สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 293.3 คนโปรดของราชเลขา (1)
บทที่ 293 คนโปรดของราชเลขา (1)
เย่ว์หลัวซานอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงนัก เดินทางออกจากประตูเมืองฝั่งใต้จากนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณสิบลี้ก็ถึง
ห้องสมุดเย่ว์หลัวซานมีประตูทางเข้าสองฝั่ง โดยหอที่เก็บหนังสือและเหล่าพงศาวดารตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกและตะวันตก
เจ้าของห้องสมุดนี้ไม่ชอบหนังสือเท่าใดนัก หนังสือจึงถูกวางรกระเกะระกะ ไม่มีการจัดหมวดหมู่ ไร้ซึ่งระเบียบ และมีหนังสือไม่น้อยที่ถูกปลวกกินไปหลายเล่ม
อย่างไรก็ตาม หนังสือโบราณเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ สิ่งที่ต้องทำคือ คัดแยกตามราชวงศ์และช่วงเวลาที่แตกต่างกัน และชดเชยสถานที่ที่ขาดหายหรือเสียหายให้มากที่สุด และทำเครื่องหมายกำกับว่าแต่งเติมได้ หรือแต่งเติมไม่ได้ จากนั้นพวกเขาค่อยกลับไปขอคำแนะนำจากอู่จิงป๋อซื่อและเหล่านักปราชญ์ของสำนัก
ขุนนางที่ร่วมเดินทางมาที่นี่มีทั้งหมดสี่คน แบ่งเป็นเสมียนหรือซิวจ้วนสองคน และเปียนซิวหรือบรรณาธิการอีกสองคน ตอนแรกพวกเขาคิดว่าคนน่าจะเพียงพอ
แต่พอมาเจอของจริงเข้า
พวกเขาเริ่มนึกสงสัย ที่นี่คือห้องสมุดแน่หรือ ไม่ใช่ห้องเก็บซากปรักหักพังใช่ไหม
ชั้นหนังสือและตู้อยู่ในสภาพโค้งงอ และหนังสือก็กระจัดกระจายไปทุกแห่ง อดีตอาจจะเคยมีคนมาทำความสะอาดและจัดใส่ตะกร้าบ้างแต่โดยรวมแล้วดูไร้ระเบียบสิ้นดี
หยางซิวจ้วนได้แต่หัวเสียว่าเขาน่าจะพาคนมาเยอะกว่านี้!
อันจวิ้นอ๋องเองก็เช่นกัน เพราะท่านนักปราชญ์ก็เตือนไว้แล้วว่างานนี้อาจจะวุ่นวายหน่อย แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะวุ่นวายขนาดนี้
อันจวิ้นอ๋องเอามือกุมหน้าผาก ก่อนถอนหายใจ “ท่านหยาง พวกเราขนหนังสือออกมาให้หมดก่อนจะดีไหม เริ่มจากด้านในก่อน”
“ใช่ ใช่ ใช่ อวี้เหิงพูดถูกต้องเลยล่ะ!” หยางซิวจ้วนทำหน้าระรื่นเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของอันจวิ้นอ๋องอย่างออกหน้าออกตา
ก่อนจะหันไปทำหน้าบึ้งแล้วเอ่ยสั่งกับเซียวลิ่วหลัง “มัวยืนลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ รีบไปขนหนังสือเร็วเข้า!”
เซียวลิ่วหลังและเสมียนอีกคนที่มาจากตระกูลเฉินจึงต้องไปเก็บหนังสือที่ห้องฝั่งตะวันตก และด้วยความที่ห้องนั้นฮวงจุ้ยไม่ดี ทั้งแสงจากแดดตอนบ่ายที่สาดเข้ามาและอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้ห้องนั้นทั้งอบทั้งอับชวนขนหัวลุก
ส่วนห้องที่ไม่โดนแดดอย่างห้องฝั่งตะวันออก หยางซิวจ้วนก็เลือกไว้แล้วว่าตัวเองและอันจวิ้นอ๋องจะจัดการห้องนี้ คนอย่างเขาไม่ปล่อยให้อันจวิ้นอ๋องต้องออกแรงมากอยู่แล้ว
ขณะที่อันจวิ้นอ๋องกำลังจะไปย้ายตะกร้า
จู่ๆ หยางซิวจ้วนก็เข้ามาห้าม พร้อมกับทำหน้ายิ้มหวาน “งานพวกนี้ปล่อยให้พวกนั้นทำดีกว่า อวี้เหิงเอาหนังสือไปตากแดดดีกว่า”
งานตากแดดหนังสือเรียกได้ว่าเป็นงานไม่หนักเลย แค่ต้องเอาหนังสือมาวางตามโต๊ะ เก้าอี้ หรือไม่ก็บนพื้นเท่านั้น
อันจวิ้นอ๋องไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเป็นคนที่มีเหตุผล เพราะแต่ละคนเกิดมาไม่เหมือนกัน ตัวเขาเองเกิดมามีฐานะเหนือคนอื่น และแน่นอนว่ามันมีราคาที่ต้องจ่าย
คนที่ไม่ได้เกิดมามีสถานะแบบเขา ก็ไม่ต้องไปอยู่แคว้นอื่นเพื่อเป็นเชลยตั้งแต่อายุแปดขวบแบบเขา
ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ติดใจอะไร
อันจวิ้นอ๋องจึงรับหน้าที่ที่หยางซิวจ้วนมอบหมายให้แต่โดยดี
หยางซิวจ้วนเป็นคนออกคำสั่ง บ้างก็ลงมาช่วยอันจวิ้นอ๋องตากหนังสือ
ด้วยความที่ขาของเซียวลิ่วหลังมีปัญหา ทำให้เขาช้ากว่าคนอื่น
ส่วนเฉินเปียนซิวเมื่อสามปีก่อนเขาเคยดำรงตำแหน่งจูจี๋ซื่อ แต่พอสำนักได้สลายตัวลง เขาจึงสอบเข้าสำนักฮั่นหลินและดำรงตำแหน่งเปียนซิว จะว่าไปแล้ว ก็เรียกได้ว่าเขาคือขุนนางใหม่ เพียงแต่เขาเข้ามาก่อนเซียวลิ่วหลัง อันจวิ้นอ๋องและหนิงจื้อหย่วนเท่านั้น
เขารู้อยู่แล้วว่าเซียวลิ่วหลังนั้นเป็นจอหงวนคนใหม่ แต่ดูเหมือน จอหงวนผู้นี้คงไปกระทบกระทั่งปั้งเหยี่ยนโดยไม่ตั้งใจ ถึงได้โดนกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ
เฉินเปียนซิวเบะปากพลางเอ่ย “ซวยจริงๆ ทำไมข้าถึงโดนจับมาทำงานกับเจ้าด้วยเนี่ย!”
เซียวลิ่วหลังไม่เอ่ยอะไร ก้มหน้าก้มตาหยิบหนังสือบนพื้นใส่ลงตะกร้า
พอเวลาผ่านไปสักพัก ขนาดคนที่ได้งานสบายกว่าเพื่อนอย่างอันจวิ้นอ๋องยังรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว งานของเขาเพิ่งจะเสร็จไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
“พวกเจ้าทั้งสอง ช่วยกันทำความสะอาดห้องก่อน!” หยางซิวจ่วนชี้นิ้วสั่ง “เจ้าทำห้องตะวันออก ส่วนเจ้าทำห้องตะวันตก”
เฉินเปียนซิวไม่กล้าขัดคำสั่ง และเขาก็ได้เลือกห้องฝั่งตะวันออกที่เย็นกว่า
ส่วนเซียวลิ่วหลังได้แต่ยอมรับสภาพไป
แทนที่จะรู้สึกขอบคุณ แต่เฉินเปียนซิวกลับเลือกจะเยาะเย้ยเซียวลิ่วหลัง “ถ้าข้าไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกันกับเจ้า ข้าคงจะไม่ซวยเช่นนี้หรอก!”
ประโยคนี้ดูจะเกินไปหน่อย
เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ตำแหน่งทางการของเซียวลิ่วหลังนั้นมีระดับสูงกว่าเฉินเปียนซิวอยู่ดี ต่อให้วันนี้ไม่ว่าเซียวลิ่วหลังจะมาหรือไม่ก็ตาม อย่างไรเสียเฉินเปียนซิวก็ต้องมาทำงานตรงนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
เขาคงไม่ยอมให้อันจวิ้นอ๋องทำงานตรากตรำหรอกจริงไหม แม้พวกเขาจะเป็นขุนนางระดับเจ็ดเหมือนกัน
คิดหรือว่าระดับอันจวิ้นอ๋องจะมานั่งใส่ใจว่าตัวเองจะได้เป็นขุนนางระดับไหน แน่นอนว่าไม่ แต่เป็นเพราะเขาเกิดในตระกูลจวง ซึ่งคนคนในตระกูลจวงทุกคนจะต้องเข้าทำงานในราชสำนัก
เฉินเปียนซิวไม่มีสิทธิ์ที่จะไปต่อว่าอะไรอันจวิ้นอ๋อง ก็เลยมาลงกับเซียวลิ่วหลังแทน
เซียวลิ่วหลังเองก็ไม่อยากจะยุ่งกับเขา ก่อนจะถือไม้กวาดแล้วรีบเดินเข้าห้องไป
ห้องทางฝั่งตะวันตกมีขนาดใหญ่กว่าและรกกว่าห้องฝั่งตะวันออก เขาเริ่มจากการตั้งชั้นวางหนังสือให้ตรงดีเสียก่อน
บัดนี้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หากเป็นเมื่อก่อนนั้นเขาอาจเป็นลมไปแล้วก็ได้
ร่างกายของเด็กหนุ่มแผ่ซ่านความเป็นชายออกมาจากๆ แขนเสื้อค่อย ๆ ม้วนขึ้น เผยกล้ามเนื้อเด่นชัดที่ปลายแขน และหยดเหงื่อที่ไหลลงมาตามคางกลมมน
ขณะที่อันจวิ้นอ๋องนั่งพักผ่อนอยู่ข้างนอก เขาเหลือบมองที่หน้าต่างห้องตะวันตกโดยไม่ได้ตั้งใจ
ขนาดเขาเป็นผู้ชาย แวบนั้นยังทำเอาเขาเกือบจะตาพร่าเลยทีเดียว
หลังจากที่เซียวลิ่วหลังทำความสะอาดเสร็จ เขาก็พบว่าห้องมีห้องใต้หลังคา และบันไดทางขึ้นอยู่ด้านหลังชั้นหนังสือแถวสุดท้าย
เขาเช็ดบันไดแล้วมองดู ปรากฏมีหนังสืออยู่ในห้องใต้หลังคาด้วย แต่อาจเป็นเพราะมันอยู่ลึกเกินไป กองหนังสือเหล่านั้นจึงอยู่ในสภาพฝุ่นเขรอะและเหมือนจะไม่มีใครมาจัดระเบียบมันเลย
เซียวลิ่วหลังตัดสินใจว่าจะขนหนังสือเข้ามาก่อน แล้วค่อยไปจัดการที่ห้องใต้หลังคา
“ย้ายหนังสือเข้ามาเถอะ เดี๋ยวฝนจะตกแล้ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับคนอื่นๆ
อันจวิ้นอ๋องเงยหน้ามองฟ้า ก่อนจะเลิกคิ้ว พลางนึกในใจว่าทำไมถึงไม่สังเกตตั้งแต่ทีแรกนะว่าฝนจะตก ย้ายหนังสือออกมาแผ่เยอะขนาดนี้จะเก็บทันก่อนฝนตกไหมนี่
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบเก็บเร็วเข้า” เขาเอ่ย
ขณะที่เซียวลิ่วหลังทำความสะอาดห้องเสร็จแล้ว ตัดภาพไปที่เฉินเปียนซิวที่เพิ่งจะทำไปได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
“มัวทำอะไรของเจ้า! ห้องเล็กแค่นี้ยังทำไม่เสร็จอีกเรอะ!” หยางซิวจ้วนตะโกนด่าเฉินเปียนซิวไปหนึ่งที พอด่าเสร็จก็หันมาหาเซียวลิ่วหลัง “เจ้าไปช่วยเขาเร็ว!”
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีสารถีอีกสองคนที่มาด้วยกัน แต่พวกเขาต้องไปซ่อมหลังคาเพื่อกันน้ำฝนไหลเข้าห้อง ลูกมือก็เลยหายไป
เซียวลิ่วหลังเดินไปที่ห้องฝั่งตะวันออก
“เจ้าจงใจทำให้ข้าอับอายขายหน้าใช่ไหม!” เฉินเปียนซิวรีบต่อว่าเขาทันควัน
เรื่องนี้มันเกี่ยวกับเซียวลิ่วหลังตรงไหน
ที่เซียวลิ่วหลังทำความสะอาดเร็วนั่นก็เพราะเขาไม่ได้เหมือนคนอื่นที่เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว
แล้วเขาผิดอะไร
“เก็บแรงบ่นเอาไปทำความสะอาดห้องให้มันเสร็จเร็วๆ ยังจะดีกว่า” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“เจ้า…” เฉินเปียนซิวถึงกับอ้ำอึ้ง
หลังจากทำความสะอาดห้องทางทิศตะวันออกแล้ว พวกเขาก็จัดแจงย้ายหนังสือเข้ามาในห้อง ไม่นานเม็ดฝนก็ได้โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
และในตอนนั้นเอง สารถีก็ซ่อมหลังคาเสร็จเรียบร้อยพอดี
พวกเขาพากันถอนหายใจ ก่อนจะเริ่มงานจัดหมวดหมู่หนังสือกันต่อ
พอถึงตรงนี้ หยางซิวจ้วนได้พักการกลั่นแกล้งลง เขาและอันจวิ้นอ๋องลงมือจัดหนังสือในห้องตะวันออก ขณะที่เซียวลิ่วหลังและเฉินเปียนซิวไปจัดการที่ห้องฝั่งตะวันตก
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ไอร้อนเริ่มคลายลง อากาศในห้องเริ่มเย็นขึ้นมาบ้าง
พวกเขาก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือกันอย่างตั้งอกตั้งใจ
ด้วยความที่เซียวลิ่วหลังเป็นคนเข้ามาใหม่ ภาระของเขาจึงไม่เยอะมาก พอจัดหนังสือเสร็จไปสองชั้น ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาจะขึ้นไปดูที่ห้องใต้หลังคาเสียหน่อย
เขาหยิบตะเกียงและผ้าขี้ริ้วแล้วเดินขึ้นบันไดไป
หนังสือที่อยู่ในห้องใต้หลังคาแม้จะดูไม่รกเท่าข้างล่าง แต่พอลองสังเกตดีๆ ก็พบว่าหมวดหมู่ยังไม่ถูกต้อง
เซียวลิ่วหลังแขวนตะเกียงแล้วลงมือเช็ดฝุ่นที่เกาะตามหนังสือ ก่อนจะนำมาคัดแยกทีละเล่ม
ห้องใต้หลังคาไม่มีปากกาหรือกระดาษ หากเจอหนังสือที่ชำรุด เขาจะวางไว้ด้านข้างก่อน แล้วค่อยนำมาซ่อมทีหลัง
เซียวลิ่วหลังก้มหน้าก้มตาจัดหนังสือจนไม่ทันได้สังเกตว่าฟ้ามืดแล้ว
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เริ่มรู้สึกปวดหลังปวดเอวเลยตัดสินใจลงมาเดินขยับร่างกาย ถึงได้เห็นว่าทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความมืด
เสียงฝนจากข้างนอกดังลอดเข้ามา
เขาถือตะเกียงและเดินไปรอบๆ ห้องที่แสนจะเงียบเชียบ
“มีใครอยู่ไหม”
เขาเอ่ยถาม
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จะมีก็แค่เสียงเม็ดฝนที่ดังเป็นระยะๆ
เซียวลิ่วหลังถือตะเกียงเดินไปรอบๆ ตัวเรือน จนแน่ใจแล้วว่าทุกคนออกจากที่นี่กันหมดแล้ว และประตูบานใหญ่ก็ถูกลงกลอนแล้วเรียบร้อย
เซียวลิ่วหลังเดินไปทางประตูหลัง แต่ก็ตามคาด ประตูหลังก็ถูกลงกลอนแล้วเช่นกัน
แม้ที่นี่จะไม่ใช่ที่เก็บสมบัติเงินทองแต่อย่างใด แต่ด้วยความที่กลัวว่าจะมีโจรมาขโมยหนังสือสำคัญๆ ไป ก็เลยต้องลงกลอนไว้เพื่อป้องกัน
เซียวลิ่วหลังได้ลองสังเกตเส้นทางระหว่างที่มาที่นี่แล้ว ห้องสมุดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชายเขาเย่ว์หลัวซาน เขาจำได้ว่าร้านน้ำชาที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้ได้
แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว ร้านน้ำชาคงปิดแล้ว
“คืนนี้คงกลับไม่ได้แล้วสินะ”
เซียวลิ่วหลังมองดูฝนที่โปรยปราย มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัว เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจ และหันหลังกลับเพื่อก้าวเท้าไปที่ทางเดิน
เรือนแห่งนี้ไม่มีคนเข้ามาอยู่อาศัยมาเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้กิน โชคดีที่ตอนกลางวันหนิงจื้อหย่วนเอาบะหมี่หยางชุนมาให้เขากิน ทำให้เขายังไม่หิวเท่าใดนัก
แต่น้ำมันตะเกียงของเขาใกล้จะดับแล้วนี่สิ
เขาไปที่ห้องฝั่งตะวันออก และนำตะเกียงน้ำมันจากห้องนั้นมาเติม
ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ เขาจึงลงมือจัดหนังสือที่เหลือในห้องต่อ