สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 279.2 เจียวเจียวออกโรง (2)
บทที่ 279 เจียวเจียวออกโรง (2)
ทั้งสองอยากจะพูดแต่ก็ไม่ออก พอหันไปมองท่านเหล่าโหว อีกฝ่ายก็ไม่พูดแม้สักคำ ก่อนจะเดินหน้านิ่งจากไป
คราวนี้ทั้งสองเข้าไปในห้องสำเร็จโทษอีกครั้ง
กู้ฉังชิงล้มอยู่บนกองฟาง รอยแส้เต็มตัวไปหมด
“พี่ใหญ่!” กู้เฉิงหลินขอบตาแดงก่ำ เขาโถมตัวเข้าแล้วพยุงร่างกู้ฉังชิงขึ้นมา
กู้เฉิงเฟิงจ้องมองพี่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยกับน้องสาม “เจ้าไปที่รถม้า แล้วหยิบยาทาแผลในช่องลับออกมา”
“…ขอรับ!” กู้เฉิงเฟิงขานรับเสียงสะอื้น ปาดน้ำตาพลางเดินออกไป
เมื่อภายในห้องไม่มีคนอื่น กู้เฉิงเฟิงก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวด้านนอกห้องสำเร็จโทษ มีคนจับตามองอยู่ แต่ระยะห่างไม่ได้ใกล้มาก
เขาพยุงกู้ฉังชิงให้นั่งบนกองฟาง แผ่นหลังพิงกำแพงเย็นเฉียบ
อันที่จริงเรื่องที่ท่านปู่คุยกับพี่ใหญ่เมื่อครู่ เขากับกู้เฉิงหลินนั้นได้ยินหมดแล้ว กู้เฉิงหลินยังไร้เดียงสา ฟังอะไรไม่ออก แต่เขากลับสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
กู้เฉิงเฟิงนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งข้างกายกู้ฉังชิง จ้องมองกู้ฉังชิงพลางเอ่ย “พี่ใหญ่ ท่านเปลี่ยนไป แต่ก่อนท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านกับท่านปู่เกิดอะไรขึ้น”
ระหว่างทาง เขาและกู้เฉิงหลินได้ข่าวเรื่องในค่ายทหาร เขาจึงคิดว่าท่านพี่เดือดดาลแทนทหารตระกูลกู้ ด้วยเหตุนี้แม้พี่ใหญ่จะวู่วามเกินไปบ้าง แต่เขากลับไม่สงสัยแต่อย่างใด
ทว่าบรรยากาศระหว่างท่านปู่กับพี่ใหญ่ต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
แต่ไหนแต่ไรมาท่านพี่นั้นเคารพเทิดทูนท่านปู่อยู่เสมอ แต่ยามนี้ไม่ว่าท่านปู่จะถามอะไร เขากลับไม่ยอมตอบแม้สักคำ
ยิ่งช่วงนี้พี่ใหญ่กับท่านปู่ยิ่งพูดคุยกันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ตอนแรกเขานึกว่าพี่ใหญ่โตขึ้นแล้วก็ยิ่งรักสันโดษ แต่พอได้เห็นวันนี้ก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เช่นนั้น
เขาทึกทักไปเองอย่างนั้นรึ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่า…พี่ใหญ่กำลังทะเลาะกับท่านปู่อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่มีอะไร” กู้ฉังชิงเอ่ย
กู้เฉิงเฟิงมองเขาด้วยสายตาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ไม่มีอะไรจริงๆ หรือ หรือว่า…ท่านกำลังโกรธที่ท่านปู่หายไปนานหลายปี ทอดทิ้งให้พวกเราอยู่ที่จวนโดยไม่เหลียวแล”
กู้ฉังชิงหลับตาลงพลางเอ่ย “ก็บอกว่าไม่มีอะไรอย่างไรเล่า เจ้าพูดมากเสียจริง ท่องหนังสือจบหรือยัง”
กู้เฉิงเฟิงชะงักไป
ท่องหนังสืออะไรกัน
เขาไปสำนักบัณฑิตก็เพื่อเข้าเรียนไปอย่างนั้น
เขาไม่ได้สนใจตำราอะไรพวกนั้นหรอก!
ทว่าสนใจก็ส่วนสนใจ แต่ผลการเรียนของเขาก็ไม่ได้เลวร้าย เขาเป็นคนหัวไว หากไม่ได้เกิดเป็นลูกชายคนรองแห่งจวนโหว ไม่ต้องสืบทอดตระกูล ไม่ต้องถูกตั้งความหวัง บางทีเขาอาจจะขยันหมั่นเพียรเรียนหนังสือจนเป็นนักปราชญ์ก็ได้
เรื่องของท่านพี่ ตอนนี้เขายังช่วยอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้กู้เฉิงหลินหยิบยาทาแผลมาแล้ว เขาทายาให้ท่านพี่ ก่อนจะกลับจวนโหวไปพร้อมกับกู้เฉิงหลิน
เขาทำการบ้านที่อาจารย์มอบหมายเสร็จ จากนั้นก็คัดลอกให้กู้เฉิงหลินอีกฉบับ ขณะที่ตั้งใจว่าจะพักผ่อนสักหน่อย ก็เหลือบไปเห็นนกพิราบขาวตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างของเขา
นี่ไม่ใช่นกพิราบทั่วไป
เขาตาลุกวาว ก่อนจะเดินไปอุ้มเจ้านกพิราบขาวขึ้นมา เขาหันมองรอบทิศ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอื่นก็ปลดม้วนกระดาษที่ผูกติดกับขาของนกพิราบขาวออกมา
คืนนี้มีภารกิจแล้วสินะ
เมื่อกู้เฉิงหลินหลับไป กู้เฉิงเฟิงก็เปลี่ยนเป็นชุดตระเวนราตรี สวมหน้ากาก ก่อนจะย่องออกจากจวนโหวไปโดยไร้ซุ่มเสียง
เขารับภารกิจผ่านหอเชียนอิน นกพิราบขาวนี้เขาเป็นคนเลี้ยงดูเองก่อนจะส่งไปประจำที่หอเชียนอิน หอเชียนอินเองก็ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
สถานที่นัดหมายคือห้องส่วนตัวบนชั้นสองของหอเชียนอิน
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมารอก่อนหน้าตั้งนานแล้ว
เขาสวมหน้ากาก อีกฝ่ายเองก็สวมหมวกงอบคลุมใบหน้า ต่างฝ่ายต่างไม่อาจแอบมองใบหน้าของกันและกันได้
“ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” อีกฝ่ายยกพัดขึ้นมาพร้อมทั้งประสานมือคำนับให้แก่กู้เฉิงเฟิง
จากน้ำเสียงที่ได้ยินน่าจะอายุราวเจ็ดสิบแปดสิบปี ทว่ามือที่ถือพัดนั้นกลับยังดูอ่อนเยาว์อย่างน่าประหลาด
กู้เฉิงเฟิงทำภารกิจมาหลายปี วิธีการปกปิดตัวตนพิสดารเพียงใดก็พบเจอมาหมดแล้ว วิชาแปลงเสียงเช่นนี้นับว่าธรรมดาดาษดื่น
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเข้าประเด็น “ว่ามาเถิด ต้องการอะไร”
อีกฝ่ายเผยยิ้ม ก่อนจะหยิบเงินถุงหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วค่อยๆ ดันมาหยุดอยู่ตรงหน้าของกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงเปิดถุงเงินดู พระเจ้าช่วย นั่นมันอัฐทองทั้งนั้น!
กู้เฉิงเฟิงเทอัฐทองในถุงออกมา ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “ดูท่าแล้วคงไม่ใช่คนธรรมดาสินะ”
อีกฝ่ายหัวเราะ “คนผู้หนึ่ง ท่านชายตระกูลข้าต้องการตัวคนผู้นั้น”
ดึกดื่นป่านนี้ จะให้ไปลักพาตัวคนอย่างนั้นรึ
กู้เฉิงเฟิงลูบคาง “อัฐทองมากมายเพียงนี้ คงไม่ได้ให้ข้าเข้าวังหลวงไปลักพาตัวใครหรอกนะ”
อีกฝ่ายยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “ไม่ได้ยากเย็นถึงเพียงนั้น ก็แค่ท่านชายธรรมดาคนหนึ่ง”
“แล้วเหตุใดถึงต้องให้เงินมากมายเพียงนี้” กู้เฉิงเฟิงไม่หลงกล
“แต่เป็นคนสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว” อีกฝ่ายเอ่ย ก่อนจะล้วงภาพเหมือนออกมาจากแขนเสื้อกว้าง
วินาทีที่ได้เห็นภาพเหมือน สีหน้าของกู้เฉิงเฟิงก็แข็งค้างไป
เหตุใดถึงเป็นเขา
อีกฝ่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนเป็นคนในจวนอันติ้งโหว เชื่อว่าฝีมืออย่างเจ้าคงหาเขาเจอได้ไม่ยาก”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คนผู้นี้มีอะไรน่าลักพาตัวกัน ดูท่าทางคงหยิบจับแบกหามทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
คำพูดนั้นช่างไร้ตรรกะเสียจริง ใครเขาลักพาตัวท่านชายเพื่อเอาไปใช้แรงงานกัน
ทว่าชายสวมหมวกกลับไม่ได้คิดไกล เขาเพียงแค่ยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบ “ท่านชายตระกูลข้าถูกใจเขา เดิมทีเอ็นดูตามประสา แต่ยามนี้ท่านชายบาดเจ็บ สาหัสเอาการ จึงอยากได้เขามาครอบครองโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นคงจะเสีย…ข้างหนึ่งไปอย่างสูญเปล่า”
ยามพูดคำนั้น ชายสวมหมวกก็กระแอมขึ้นมาก่อนจะชะงักไป
ทว่าในหัวของกู้เฉิงเฟิงราวกับมีคำหนึ่งผุดขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ‘แขน’
เสียแขนไปข้างหนึ่ง
เช่นนั้นแล้วคนผู้นั้นก็คือ….
กู้เฉิงเฟิงตาเบิงโพรง กำหมัดแน่น!
ชายสวมหมวกมองถุงเงินในมือของกู้เฉิงเฟิงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเพียงแค่มัดจำ หากสำเร็จแล้วจะตกรางวัลให้อีกสิบเท่า”
นี่เป็นงานที่ใหญ่ที่สุดที่กู้เฉิงเฟิงเคยรับมาในรอบหลายปี รางวัลสิบเท่า นั่นเท่ากับหนึ่งพันตำลึงเชียวนะ
จะบอกว่าไม่หวั่นไหวก็คงโกหก
ทว่ากู้เฉิงเฟิงยังไม่วิตถารถึงขนาดจับตัวคนในจวนโหวไปขาย เขาโยนถุงเงินลงบนโต๊ะ “งานนี้ข้าไม่รับ แล้วข้าก็รับรองได้เลยว่า ในเมืองหลวงก็ไม่มีผู้ใดรับเช่นกัน”
ชายสวมหมวกสูดปากด้วยความผิดหวัง “อย่างนั้นหรือ น่าเสียดายแท้… ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
“ข้าขโมยของเพียงอย่างเดียว ไม่ลักพาตัวคน! ลาก่อน” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างขอไปที ประคองหน้ากากบนใบหน้า ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามองแม้แต่นิด
หลังจากเดินออกมาจากหอเชียนยิน เขายืนอยู่ท่ามกลางลมหนาว ทว่าจิตใจกลับไม่เป็นอันสงบ
ผู้ว่าจ้างคือถังหมิงอย่างนั้นรึ
ถังหมิงถูกใจกู้เหยี่ยนอย่างนั้นรึ
พี่ใหญ่โมโหเพราะเรื่องนี้จนฟันถังหมิงแขนขาดไปข้างหนึ่งอย่างนั้นรึ
“ท่านชาย!”
ขณะที่กู้เฉิงเฟิงกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น บ่าวคนหนึ่งของหอเชียนอินก็เดินออกมาแล้วเอ่ยกับเขา “เมื่อครู่เถ้าแก่เพิ่งจะได้รับงาน ถามว่าท่านอยากจะรับไหม เป็นภาพวาดชิ้นหนึ่งขอรับ”
สำหรับกู้เฉิงเฟิงงานนี้ไม่ยากแต่อย่างใด เขากำลังจะอ้าปากตอบรับ แต่กลับนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง ก่อนจะนิ่งไป
“ท่านชายขอรับ” บ่าวมองเขาอย่างสงสัย
กู้เฉิงเฟิงตอบ “ช่างเถิด คืนนี้ข้ามีธุระ ไม่รับงานแล้ว”
บ่าวหนุ่ม “เอ่อ…ขอรับ”
กู้เฉิงเฟิงมุ่งหน้ากลับไปยังจวนด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาอยู่ในห้องของตัว ไม่ถอนชุดตระเวนราตรีออก มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นระยะ
ทว่าแม้เขาจะรอนานเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
เขาลูบคางไปมา “…ไม่มาแล้วหรือ”
หรือว่า…
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเขา สีหน้าเขาพลันชะงักไป เขาสวมหน้ากากแล้วเปิดประตูห้องเดินออกไป!
…
ค่ำคืนอันไร้ผู้คน จวนของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่เงียบสงัด ทว่าแสงไฟกลับสว่างโร่
ถังหมิงถูกกู้ฉังชิงฟันแขนขาดไปข้างหนึ่ง แม่ทัพถังเย่ว์ซานเชิญหมอที่รักษาเก่งที่สุดในค่ายมา เหล่าหมอลงมือลงแรงกันมหาศาลกว่าจะห้ามเลือดของถังหมิงให้หยุดไหลได้
“แขนเล่า” ถังเย่ว์ซานเอ่ยถามทั้งที่ร้อนรนจะแทบนั่งไม่ติดที่ “แขนของหลานข้ายังต่อติดหรือไม่”
บรรดาหมอหันมาสบตากัน
หมออู๋ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยอย่างละอายใจ “ตอบใต้เท้าถัง ฝีมือการแพทย์ของข้านั้นต่ำต้อยนัก ไม่อาจหาทางรักษาแขนของหลานชายท่านได้”
ถังเย่ว์ซานใบหน้าถมึงทึง “เหตุใดถึงรักษาไม่ได้ ตำราของแพทย์ของพวกเจ้าเขียนเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ… ต่อบุปผาด้วยรุกข์”
หมออู๋เอ่ย “ในตำราโบราณมีเขียนไว้ก็จริง แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยผู้ใดทำได้สำเร็จ ได้ยินมาว่าเคยเกิดขึ้นที่แคว้นเยี่ยน แต่กระนั้นก็เป็นแค่เพียงเรื่องเล่า”
ถังเย่ว์ซานไม่อาจถ่อไปถึงแคว้นเยี่ยนอันไกลโพ้นเพื่อรักษาเพียงเพราะคำบอกเล่า แม้เขาจะทำได้ แต่แคว้นเยี่ยนนั้นห่างไกลเหลือเกิน หากไปถึงบุปผาคงแห้งเหี่ยวต่อไม่ติดแล้ว
ขณะที่ถังเย่ว์ซานกำลังคร่ำเครียด หมอแซ่เจียงคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ใต้เท้าถัง ข้าน้อยรู้จักโรงหมอแห่งหนึ่ง”
ถังเย่ว์ซานตอบอย่างร้อนรน “รีบบอกมา หมอคนไหน”
หมอเจียงเอ่ย “ไม่รู้ว่าใต้เท้าถังเคยได้ยินชื่อเมี่ยวโส่วถังหรือไม่”
ถังเย่ว์ซานส่ายหน้า “ไม่เคย”
หมอเจียงลังเลก่อนจะเอ่ยออกไป “เช่นนั้นใต้เท้าถังเคยได้ยินเรื่องอุบัติเหตุเครื่องสูบลมที่กรมโยธาหรือไม่”
ถังเย่ว์ซานเอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องนั้นข้าพอได้ยินมาบ้าง แค่เกี่ยวอะไรกับเมี่ยวโส่วถังอย่างนั้นรึ”
หมอเจียงเอ่ย “ใต้เท้าอาจไม่รู้ว่า ในตอนนั้นเมี่ยวโส่วถังก็เป็นหนึ่งในโรงหมอที่ราชสำนักสั่งการให้รับรักษาผู้บาดเจ็บ ฝีมือของหมอประจำเมี่ยวโส่วถังนั้นเก่งกาจกว่าโรงหมออื่นยิ่งนัก ทั้งยังรักษาผู้บาดเจ็บสาหัสได้มากที่สุด แม้แต่ช่างฝีมือคนหนึ่งสำลักควันไฟก็ยังช่วยชีวิตได้”
ถังเย่ว์ซานรีบเอ่ยในทันใด “แล้วทำไมยังไม่รีบตามหมอมาอีก!”