปากของเจ้าตัวเล็ก!