สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 275 เศรษฐี
บทที่ 275 เศรษฐี
สถานที่ที่กู้เจียวออกตรวจในวันนี้ตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของเมือง หนึ่งในสมาชิกในของครอบครัวเป็นจวี่เหริน ทำอาชีพสอนหนังสือให้คนแถวนี้ ด้วยความที่ตระกูลของภรรยามีเงินอยู่บ้าง ฐานะของพวกเขาจึงถือว่าไม่เลวเลย
คนไข้ก็คือลูกชายคนโตของตระกูล อายุยี่สิบ เพิ่งสอบซิ่วไฉได้ แต่โชคไม่ดีที่ไม่นานมานี้เขาดันป่วยกะทันหัน
พวกเขาพยายามส่งไปรักษาตามโรงหมอต่างๆ แต่โดนห้ามไว้ และโดนสั่งไม่ให้ออกไปไหน เพราะเกรงว่าจะแพร่เชื้อ
เขาได้ยามากินก็จริง แต่อาการแทบไม่ดีขึ้นเลย ภายหลังได้ยินข่าวจากบัณฑิตในสำนักว่าหมอของเมี่ยวโส่วถังมีฝีมือ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องเชิญหมอของเมี่ยวโส่วถังมารักษา
แต่พอพวกเขาเห็นว่ากู้เจียวเป็นหมอหญิง
ก็ทำหน้าผิดหวัง
ด้วยความที่กู้เจียวรักษาคนมามากหน้า จึงคุ้นชินกับปฏิกิริยาและสายตาที่ทุกคนมีต่อตัวเอง ด้วยความที่แคว้นเจาไม่มีหมอหญิงและไม่ได้มีฐานะทางสังคมที่สูงนัก และแน่นอนว่าต่อให้กู้เจียวช่วยคนมานักต่อนัก ก็มิอาจลบล้างบรรทัดฐานทางสังคมไปได้ง่ายๆ
อีกทั้งกู้เจียวเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว
กู้เจียวเดินเข้าไปในเรือน
ในเมื่อมาถึงที่ขนาดนี้แล้ว จะไม่ให้รักษาก็กระไรอยู่
อาการของซิ่วไฉหนุ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก นอนอยู่บนเตียง เขาตื่นตระหนกและหงุดหงิดเล็กน้อย ดูจากอาการของเขา เป็นไข้ ปวดหัว เป็นตุ่ม…ซึ่งอาการคล้ายกับไข้ทรพิษจริงๆ
แต่หลังจากที่กู้เจียวลองตรวจดูแล้ว ก็พบว่าไม่น่าจะใช่ไข้ทรพิษ
“เป็นอาการผื่นแพ้” กู้เจียวเอ่ย
เป็นโรคภูมิแพ้ที่รุนแรงและกว่าจะรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โรคภูมิแพ้รุนแรงหลายอย่างอาจทำให้หมดสติหรือหายใจไม่ออกได้ บอกได้คำเดียวว่าชีวิตของซิ่วไฉผู้นี้หนักหนาสาหัสจริงๆ
กู้เจียวหยิบยาแก้แพ้สองสามเม็ดจากกล่องยาขนาดเล็ก ใส่ลงในขวดโหลแล้วส่งให้ทั้งคู่: “ครั้งละหนึ่งเม็ด กลืนพร้อมน้ำอุ่น หลังจากกินแล้ว ให้กลับไปที่โรงหมอเพื่อตรวจอาการ”
“เท่า… เท่านี้เองรึ” ฮูหยินมองยาในขวด “แต่พวกเขาบอกว่าลูกชายข้าเป็นไข้ทรพิษนะ”
กู้เจียวจึงอธิบายให้ฟัง “เขามีไข้ก็จริง และมีอาการแพ้รุนแรงร่วมด้วย ดูเผินๆ อาจเหมือนอาการของคนที่เป็นไข้ทรพิษ แต่พอลองตรวจดีๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นไข้ทรพิษ ทั้งสองท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป เพียงแต่อาการผื่นแพ้ก็ไม่ใช่อาการเล็กๆ หากถึงขั้นรุนแรงอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ ครั้งนี้ถือว่าเขาโชคดีที่ไม่เป็นอะไร ต่อไปพวกท่านต้องช่วยกันเฝ้าระวังด้วย แล้วนี่เขาไปโดนอะไรมาถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ”
“เขา…” ฮูหยินพยายามนึกอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ย “วันนั้นกินลูกท้อไป พอตกบ่ายก็เริ่มไม่สบายเนื้อตัว ข้าเองก็ไม่ทันระวัง ขนของลูกท้อติดอยู่บนตัวเขา ก็เลยให้เขาไปล้างตัว ตอนแรกก็เหมือนจะดีขึ้น แต่วันถัดมาอาการกลับแย่ลงกว่าเดิมอีก”
กู้เจียวไม่ได้พกกระดาษทดสอบอาการแพ้เอาไว้เสียด้วย จึงได้แต่บอกให้คนไข้ระวังตัวกระตุ้นเอาไว้ “พยายามอย่าให้เขาเข้าใกล้ลูกท้ออีกก็แล้วกัน”
“เอ่อ ได้ ได้” ฮูหยินตอบรับ
พลางคิดในใจ เป็นหมอหญิงตัวเล็กๆ แท้ๆ แต่คำพูดคำจากลับฟังดูน่าเชื่อถือยิ่งนัก
เอาละ ไม่สนแล้ว ในเมื่อหมอคนอื่นรักษาลูกชายตัวเองไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งหมอหญิงคนนี้ดูสักตั้ง
จากนั้นฮูหยินก็เดินเข้าไปในเรือนและจัดแจงป้อนยาให้ลูกชาย
เสี่ยวซานจื่อรับเงินค่ารักษามา เป็นค่ายาหนึ่งตำลึงและค่ารักษาสองตำลึง
ถ้าเทียบกับที่อื่น ที่นี่ถือว่าเก็บค่ารักษาถูกมากแล้ว
กู้เจียวสะพายตะกร้าคู่ใจเดินออกจากเรือนแล้วขึ้นรถม้า
“แม่นางกู้ พวกเรากลับเลยไหมขอรับ” เสี่ยวซานจื่อถาม
กู้เจียวพยักหน้า “อืม กลับกันเถอะ”
ก็ไม่มีธุระอะไรแล้วนี่นา
“ได้เลย!” เสี่ยวซานจื่อจึงสะบัดบังเหียนรถม้า รถม้าเคลื่อนตัวออกไป
ขณะที่พวกเขาเพิ่งออกตัวได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีกลุ่มบุรุษแปลกหน้าควบมาตามมาด้วยความเร็วโดยไม่สนผู้คนที่เดินไปมาบนท้องถนน
ผู้คนรีบหลบกันจ้าละหวั่น แต่ก็มีบางคนทีหลบไม่ทันและโดนชนเข้าเต็มๆ จนร่างลงไปกองที่พื้น
ส่วนคนผิดก็ไม่ได้ลงมาเหลียวดูเลยสักนิด
ชายผู้โชคร้ายยังคงลุกไม่ขึ้น
ผู้คนต่างพากันถอนหายใจ
จู่ๆ มีเด็กหนุ่มต่างเมืองใจกล้าคนหนึ่งเอ่ยถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ “มีคนกล้าทำเรื่องเช่นนี้ในเมืองหลวงด้วยหรือ”
คนอยู่ในเหตุการณ์ “เจ้าไม่รู้สินะ เจ้าไม่เห็นรึว่าคนพวกนั้นใส่เครื่องแบบอะไร”
ชายหนุ่ม “ข้าไม่ทันได้สังเกต”
คนในเหตุการณ์ “พวกนั้นน่ะเป็นคนของจวนท่านจอมพล”
“จวนท่านจอมพลหยวนไซว่รึ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้ไม่นาน จึงไม่รู้สถานการณ์ของเมืองหลวง
“เป็นนายพลที่เคยอยู่ค่ายหู่ซานมาก่อน แต่ไม่นานมานี้เขาได้รับตำแหน่งจอมพลแห่งกองทัพและม้า และคนพวกนั้นก็เป็นคนของหยวนไซว่”
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจ “ไฉนถึงได้กร่างขนาดนั้นเล่า”
“ชู่ววว อย่าพูดแบบนี้สิเดี๋ยวก็ซวยหรอก พวกเขาคงมีธุระด่วนกระมัง ไม่เช่นนั้นคงไม่รีบขนาดนั้นหรอก”
ธุระด่วนอะไรกัน ถึงขั้นต้องชนคนเลยหรือ
แท้จริงแล้วนายพลที่ว่านั้นก็คือคนสนิทของจวงไทเฮา มาจากตระกูลถัง หลังจากที่ไทเฮากลับมา สิ่งแรกที่จัดการก็คือแต่งตั้งให้เขาขึ้นเป็นนายพลทหารม้าใหญ่เพื่อคานอำนาจของเซวียนผิงโหว
“ท่านพี่ พวกตระกูลถังทำเกินไปแล้วนะ!” หญิงสาวในชุดสีม่วงพูดกับแม่ชีลัทธิเต๋าที่อยู่ตรงข้าม “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขารังแกคนอื่น! ก่อนหน้านี้ในหลิวเซียง ข้าเห็นคนรับใช้ของตระกูลถังทุบตีคนสามัญชนโดยอ้างว่าเขาเป็นลูกหนี้ แต่ต่อให้เป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กันก็ไม่ควรไปทำร้ายเขาอย่างนั้นนี่นา!”
แม่ชีไม่เอ่ยอะไร ได้แต่นั่งจิบชาเงียบๆ
หญิงสาวในชุดม่วงลุกขึ้นแล้วโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อกระซิบกระซาบ “ท่านพี่ว่า ข่าวลือนั้น เป็นจริงใช่หรือไม่”
แม่ชีถาม “ข่าวลืออะไรรึ”
“ก็ข่าวลือที่ว่าหยวนไซว่ถังเป็นลูกลับๆ ของจวงไทเฮาน่ะสิ”
“สงสัยจะไม่อยากมีชีวิตอยู่นานๆ” แม่ชีเอ่ยประชดด้วยเสียงราบเรียบ
หญิงสาวชุดม่วงเบ้ปาก ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าได้ยินมาว่าตอนนั้นไทเฮาเกือบจะให้องค์หญิงหนิงอันซึ่งเป็นบุตรสาวของจิ้งไท่เฟยแต่งงานกับเขาด้วยล่ะ”
แม่ชีสาวผลักน้องสาวของตนให้ลงไปนั่งดีๆ จากนั้นมองไปที่ถนนที่มีเสียงดัง และบอกกับสาวใช้คนสนิท “จื่อจวน ไปช่วยชายชราคนนั้นและซื้อใบชาทั้งหมดของเขาที”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้น้อมรับ ครั้นกำลังจะลงบันไดไป จู่ๆ แม่ชีก็เอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ ไม่ต้องไปแล้ว มีคนไปช่วยแล้ว”
ข้างนอกนั้น ปรากฏหญิงสาวชุดสีเขียวเดินผ่านฝูงชนเข้ามาด้านข้างของเขาและช่วยพยุงเขาขึ้น
“ท่านพี่! นั่นนางไง!” หญิงในชุดม่วงจำกู้เจียวได้ “คนที่จอหงวนมอบปิ่นดอกไม้ให้!”
นางมาทำอะไรที่นี่นะ
หญิงสาวชุดม่วงยังคงลืมจ้วงหยวนไม่ลง และแน่นอนว่านางยังลืมกู้เจียวไม่ลงอีกด้วย
เห็นๆ อยู่ว่านางไม่ใช่คนสวยอะไร แต่หลังจากเหตุการณ์เดินขบวนวันนั้น รูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวของนางก็กลายเป็นที่นิยมในเมืองหลวง และแม้แต่หญิงสาวชุดม่วงเองก็ยังแอบวาดดอกไม้บนหน้าของตัวเองเลย
“นั่นสินะ มันคือพรหมลิขิตจริงๆ”
กู้เจียวช่วยชายชราลุกขึ้นและช่วยเขาซื้อใบชาหนึ่งขีด คนรอบข้างพอเห็นดังนั้นก็ทยอยมาช่วยกันซื้อใบชาของชายชรา
จนในที่สุด ใบชาของเขาก็ขายหมดเกลี้ยง
“ขอบใจแม่นางมากๆ เลย!” ชายชรากุมมืออย่างตื่นเต้น
กู้เจียวน้อมรับคำขอบคุณ ก่อนจะหันหลังแล้วขึ้นรถม้าไป
แม่ชีมองดูรถม้าของกู้เจียวเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา
กู้เจียวยื่นใบชาที่เพิ่งซื้อมาให้เสี่ยวซานจื่อ ก่อนตัวเองจะมุ่งหน้ากลับตรอกปี้สุ่ย
กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นยังไม่กลับมา ส่วนเสี่ยวจิ้งคงออกไปเล่นกับท่านปู่ แม่นมฝางก็กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว
เซียวลิ่วหลังเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือ
พอกู้เจียวเดินเข้าไปหาเขา ก็เห็นว่าเขากำลังวาดวงกลมอยู่
“อะไรรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
ด้วยความที่ในห้องแสงน้อย กู้เจียวเลยต้องขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้เห็นได้ชัดขึ้น
รู้ตัวอีกที ลมหายใจของพวกเขาทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกัน
หัวใจของเซียวลิ่วหลังเต้นแรงขึ้นทันใด เขาตัวสั่นเล็กน้อย แม้จะรู้สึกว่าเขาควรหลีกเลี่ยง แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ขยับตัวออกไป
“ข้ากำลังคำนวณน่ะ” เซียวลิ่วหลังตอบ “ตัดเส้นผ่านศูนย์กลางวงกลม”
“เส้นผ่านศูนย์กลางรึ นี่เจ้ากำลังคำนวณพื้นที่วงกลมงั้นรึ” กู้เจียวไม่แน่ใจว่าในอดีตเขาเรียกค่าพายกันว่าอย่างไร
“เจ้ารู้จักด้วยรึ” เซียวลิ่วหลังทำท่าตกใจ แม้เขาจะรู้ว่ากู้เจียวเป็นคนมีความลับเยอะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดถึงขั้นรู้เรื่องนี้ด้วย
พอรู้ว่าเป็นค่าพายจริงๆ กู้เจียวก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่ายุคนี้กับยุคที่ตนจากมาก็มีเรื่องอะไรคล้ายๆ กันอยู่เหมือนกัน
ในยุคเว่ยกั๋วและยุคจิ้นกั๋ว นักคณิตศาสตร์นามหลิวเวยได้ใช้วิธีตัดเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลม ส่วนยุคหนานเป่ยนักคณิตที่ชื่อจูต้าเหรินได้เพิ่มวิธีเสริมแต่งต่างๆ เข้าไปอีก
การตัดเส้นผ่านศูนย์กลางคือวิธีการใช้พื้นที่ในวงกลมเพื่อประมาณพื้นที่วงกลมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้อัตราส่วน
โดยเริ่มต้นจากรูปหกเหลี่ยมภายในวงกลม ตัดให้ได้รูปหลายๆ เหลี่ยมเป็นจำนวนสามพันเจ็ดสิบสอง และในที่สุดก็ได้ค่าสี่หน่วยเล็กๆ ออกมา
การคำนวณจำนวนนี้มหาศาลและน่ากลัว และจะเร็วขึ้นมากหากคุณใช้แคลคูลัส
“พอดีข้าได้ยินมาจากนักเรียนของสำนักบัณฑิตสตรีน่ะ” กู้เจียวเอ่ยหน้าตาย
อันที่จริงสำนักบัณฑิตสตรีเองก็มีวิชาคำนวณเหมือนกัน
แต่เขารู้อยู่แล้วว่ากู้เจียวเป็นคนฉลาดมาก ถ้านางเคยได้ยินเรื่องนี้จริงๆ นางก็จะจำไว้อย่างดี
“ทำไมเจ้าถึงมานั่งคำนวณล่ะ งานของสำนักฮั่นหลินหรือ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ไม่ใช่หรอก” เซียวลิ่วหลังส่ายหัว เขาลังเลอยู่พัก ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องของจิ้งคงให้ฟัง เขาแค่อยากจะพิสูจน์และหาคำตอบก็เท่านั้น
ส่วนเรื่องที่เสี่ยวจิ้งคงทำให้อาจารย์ซุนร้องไห้นั้นเขาไม่ได้เล่าออกไป
กู้เจียวร้องอ๋อ ก่อนจะส่ายหัว
นางจำได้ว่าเคยสอนวิชาคำนวณให้เสี่ยวจิ้งคง แต่ไม่เคยสอนเรื่องการหาค่าวงกลมหรืออะไรเลยแม้แต่นิด
“นี่เขาท่องสูตรได้หมดเลยหรือ” กู้เจียวทำหน้าตกใจ
เซียวลิ่วหลังจึงเรียกจิ้งคงให้เข้ามา
พอจิ้งคงเห็นว่ากู้เจี่ยวอยู่ด้วย ก็เกือบจะต่อว่าเข้าให้ แต่พอสังเกตเห็นสีหน้าของกู้เจียวที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยวางใจขึ้นมาหนึ่งเปลาะ
“ไหนเจ้าลองท่องสูตรที่เจ้าท่องกับอาจารย์ซุนให้ข้าฟังหน่อย” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
เสี่ยวจิ้งคงจึงท่องสูตรออกมาหนึ่งที
เซียวลิ่วหลัง “ข้าไม่แน่ใจว่าถูกต้องไหม ก็เลยต้องลองมาคำนวณดู”
หากเป็นคนอื่น คงไม่เชื่อว่าเสี่ยวจิ้งคงพูดถูก เพราะในหนังสือมีเพียงเจ็ดหลัก แต่เขาท่องได้สิบเจ็ดหลัก
เซียวลิ่วหลังไม่ด่วนตัดสินเสี่ยวจิ้งคงแต่อย่างใด
ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่าจิ้งคงพูดถูก แต่เขาไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าเขาผิด
แน่นอนว่าเซียวลิ่วหลังจะไม่ใช้อายุมาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าใครเก่งกว่า หรือใครผิดใครถูก
การดุอาจทำให้เด็กสงบลง แต่ไม่ใช่เพราะเด็กเชื่อ แต่เป็นเพราะเด็กเลิกใฝ่รู้ต่างหาก
กู้เจียวรู้ดีว่าคำตอบของจิ้งคงนั้นถูกต้องสมบูรณ์ทุกอย่าง
“ใครสอนเจ้ามารึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ข้าเคยอ่านในหนังสือ”
“หนังสืออะไรรึ เอามาให้ข้าดูได้ไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ได้สิ!” จิ้งคงตอบรับแล้ววิ่งตึงตังออกไป มุ่งหน้าไปที่กล่องเก็บของแสนรกของตัวเองแล้วควานม้วนกระดาษขึ้นมาแล้วยื่นให้กู้เจียวได้ดู “อ่ะ นี่!”
กู้เจียวคลี่ม้วนกระดาษออกแล้วเปิดดูพร้อมกันกับเซียวลิ่วหลัง
เพียงแวบแรก ทั้งสองก็ออกอาการตกใจในทันที
ที่กู้เจียวทำหน้าตกตะลึงก็เพราะเห็นตัวอักษรและสูตรต่างๆ ที่คุ้นเคย ส่วนเซียวลิ่วหลังก็ตกตะลึงเพราะเขาเห็นตัวอักษรที่เขาไม่เข้าใจ ขณะเดียวกัน ภายใต้อักขระและรูปแบบแปลกๆ เหล่านี้ มีข้อความกำกับอยู่ข้างๆ
และข้อความกำกับที่ว่าก็คืออักขระของแคว้นเยี่ยน
ไม่แปลกใจที่เสี่ยวจิ้งคงจะอ่านออก เพราะช่วงนี้เขากำลังเรียนภาษาแคว้นเยี่ยนอยู่
แต่แปลกจริง เหตุใดจิ้งคงถึงมีหนังสือของแคว้นเยี่ยนกันนะ
อีกทั้ง
เซียวลิ่วหลังลองพลิกไปที่หน้าสุดท้าย เขาถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเจอกับตราประทับขนาดใหญ่!
อย่าบอกนะว่า นี่เป็นหนังสือหลวงของแคว้นเยี่ยนน่ะ
ปัจจุบันแคว้นเยี่ยนเป็นแคว้นที่มีอำนาจมากที่สุดในหกแคว้น แต่หารู้ไม่ว่าหากเป็นเมื่อสิบปีก่อน แคว้นเยี่ยนนั้นคือแคว้นที่เคยรั้งท้ายมาก่อน
จู่ๆ วันหนึ่ง มีปรมาจารย์ระดับชาติผู้ทรงอิทธิพลได้เดินทางมายังแคว้นเยี่ยน และเขาได้นำคัมภีร์ทั้งหกเล่มมาให้แก่แคว้นเยี่ยน คัมภีร์ที่ว่านั้นเรียกได้ว่าเป็นการรวมสุดยอดกลยุทธ์ที่ทำให้แคว้นเยี่ยนกลับมารุ่งโรจน์ได้ราวกับฟ้าหลังฝน
ซึ่งวิธีการรักษาโรคเรื้อนที่เคยแพร่ระบาดอยู่นั้นก็อยู่ในคัมภีร์ที่ว่านี้ด้วย
ในท้ายที่สุดคัมภีร์ทั้งหกเล่มนี้ได้รับการประทับตราเป็นหนังสือประจำแคว้นและเก็บไว้ในพระราชวังหลวงของแคว้นเยี่ยนโดยมีปรมาจารย์หลายร้อยคนคอยคุ้มกันทั้งกลางวันและกลางคืน
หากคัมภีร์นี้เป็นของจริง เช่นนั้นคัมภีร์ที่นอนอยู่ในวังของแคว้นเยี่ยนจะเป็นของปลอมหรือไม่
ปะ เป็น เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง เสี่ยวจิ้งคงเป็นแค่เณรน้อยตัวเล็กๆ เองนะ
กู้เจียวไม่สนว่าคัมภีร์นั่นเป็นของหลวงหรือไม่ แต่ดูปราดเดียวก็รู้ว่า ตัวอักษรแบบนี้ รวมถึงสูตรคณิตศาสตร์ขั้นสูงในนี้ไม่ได้เป็นของยุคนี้ อย่างแน่นอน
เป็นไปได้ไหมว่ามีคนอื่นที่เดินทางข้ามเวลามาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน