สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 273.1 เจียวเจียวผู้น่าเอ็นดู (1)
บทที่ 273 เจียวเจียวผู้น่าเอ็นดู (1)
พอจวงเย่ว์ซีเห็นท่าทีของไทเฮาก็คิดในใจว่ากู้เจียวไม่รอดแน่ ไทเฮาทรงกริ้วเข้าให้แล้ว แม้แต่ระดับฮ่องเต้ก็ช่วยเจ้าไม่ได้หรอก!
แต่สิ่งที่จวงเย่ว์ซีคาดไม่ถึงนั่นก็คือ จวงไทเฮาไม่ได้แสดงอาการหรือท่าทางโมโหออกมาเสียทีเดียว แต่กลับจ้องเขม็งไปที่หลังมือของกู้เจียวอยู่อย่างนั้น
ท่านย่า ทำไมไม่โกรธเสียทีเล่า!
จากนั้นจวงไทเฮาหลับตาลง สูดหายใจลึก ก่อนจะข่มความโกรธทั้งหมดลงไป
จวงเย่ว์ซีเห็นดังนั้นก็คิดในใจ เอาแล้ว เอาแล้ว มาแล้วสินะ!
“ใครใช้ให้เจ้าเข้ามาในนี้!”
จวงไทเฮาตะเบ็งเสียงแข็ง
จวงเย่ว์ซีคิดในใจ หึ ใช่แล้ว ใครใช้ให้เจ้าหน้าเสนอเข้ามาในนี้ เอ๋ เดี๋ยวก่อนนะ เริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้วสิ ไฉนฉินกงกงถึงมองมาทางนี้เล่า
จวงเย่ว์ซีใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ก่อนจะหันไปทางท่านย่าของตัวเอง ถึงได้รู้ว่าประโยคเมื่อครู่นี้ ไทเฮากำลังถามตัวเองอยู่ต่างหาก
นี่ท่านย่า…โทษข้าหรอกหรือ
เพราะอะไรกัน!
คนที่บุกเข้ามาก่อนคือนางเด็กนั่นต่างหาก ซ้ำยังนอนหลับบนแท่นบรรทมของท่านย่าอย่างลอยหน้าลอยตาอีกด้วย!
จนถึงตอนนั้นนางนั่นยังไม่ยอมลุกขึ้นเลย! เหตุใดไทเฮาถึงไม่ลงโทษนาง แต่กลับลงโทษหลานแท้ๆ ของตัวเอง
จากนั้นจวงไทเฮาจึงสาวความต่ออย่างไม่รอช้า “วันนี้ใครเป็นคนเฝ้าประตู”
ฉินกงกงรีบเอ่ยตอบ “ทูลไทเฮา วันนี้คนเฝ้าประตูคือเสี่ยวหลีกับเสี่ยวเต๋อพ่ะย่ะค่ะ”
“ลงไม้ยี่สิบครั้ง แล้วไล่ออกจากตำหนักเหรินโซ่วเสีย ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกมันอีก!” จวงไทเฮาเอ่ยคำขาด
จวงเย่ว์ซีได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่นขึ้นมา!
เพราะจวงเย่ว์ซีเป็นคนขอให้พวกเขาปล่อยเข้ามา และเป็นจวงเย่ว์ซีเองที่สัญญากับพวกเขาว่าถ้ามีอะไรผิดพลาดจะรับผิดชอบเอง แต่ผลที่ตามมากลายเป็นว่าตนนั้นทำให้ขันทีทั้งสองต้องตกที่นั่งลำบาก
จวงไทเฮาอาจรู้อยู่แล้วว่าจวงเย่ว์ซีคงขอให้พวกเขาทำเช่นนั้น แต่อย่างไรเสีย กฎก็คือกฎ ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู
“ไทเฮาขอรับ โปรดไว้ชีวิต….”
ขันทีทั้งสองยังไม่ทันจะอ้อนวอนจบ ขันทีฉินก็ได้นำคนมาปิดปากและลากพวกเขาไปลงโทษ
ที่นี่คือวังหลวง ไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาด คนอื่นๆ อาจเห็นเพียงด้านที่สง่างามของไทเฮา แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพระองค์นั้นผ่านทุกย่างก้าวมาอย่างยากลำบากแค่ไหน
ใช่ว่าไทเฮาเกิดมาก็เป็นคนเด็ดขาดและเข้มงวดเสียทีเดียว ที่พระองค์ทรงเป็นแบบนี้ ก็เพราะสูญเสียมานักต่อนัก ถึงได้เหยียบกองศพกองกระดูกขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์อย่างทุกวันนี้ได้
ดังนั้นฉินกงกงมีหรือจะสงสารขันทีสองคนที่โดนทำโทษ
แน่นอนว่าไม่
วันนี้พวกเขาใจอ่อนหูเบายอมละทิ้งกฎเพื่อเลือกที่จะเชื่อจวงเย่ว์ซี วันข้างหน้าหากไม่ใช่จวงเย่ว์ซีเล่า คนที่ต้องตายอาจไม่ใช่ขันทีสองนายนี้ก็เป็นได้
เสียงท่อนไม้กระทบผิวหนังดังขึ้นเป็นระยะๆ และทุกครั้งที่มีเสียง ใบหน้าของจวงเย่ว์ซีก็เริ่มซีดเผือดขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดฉินกงกงเดินเข้ามารายงานเหตุการณ์ทั้งหมดแก่ไทเฮา ใบหน้าของจวงเย่ว์ซีก็ซีดจนแทบจะไม่มีสีของเลือดอยู่บนหน้าแล้ว
จวงเย่ว์ซีหันไปทางกู้เจียวที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนแท่นบรรทม ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งๆ ที่ตนเป็นคนของตระกูลจวงแท้ๆ ส่วนนางเด็กนั่นเป็นแค่โคลนตมต่ำต้อยเท่านั้น
จวงไทเฮาเริ่มเอ่ยต่อ “ยังมาลอยหน้าลอยตาอยู่อีก ข้าต้องสอนเจ้าอีกหรือว่าต้องทำอย่างไร เจ้าบุกเข้ามาในห้องของข้าโดยพละการ เจ้าทำพระลัญจกรของข้าแตก หรือว่าเจ้ากำลังรอข้าลงโทษเจ้าด้วยการตบซ้ำหรืออย่างไร เจ้าโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาอยู่ในตระกูลจวง ใช้สกุลเดียวกับข้า ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้ามีสิบคอสิบกะโหลกก็คงไม่พอที่จะให้ข้าตัดหมดหรอก!”
“ท่านย่า!!” จวงเย่ว์ซีตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปบนพื้น
จวงไทเฮาเบือนสายตาหนี ก่อนจะเอ่ยไล่ “ออกไปเสีย แล้วไปสำนึกตัวเองเงียบๆ !”
จวงเย่ว์ซีเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “แต่พระราชลัญจกร…”
“ถ้าไม่ใช่เจ้า ป่านนี้คงเป็นวิญญาณไปแล้ว” ไทเฮาเอ่ยตัดบท
ประโยคนี้ช่างโหดร้ายนัก
จวงเย่ว์ซีรู้สึกราวกับตัวเองถูกตบหน้าอย่างแรง ต่อหน้าข้าหลวง และต่อหน้ากู้เจียว การลงโทษที่ว่ายังไม่น่ากลัวเท่ากับการทำให้เสียหน้าโดยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลเดียวกันเอง
ฝ่ามือของกู้เจียวนั้นคือตบลงไปบนพวงแก้มของจวงเย่ว์ซี ส่วนคำพูดของไทเฮานั้นเท่ากับตบกระแทกลงไปบนศักดิ์ศรีของจวงเย่ว์ซีเข้าเต็มๆ
จวงเย่ว์ซีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “…เพคะ เช่นนั้น เย่ว์ซีขอลา โปรดไทเฮาทรงดูแลพระวรกายด้วยเพคะ ไว้วันข้างหน้า เย่ว์ซีจะมาเข้าเฝ้าใหม่เพคะ”
จวงไทเฮาเอ่ยนิ่งๆ “หากข้าไม่ได้ขอ เจ้าก็ไม่ต้องมา”
จวงเย่ว์ซีนึกในใจ ข้าก็แค่พูดไปตามมารยาท ไฉนท่านย่าต้องหักหาญน้ำใจกันเช่นนี้เล่า
จวงเย่ว์ซีเดินออกจากวังด้วยสภาพหมดอาลัย
เหล่าพี่น้องตระกูลจวงพอเข้าวังมาก็มีหน้าที่คอยดูแลและคอยเข้าเฝ้าจวงไทเฮามาโดยตลอด และด้วยความที่จวงไทเฮาโปรดจวงเย่ว์ซีเป็นพิเศษ ทำให้จวงเมิ่งเตี๋ยเกิดรู้สึกน่าเบื่อหน่าย จึงหอบข้าวของกลับไปอยู่ที่จวนตามเดิม อย่างน้อยจวงเมิ่งเตี๋ยก็ไม่ได้มาอยู่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้
ฉินกงกงเรียกบ่าวเข้ามาช่วยทำความสะอาดในห้องไทเฮา
ดวงไฟถูกจุดให้สว่างขึ้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวันนี้มีเด็กสาวแปลกหน้ามาอยู่บนแท่นบรรทมด้วยหรืออย่างไร บรรยากาศห้องบรรทมในวันนี้จึงแปลกใหม่ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากที่เคยดูอึมครึมมาโดยตลอด
กู้เจียวนั่งลงบนแท่นบรรทม ลังเลว่าจะลงหรือไม่ลงจากแท่นบรรทมนี้ดี
จวงไทเฮาเดินมานั่งลงข้างๆ ก่อนจะมองที่หลังมือที่มีรอยแดงของกู้เจียวเงียบๆ ไม่พูดอะไร
ฉินกงกงเดินเข้ามา พลางยิ้มให้กู้เจียว “แม่นาง มือของท่านบาดเจ็บ ข้าน้อยมียาทา แม่นางเอาไปใช้เสียเถิด”
กู้เจียวมองดูมือของตัวเองหน้าฉงน “เจ็บตรงไหน ไม่เห็นมีเลย”
จวงไทเฮาได้ยินดังนั้นก็เริ่มทำตาแข็ง
กู้เจียวหันไปมองจวงไทเฮา ก่อนจะหันไปทางฉินกงกง
ฉินกงกงจึงขยิบตาให้หนึ่งที
กู้เจียว “อ๋อ”
แล้วยื่นมือออกมา “ก็ได้”
ฉินกงกงกำลังทำท่าจะทายาให้กู้เจียว แต่จู่ๆ ก็เกิดทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นแล้วเอามือตบที่หัวตัวเอง “ดูสิ ข้าน้อยนี่แย่จริงๆ ข้าน้อยลืมไปเลยว่าเมื่อครู่นี้ไปทำความสะอาดมา มือของข้าน้อยสกปรก อาจต้องถือวิสาสะให้องค์ไทเฮาช่วยทายาให้แม่นางนะขอรับ”
นี่สินะที่เรียกว่าคนเหลี่ยมจัด
ดูเหมือนว่าฉินกงกงจะไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่อนสักนิดต่อการกระทำของตนเอง
พอฉินกงกงยื่นยาให้จวงไทเฮา ก็เดินออกไปนอกห้องพร้อมกับนางข้าหลวงคนอื่นๆ
อันที่จริงจวงไทเฮาเดิมก็เป็นคนมีเมตตาเหมือนกัน อาจแค่ไม่อยากให้ใครมาเห็นพระองค์ในมุมนี้ก็เท่านั้นเอง
ทั้งห้องเหลือแค่กู้เจียวและไทเฮาสองคน
“รีบทายาสิท่าน” กู้เจียวยื่นมือให้จวงไทเฮา
ถ้าไม่รีบทาละก็ ประเดี๋ยวแผลก็หายดีก่อนหรอก!
จวงไทเฮา “…”
ที่จริงแผลของกู้เจียวแทบไม่ได้มีรอยฟกช้ำอะไรมาก พอไทเฮาทายาให้เสร็จก็บอกกู้เจียว “หันหลังไป”
“หืม” กู้เจียวทำหน้าเลิ่กลั่ก
“ข้าบอกว่า หันหลังอย่างไรเล่า”
“อ๋อ” กู้เจียวจึงยอมทำตามโดยดี
จากนั้นจวงไทเฮาก็ค่อยๆ เลิกชายเสื้อด้านหลังของกู้เจียวขึ้น ทำเอากู้เจียวเกร็งไปทั้งตัว ขณะที่กำลังจะหันมาถาม กลับโดนจวงไทเฮาตะคอกใส่ “อย่าขยับ!”
กู้เจียวจึงยอมทำตาม
แผ่นหลังของกู้เจียวนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว แม้อาการบวมจะหายไปแล้ว แต่บนผิวหนังยังคงทิ้งรอยช้ำกระดำกระด่างเขียวบ้างม่วงบ้างแดงบ้างไว้อยู่
รอยแผลพวกนี้กู้เจียวไม่อยากจะแตะมันด้วยซ้ำ เพราะยิ่งแตะจะยิ่งรู้สึกคัน ทุกวันนี้จึงได้แต่ทนไม่ไปยุ่งกับมัน
กู้เจียวไม่เคยบอกแม้แต่นิดว่ารอยแผลพวกนี้มาได้อย่างไร
ตัวเองเจ็บหนักขนาดนี้ยังจะมาเข้าครัวทำอาหาร ห้อยหัวลงจากหลังคา หัวเราะงอหงายเป็นว่าเล่น
ไทเฮาใช้ปลายนิ้วควักยาแล้วถูๆ ไปที่แผ่นหลังของกู้เจียว
“โอ๊ย” ร่างกู้เจียวเริ่มสั่นจนต้องเอียงตัวไปด้านข้าง
“เจ็บรึ” จวงไทเฮาเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“มันคันน่ะ” กู้เจียวเอ่ย
ช่วงที่แผลกำลังจะตกสะเก็ดคือช่วงที่รู้สึกคันที่สุด แน่นอนว่าไทเฮาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่ทายาให้กู้เจียวรู้สึกเย็นๆ ขึ้นมาบ้าง
กู้เจียวนั่งยืดขาบนแท่นบรรทม โดยมีหญิงชราคอยทายาให้
จู่ๆ กู้เจียวเกิดนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม “ท่านย่า จำได้แล้วใช่ไหม”
จวงไทเฮานิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงแข็ง “ไม่”
“ออ” กู้เจียวทำเสียงผิดหวัง
หลังจากทายาเสร็จ ไทเฮาก็ตามคนเข้ามาให้ถวายอาหาร
กู้เจียวเองก็เริ่มหิวแล้ว นานๆ ทีจะได้มีโอกาสนอนกลางวัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะลากยาวมาถึงตอนกลางคืน
อาหารหลากหลายถูกจัดวางบนโต๊ะอย่างสวยงาม หนึ่งในนั้นมีอาหารที่ทำจากเนื้อและโรยด้วยงา กู้เจียวกับหญิงชราเป็นคนที่ชอบงาเอามากๆ
นี่คงเป็นเนื้อที่มาจากร้านเดียวกันกับเพื่อนของเซียวลิ่วหลังที่กั๋วจื่อเจียนสินะ เพราะรสชาติเหมือนกันมาก
“ท่านย่าจำนี่ไม่ได้เลยหรือ” กู้เจียวเอ่ยถามพลางเอามือชี้ไปที่เนื้อ
นั่นคืออาหารโปรดของหญิงชรา
จวงไทเฮาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จะกินก็กินไป ไม่ต้องมากความ”
กู้เจียวจึงก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างตั้งใจ