สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 287 โอ๋เจียวเจียว
บทที่ 287 โอ๋เจียวเจียว
เหตุใดไทเฮาถึงเสด็จออกนอกวังเอาเวลานี้
ถังเย่ว์ซานเป็นคนหูดีมาก แต่กระนั้นก็ยังสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่ เขาเหลียวไปมองประตูวังหลวง แล้วก็เห็นเกี่ยวหงส์ทองของไทเฮาเปล่งประกายท่ามกลางราตรีอันมืดมิดเข้าจริงๆ
“ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!” เขาตะโกนลั่น
มือธนูรีบลดคันศรลงในทันใด
ถังเย่ว์ซานไม่กลัวว่ากู้เจียวจะฉวยโอกาสนี้หลบไปแต่อย่างใด เพราะหากกล้าหลบหนี ก็มีเพียงหนทางเดียวคือพุ่งชนเกี้ยวหงส์ เช่นนั้นแล้วเขาเองก็จะออกค่ำสั่งให้ยิงนางจนกลายเป็นเม่นเช่นกัน
ถังเย่วซานถลกชายชุดขึ้น พลางคุกเข่าแล้วหันหน้าไปทางเกี้ยว
เมื่อเขาคุกเข่าลง องครักษ์รอบกายและเหล่าพลธนูก็พากันคุกเข่าตาม
กู้เจียวหยุดอยู่ข้างกายกู้เฉิงเฟิง ชันเข่าลงข้างหนึ่งมองไปยังกู้เฉิงเฟิงที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น นางจับข้อมือของเขา สามนิ้วแนบลงบนชีพจร
กู้เฉิงเฟิงเจ็บปวดไปทั้งตัว จะบอกว่าภายในได้รับบาดเจ็บสาหัสก็คงไม่ขนาดนั้น วิชาตีวัวข้ามภูเขานี้ก็มีข้อจำกัดพอสมควร พละกำลังจึงไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น
แต่เป็นเพราะกู้เฉิงเฟิงมึนงงเพราะแรงโจมตีนั่นต่างหาก จึงแน่นิ่งไม่ไหวติง
ขันทีวรยุทธ์สูงส่งแปดนายล้วนแต่เป็นยอดฝีมือของวังหลวง ยามหามเกี้ยวพญาหงส์ที่ทำจากไม้บุทองคันยักษ์ ยังรักษาจังหวะหายใจให้สงบนิ่งได้
บนหลังคาของเกี้ยวหงส์มีผ้าระย้าปรกลงมา ทุกตารางนิ้วถักทอด้วยไหมทอง ไม่อาจตีราคาได้
ผ้าระย้าทั้งสี่ด้านปักลายหงส์ทองหลากหลายท่วงท่า ลมราตรีพัดพาให้ผ้าระย้าพลิ้วไหว หงส์ทองเริงระบำ ราวกับกำลังสยายปีกถลาบินอย่างไรอย่างนั้น
ถังเย่ว์ซานแม่ทัพผู้วางยุทธวิธีอย่างเด็ดขาด ทว่าในวินาทีนี้ก็จำต้องยอมรับว่าบารมีของไทเฮานั้นช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
ในสังคมนี้ การเป็นสตรีนั้นยามลำบากกว่าบุรุษเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากจะทำเรื่องเดียวกันให้สำเร็จ คนเป็นหญิงอาจจะต้องทุ่มเทแรงกายมากกว่าเป็นสิบเท่า
ถังเย่ว์ซานไม่เคยสบประมาทสตรีวังหลังเลยแม้สักคน นางสามารถทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตรอมใจตาย แม้ตนจะไร้ทายาทก็เคยปลดรัชทายาทมาแล้ว ขณะที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่นั้นเติบใหญ่แล้ว นางก็ยังคงเป็นไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่านเช่นเดิม
มีหรือฝีมือของนางจะเป็นสองรองใคร
เกี้ยวหงส์หยุดลง ระยะห่างใกล้กว่าที่ถังเย่ว์ซานคาดการณ์เอาไว้ ถังเย่ว์ซานประหลาดใจไม่น้อยที่ได้รับความเมตตาถึงเพียงนี้ จนเกือบจะลืมไปแล้วว่าด้านหลังของตนเองยังมีมือสังหารอีกสองคนอยู่
“กระหม่อม ถวายบังคมไทเฮา!” ถังเย่ว์ซานคุกเข่าคำนับ “ไม่ทราบว่าดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดไทเฮาถึงเสด็จออกนอกวังหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ปกติแล้วไทเฮาจะไม่เสด็จออกนอกวัง แม้จะมีกฎเกณฑ์ของวังหลวง แต่จะว่าไปแล้วเรื่องราวมากมายที่จวงไทเฮาทำลงไปนั้นล้วนแต่ผิดกฎทั้งสิ้น ทว่าจวงไทเฮาก็รู้ดีว่าสิ่งใดควรไม่ควร นางจึงทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรที่สุดในเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น อย่างเช่น การว่าราชการหลังม่าน
เสียงเนิบช้าทว่าเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามของจวงไทเฮาดังมาจากหลังม่านระย้า “ข้าจะทำอะไร ต้องรายงานเจ้าด้วยรึ”
ถังเย่ว์ซานชะงักไปเล็กน้อย
คำพูดนั้นเรียกได้ว่าไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
ตนเองเป็นถึงขุนนางคนโปรดของไทเฮา เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าไทเฮาพูดจาห่างเหินและเย็นชากับตนอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่าจวงไทเฮาเป็นคนอารมณ์แปรปรวน ถังเย่ว์ซานจึงไม่เก็บเอามาใส่ใจ
“กระหม่อมล่วงเกินท่านแล้ว ขอไทเฮาโปรดให้อภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขาประสานมือคำนับ รอไทเฮาอนุญาตให้ยืนขึ้น
ใครจะไปรู้ว่าไทเฮากลับไม่เอ่ยบอกให้เขาลุกยืนขึ้น แต่กลับเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้านำคนมากมายส่งเสียงเอะอะโวยวายหน้าประตูวังเช่นนี้ คิดจะทำอะไรกัน เจ้าจะก่อกบฏอย่างนั้นรึ”
ที่นี่หากจากหน้าประตูวังหลวงพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาคนที่เขาพามาคือองครักษ์ประจำจวน มิใช่ทหารในกองทัพ แล้วจะเรียกว่าก่อกบฏได้อย่างไร
ถังเย่ว์ซานรายงาน “ทูลไทเฮา คืนนี้มีมือสังหารบุกเข้ามาในจวนหยวนไซว่ กระหม่อมตามจับมือสังหารมาจนถึงที่นี่ เขาไทเฮาโปรดเข้าใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
จวงไทเฮาตัดบทเขาอย่างเย็นชา “ตามล่ามือสังหารมาถึงระแวกวังหลวงเช่นนี้ หากข้าไม่ออกมาขวางเจ้าไว้ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะบุกเข้าไปในวังหลวงแล้วกระมัง!”
ที่แท้ไทเฮาเสด็จออกมาจากวังเพื่อขวางเขาอย่างนั้นหรือ
หลังจากที่ไทเฮาเลื่อนยศเขาเป็นหยวนไซว่จอมพลทหารม้า ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับฮ่องเต้ก็ระหองระแหงยิ่งกว่าเดิม ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะพลาดท่าไม่ได้เป็นอันขาด
ถังเย่ว์ซานยกมือขึ้นคำนับ “กระหม่อมนั้นต่ำต้อยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอไทเฮาโปรดประทานอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
จวงไทเฮาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “คืนนี้เป็นข้าที่ได้พบเจ้า ข้านั้นเชื่อในความจงรักภักดีของตระกูลเจ้า แต่หากฮ่องเต้รู้เรื่องเข้า ใช่ว่ากราบทูลเพียงสองสามคำจะเป็นอันเลิกแล้วต่อกัน ข้าเพิ่งจะเลื่อนยศให้เจ้า อย่าได้หาเรื่องมากวนใจข้านัก”
ถังเย่ว์ซานโขกหัวคำนับลงกับพื้น “กระหม่อมสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
จวงไทเฮาเอ่ยต่อ “ช่างเถิด ในเมื่อเป็นมือสังหาร เช่นนั้นก็จัดการเสีย ขืนปล่อยไปก็กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียเปล่า ฉินกงกง”
ฉินกงกงเดินเข้ามา “พ่ะย่ะค่ะ”
จวงไทเฮารับสั่งเสียงเรียบ “นำตัวมือสังหารสองคนนั่นไปจัดการในป่าเสีย อย่าได้ทิ้งร่องรอยล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินกงกงโค้งตัวคำนับ โบกขนนกในมือ แล้วเลือกองครักษ์ที่ติดตามมาสี่คน “พวกเจ้าตามข้ามา”
องครักษ์เดินตามฉินกงกง เดินผ่านร่างถังเย่ว์ซานมาหยุดอยู่หน้ากู้เจียวและกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงกุมหน้าอกที่เจ็บปวดจนแทบจะระเบิดออกมา เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “เดี๋ยวก่อน…พวกเจ้าจะฆ่าพวกข้าไม่ได้…พวกข้าคือ…”
“คืออะไร คืออะไร!” ฉินกงกงกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ก่อนจะยัดใส่ปากของกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงถูกคนลากเข้าไปในป่าที่อยู่ออกไปไม่ไกลนัก กู้เจียวเองก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน
เสียงชักกระบี่ออกฝักดังขึ้นท่ามกลางแมกไม้ ประกายเย็นเฉียบแวบขึ้นมา ทั้งสองยังไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้อง ก็ถูกเชือดคอตายในทันที
เพียงพริบตาเดียว องครักษ์ผู้สำเร็จโทษทั้งสองก็เข้ามารายงาน ปลายกระบี่ของเขายังมีเลือดสดไหลย้อย เลือดนั้นยังร้อนกรุ่นอยู่ด้วยซ้ำ
แม้จะถูกสำเร็จโทษด้วยเบาะแสเพียงนั้น ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีแต่อย่างใด เพราะจะได้ตัดโอกาสที่พวกเขาจะเผยความลับของตนให้ไทเฮาได้รับรู้
“เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่” จวงไทเฮาถาม
ถังเย่ว์ซานรีบตอบในทันใด “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”
มือสังหารก็ตายไปแล้ว จากนี้เขาก็สามารถไล่ล่าตามรอยของกู้ฉังชิงได้อย่างวางใจแล้ว
ในพงป่านั้น กู้ฉังชิงได้เห็นฉินกงกงหยิบขวดสองใบขึ้นมา แล้วสั่งการให้องครักษ์สองคนนั้นนำมารองเลือดไก่
ใช่แล้ว เมื่อครู่เขานึกว่าตัวเองจะตายไปแล้วจริงๆ กลับกลายเป็นว่ายามที่องครักษ์ง้างมีดขึ้น สิ่งที่ถูกบั่นนั้นคือไก่ป่าสองตัวในพุ่มหญ้า
ฉินกงกงเอ่ย “เลือดไก่ป่านั้นสดนัก เอาไปทำเลือดต้มเครื่องในคงอร่อยไม่น้อย”
กู้เฉิงเฟิง “…”
นั่นใช่เรื่องสำคัญหรือ
รู้หรือไม่ว่าข้าตกใจเกือบตายที่เจ้าพูดแบบนั้นกับข้า
ไทเฮาให้พวกเจ้ามาปลิดชีวิตคน แต่พวกเจ้ากลับมาเชือดไก่แบบนี้จะดีหรือ
ส่วนเจ้าก็อีกคน…
เขาเหลียวไปมองกู้เจียว
เขาตกใจจนแทบฉี่ราด แต่เจ้ากลับสงบนิ่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
กู้เฉิงเฟิงนึกว่านี่คงเป็นเรื่องที่น่าตกใจที่สุดของคืนนี้แล้ว แต่ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำเอาเขาเข่าทรุดลงกับที่ในทันที
ฉินกงกงพาพวกเขาทั้งสองไปเข้าเฝ้าไทเฮา
เขาคิดในใจว่าเรื่องที่ตนเป็นบุตรของจวนโหวคงปิดไม่มิดแล้ว ในเมื่อจวงไทเฮาและฝ่าบาทไม่ลงรอยกัน ย่อมไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่นอน
ความคิดเพิ่งผ่านหัวไป ก็เห็นเงาร่างเล็กแวบผ่านตัวเขาไป พุ่งตัวไปทางเกี้ยวหงส์ของจวงไทเฮานู่นแล้ว!
กู้เฉิงเฟิงเหงื่อแตกขนลุกเกลียวไปทั้งตัว!
เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าอย่าลอบสังหารไทเฮาจะได้ไหม!
ไม่มีทางสำเร็จหรอกน่า!
มีแต่จะโดนยิงจนกลายเป็นเม่นต่างหาก!
กู้เฉิงเฟิงได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกนัก จึงขวางไว้ไม่ทัน ทำได้เพียงมองเงาร่างเล็กนั้นบุกเข้าไปในเกี้ยวหงส์ของจวงไทเฮา
เขายกมือขึ้นปิดตา อดทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงชักกระบี่ของเหล่าองครักษ์แต่อย่างใด แต่กลับได้ยินเพียงเสียงเรียกของนางตัวแสบ “ท่านย่า!”
น้ำเสียงนั้นสดใสรื่นหูนัก แฝงไปด้วยความออดอ้อนและตื่นเต้นดีใจ
กู้เฉิงเฟิงสงสัยว่าตัวเองหูฟาดไป เขารวบรวมความกล้าดึงมือที่ปิดตาออก จากนั้นก็ได้เห็นภาพหลังม่านที่ถูกลมพัดปลิว นางตัวแสบนั่งอยู่ข้างกายจวงไทเฮาผู้สง่างามดั่งองค์จักรพรรดิ
จวงไทเฮายังคงน่าเกรงขามสูงส่งไม่อาจเอื้อมเช่นเดิม แต่นางกลับยกมือขึ้นมาปลดหน้ากากของกู้เจียวออก แถมยังถือไว้ในมืออย่างนึกรังเกียจพลางบ่นพึมพำ “อัปลักษณ์เหลือเกิน ไม่รู้จักใส่อันที่งามกว่านี้สักหน่อย”
“อันนี้ก็งามแล้ว” กู้เจียวเอ่ย “ข้าชอบ”
“เอาไปเผา” จวงไทเอายื่นหน้ากากนกยูงรำแพนหางให้กับฉินกงกง
ฉินกงกงรับมาอย่างนอบน้อม
ไม่ใช่เพราะอัปลักษณ์จริงๆ อย่างที่ว่าหรอก แต่เป็นเพราะถังเย่ว์ซานเห็นหน้ากากนั้นเข้าให้แล้ว จึงจำต้องเผาทำลายไม่ให้เหลือซาก
กู้เจียวรู้สึกอาลัยขึ้นมาอย่างประหลาด
จวงไทเฮาไม่ได้คาดคั้นเรื่องราวในอดีตกับกู้เจียว แต่กลับมองไปยังกู้เฉิงเฟิงที่ตกตะลึงตาค้างอยู่ “เขาเป็นใครกัน”
กู้เฉิงเฟิงเคยไปที่โรงหมอ ทั้งยังเคยไปที่ตรอกปี้สุ่ยด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยได้พบหน้าหญิงชราเลย
“คนรู้จักคนหนึ่งน่ะ” กู้เจียวไม่เปิดเผยตัวตนของกู้เฉิงเฟิง
จวงไทเฮาส่งสายตาให้กับฉินกงกง ฉินกงกงเข้าใจในทันที จึงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เฉิงเฟิงก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านจอมยุทธ์หนุ่ม ข้าส่งท่านกลับบ้านก็แล้วกัน”
กู้เฉิงเฟิงได้สติขึ้นมาในทันใด เขาเหลียวไปมองกู้เจียว ฉินกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางไม่เป็นอะไรแน่นอนขอรับ”
กู้เจียวบอกเพียงแค่ว่ากู้เฉิงเฟิงเป็นคนรู้จักของตน ฉินกงกงเองก็ไม่รู้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่ากู้เฉิงเฟิงสนิทสนมกับกู้เจียวมากแค่ไหน จึงไม่ได้เอ่ยชื่อแซ่และเรียกว่าแม่นางแทน
วินาทีนั้นกู้เฉิงเฟิงมึนงงไปหมด เอาแต่คิดเรื่องที่ว่าน้องสาวของตัวเองรู้จักกับไทเฮาได้อย่างไร น้องสาวของตัวเองสนิทสนมกับไทเฮาขนาดนั้นเชียวหรือ น้องสาวของตนเรียกไทเฮาว่าท่านย่า น้องสาวของเขา…ไม่สิ ในสถานการณ์แสนชุลมุนวุ่นวายนี้ นางไม่ใช่น้องสาวของเขา
เขาแทบจะไม่ทันได้สังเกตคำที่ฉินกงกงเลือกใช้
ทว่าเขาเองก็พอจะมองว่าคงไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับกู้เจียวแน่นอน เขากระแอมให้โล่งคอก่อนจะเอ่ยกับฉินกงกง “เช่นนั้นรบกวนท่านกงกงไปส่งข้าที่หอเชียนอินที่ถนนลั่วหยางที”
“ได้ขอรับ” ฉินกงกงตอบรับด้วยรอยยิ้ม