สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 294 คู่กัด
บทที่ 294 คู่กัด
ระดับอย่างราชเลขาหยวนไม่ได้ต้องการการเข้าสังคมที่ไร้ความหมายอีกต่อไป หรือต่อให้จำเป็น ก็ไม่ต้องเข้าร่วมก็ได้
หลังจากแยกย้ายกันเสร็จ ราชเลขาหยวนอ่านหนังสืออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับไปยังจวน
ฮูหยินใหญ่หยวนเป็นคนมาจากตระกูลมีการศึกษาของเจียงหนาน นางดูแลการก่อสร้างจวนด้วยตัวคนเดียว ซึ่งดูเหมือนสวนเล็กๆ ของทางเจียงหนาน
ราชเลขาหยวนไม่เคยรับนางบำเรอ และลูกชายของเขาเองก็ไม่มีใครรับนางบำเรอ มีเพียงลูกสะใภ้คนที่สองเท่านั้นที่เสียชีวิตเพราะมีบุตรยาก ทำให้ลูกชายคนที่สองของเขาต้องแต่งงานครั้งที่สอง
ภายในสวนดอกไม้ นักพรตหญิงในชุดสีฟ้ากำลังอ่านหนังสืออย่างจดจ่อไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
หนังสือที่ว่า ไม่ใช่บทสวดหรืออะไร แต่เป็นหนังสือนิยายที่นางเพิ่งไปเจอมาจากห้องเรียน
ข้างกายนาง เด็กผู้หญิงในชุดสีม่วงกำลังถือตาข่ายที่ทำจากใยแมงมุมและแถบไม้ไผ่เพื่อจับผีเสื้อ
เมื่อเห็นราชเลขาหยวนเดินเข้ามา ดวงตาของหญิงสาวที่สวมชุดสีม่วงก็เป็นประกาย และจากนั้นนางก็ยื่นตาข่ายไม้ไผ่ในมือของนางให้กับสาวใช้ที่มาด้วย จากนั้นก็วิ่งถกกระโปรงไปหาอย่างไม่สนภาพลักษณ์ตัวเอง: “ท่านปู่ ท่านปู่! กลับมาแล้วหรือ!”
ราชเลขาหยวนพอเห็นหลานสาวตัวน้อยๆ วิ่งเข้ามาก็กุมขมับ “อย่าวิ่งสิ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
“ข้าไม่ล้มหรอกน่า!” เด็กสาวชุดม่วงหยุดยืนตรงหน้าเขา ก่อนจะโค้งคำนับให้หนึ่งทีแล้วเข้าไปคล้องแขนเขา “ท่านปู่ ท่านปู่ ท่านปู่ เหตุใดวันนี้ถึงกลับช้าจังเจ้าคะ”
“อ่านหนังสือมาน่ะ” ราชเลขาหยวนเอ่ยตอบ
“อ๋อ” เด็กสาวชุดม่วงผู้ไม่สนใจการอ่านพอได้ยินคำตอบก็เลยไม่ถามอะไรต่อ
ขณะเดียวกัน สายตาของราชเลขาหยวนจับจ้องไปที่นักพรตหญิงในชุดสีฟ้า
และดูเหมือนว่านักพรตหญิงก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่ามีใครกำลังมองมาทางนี้ ก่อนจะวางหนังสือในมือลง แล้วถวายบังคมให้เขา “ท่านประสกหยวน”
ราชเลขาหยวน “…”
“ไม่คิดจะลาสิกขาเลยรึ”
นักพรตหญิง “ไม่ลาเจ้าค่ะ”
ราชเลขาหยวนมองหนังสือที่อยู่ในมือของนักพรตหญิง “ไม่ลาสิกขาแล้วอ่านหนังสือแบบนี้ได้หรือ”
“…” นักพรตหญิงเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าดังเดิม “ในสายตาของท่าน หนังสือเล่มนี้อาจดูไร้สาระ แต่สำหรับนักพรตอย่างข้า มันคือการเปิดโลกอีกอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ”
ราชเลขาหยวน “…”
“เอาน่า พวกท่านหยุดพูดจาประหลาดๆ กันได้แล้วน่า!” เด็กสาวในชุดม่วงเอ่ยแย้ง คนหนึ่งคือพี่สาว ส่วนอีกคนคือท่านปู่ ตอนแยกกันพูดก็พอฟังรู้เรื่องอยู่หรอก แต่พอพวกเขาหันหน้าพูดคุยกันเท่านั้นแหละ เด็กสาวในชุดม่วงถึงกับมึนตึ๊บ!
ราชเลขาหยวน “แน่จริงคืนนี้อย่าทานเนื้อสัตว์ก็แล้วกัน”
“อู๋เลี่ยงเทียนจวิน” นักพรตหญิงกล่าวคำอวยพรลัทธิเต๋าหนึ่งที ก่อนจะโค้งคำนับ และเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ขอแค่มีศาสนาในใจ ไม่ว่าจะกินเนื้อสัตว์หรือกินเหล้าก็ย่อมได้ทั้งนั้น”
ราชเลขาหยวน “…”
พอเขารู้แล้วว่าตัวเองโต้ตอบไม่ได้ จึงยอมเดินจากไปแต่โดยดี
ใครจะไปคิดละว่าคนที่แม้แต่ราชครูจวงยังเอาไม่ลงอย่างราชเลขาหยวนจะต้องพ่ายแพ้แก่หลานสาวตัวเล็กๆ เสียอย่างนั้น
ว่ากันตามตรงก็เป็นเพราะเขาเอาใจพวกนางเองต่างหาก
ด้วยความที่หลานสาวคนนี้เกิดมาบุญน้อยนัก พอเกิดมาก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ฮูหยินใหญ่หยวนจึงพานางไปหานักพรตเต๋าเพื่อขอต่อชีวิตให้นาง โดยนักพรตได้กล่าวว่า นางต้องได้รับการเลี้ยงดูในวัดลัทธิเต๋าเพื่อรับพรจากเทพเจ้า เพื่อที่จะเติบโตอย่างปลอดภัย
ตอนแรกราชเลขาหยวนไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่ฮูหยินใหญ่ยังคงดึงดันและส่งนางเข้าวัดเต๋าในที่สุด ปรากฏนางมีอาการดีขึ้นจริงๆ แต่ไม่กี่วันต่อมา พอรับนางกลับมาอยู่ที่จวน ก็เกิดป่วยอีกรอบ
พอเป็นแบบนี้บ่อยๆ เข้า ก็เลยตัดสินใจให้นางพำนักอยู่ที่วัดไปโดยปริยาย
จนนางอายุครบสิบหกปี ถึงได้ไปรับกลับมาอยู่ที่จวน
“ท่านพ่อ” ลูกชายคนโตของราชเลขาหยวนพอเห็นบิดาอยู่ในสวน ก็รีบเดินเข้ามาถวายบังคมให้ “วันนี้ท่านกลับดึกกว่าทุกครั้ง ที่ราชสำนักมีเรื่องอันใดอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่งานหลวงหรอก” ราชเลขาหยวนโบกมือปัด ก่อนจะเดินเข้าตำหนักของตัวเอง
เขานั่งลงบนเก้าอี้ทรงหมวกในห้องหลัก โดยมีบ่าวคอยรินน้ำชาให้
หลังจากที่เขาจิบชา ก็เอ่ยกับบุตรชายคนโต “เป่าหลินไม่เด็กแล้วนะ ควรจะคิดเรื่องหาคู่ครองได้แล้วไหม”
หยวนเผยหัวเราะหนึ่งที ก่อนเอ่ย “ใช่ขอรับ ถึงเวลาต้องหาคู่ครองแล้ว…ท่านพ่อ เจอคนที่เหมาะสมแล้วหรือขอรับ”
ราชเลขาหยวนนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนตอบออกไป “เดิมทีก็ไม่มีหรอก”
เช่นนั้น แปลว่าตอนนี้มีแล้วสินะ
หยวนเผยมองบิดาของตนเองด้วยสีหน้ามีความหวัง
ราชเลขาหยวน “บุตรชายตระกูลจวงคนนั้นก็ดูไม่เลวนะ”
“ตระกูลจวงรึ หมายถึงตระกูลของท่านราชครูจวงใช่หรือไม่ขอรับ คุณชายตระกูลจวงที่อายุเหมาะสม…” หยวนเผยครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนจะทำหน้าตกใจ “หมายถึงอันจวิ้นอ๋องหรือขอรับ”
“อืม” ราชเลขาหยวนพยักหน้า
หยวนเผยอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “เด็กคนนั้นไม่เลวก็จริง…”
เป็นที่รู้กันว่าอันจวิ้นอ๋องนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของความปรีชาสามารถและความปราดเปรื่อง เมื่อครั้งยังเยาว์วัยต้องถูกจับไปเป็นเชลยที่แคว้นเฉิน กระนั้นเขาก็ไม่งอแงและสามารถอยู่รอดออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เข้มแข็งมากเพียงใด
คนแบบเขาเรียกได้ว่าหาจับตัวได้ยาก ซึ่งเหมาะสมที่จะให้เป็นคู่ครองของเป่าหลิน
หยวนเผยทำหน้างุนงง “แต่ท่านพ่อเคยบอกว่าไม่อยากเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจวงมิใช่หรือ”
ราชเลขาหยวนมีหลักการที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทในราชสำนัก
เขาเป็นคนจงรักภักดีกับแคว้นเจา
ราชเลขาหยวนไม่ได้ให้คำตอบที่ซับซ้อนเกินไป แต่พูดหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “เด็กคนนั้นดีกว่าที่ข้าคิดไว้”
นักพรตหญิงไม่รู้ว่าปู่ของนางกำลังกังวลเรื่องการแต่งงานของนาง ขณะเดียวกัน น้องสาวของนางก็ลากนางออกจากจวนหยวน
เด็กสาวในชุดม่วงกำลังใช้ความพยายามในการลากพี่สาวตัวเองออกไปข้างนอกให้ได้ “ท่านพี่เร็วหน่อยสิ! วันนี้มีงานโคมนะ! คนไปที่งานเยอะมากเลย! ถ้าเราออกช้าระวังจะเบียดเข้าไปไม่ได้นะ!”
นักพรตสาวมองบนใส่น้องตัวเองหนึ่งที
ก็นางอยากนั่งอ่านนิยายเฉยๆ นี่นา
ราชบุตรเขยคนนั้นที่ถูกเลี้ยงดูนอกวังจะถูกองค์หญิงค้นพบเข้าหรือไม่
เด็กน้อยที่ถูกลืมไม่รู้ว่าองค์หญิงจะรู้เรื่องแล้วนำกลับไปเลี้ยงต่อหรือไม่
อีกทั้งภรรยาม่ายและเพื่อนรักขององค์หญิงก็นอนกับลูกเขยเป็นพันๆ ครั้ง แล้วเมื่อไหร่องค์หญิงจะรู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของจิ้งจอกตัวนี้เสียที
นิยายสมัยนี้เขียนออกมาได้ถึงพริกถึงขิงเกินไปแล้ว คนอ่านยิ่งอ่านยิ่งปวดหัวนัก!
เทศกาลโคมไฟจัดขึ้นที่ถนนฉางอัน ตอนนี้มีคนไม่มากนัก แต่อีกสักพักคนน่าจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ
“เอาละ เอาละ ที่นี่แหละ!” เด็กสาวชุดม่วงบอกให้คนขับรถหยุดรถ ก่อนจะจูงมือพี่สาวลงจากรถม้า
เด็กสาวใจร้อนรีบลงจากรถเกินจนไม่ทันระวังว่ามีรถม้าอีกคันโผล่มาจากทางด้านข้าง
นักพรตหญิงเห็นแล้วว่ามีรถม้าพุ่งเข้ามา แต่ด้วยความที่ทุกอย่างเกิดขึ้นกระชั้นชิด นางจึงทำได้แค่ดึงร่างของผู้เป็นน้องกลับเข้ามา
อาจเป็นเพราะใช้แรงเยอะไปหน่อย ร่างของเด็กสาวชุดม่วงจึงถูกเหวี่ยงไปอีกฝั่ง
แล้วนางก็ชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่ง
เซล้มลงไปทั้งคู่
“โอ๊ย”
ข้อศอกของเด็กสาวบังเอิญกระทุ้งเข้าที่เอวของอีกฝ่าย เจ็บเอาการเลยทีเดียว
อีกฝ่ายก็ไม่ทันได้ระวัง จึงโดนศอกของเด็กสาวเข้าไปเต็มๆ จนหน้าของเขาบิดเบี้ยวเป็นปม
หญิงสาวในชุดม่วงไม่รู้สึกเจ็บมากนักเพราะนางล้มทับอีกฝ่าย แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย
เด็กสาวหน้าซีด ก่อนจะยกมือขึ้นตบอีกฝ่าย “ลามก!”
อีกฝ่ายรู้สึกทึ่ง และมองหญิงสาวอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้าเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าชนข้าก่อน! ท้องข้าโดนร่างของเจ้าทับลงมาเต็มๆ ! ข้ายังไม่คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ!”
หญิงสาวในชุดสีม่วงรีบลุกขึ้นจากเขา แล้วมองเขาอย่างระแวดระวัง “คิดบัญชงบัญชีอะไรกัน! กล้าที่จะมาคิดบัญชีกับข้าเรอะ! ข้า ข้า ข้า …ข้าขอเตือนไว้เลยนะ คิดหรือว่าเจ้าจะใช้โอกาสนี้มาแตะเนื้อต้องตัวข้าน่ะ! แล้วถ้าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับใครละก็! ข้าจะปลิดชีวิตเจ้า!”
“ข้าต่างหากที่อยากปลิดชีวิตเจ้าน่ะ!”
ชายหนุ่มกระโดดขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น!
นักพรตหญิงเห็นดังนั้นจึงออกไปยืนบังหน้าให้ผู้เป็นน้อง ก่อนจะจ้องเด็กหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา
ในตอนนั้นเอง เสียงทุ้มลึกค่อยๆ ดังขึ้นจากด้านหลังชายหนุ่ม “เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ กลับมาเร็วเข้า!”
ชายหนุ่มจ้องหญิงสาวในชุดสีม่วงอย่างไม่สบอารมณ์ และกลับไปหาต้นเสียงอย่างไม่เต็มใจ
ชายคนนั้นยื่นมือคำนับให้ทั้งสอง “ขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย”
ชายหนุ่มเอ่ยแย้งอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ได้ชนนางนะ นางต่างหากที่มาชนข้าก่อน!”
เด็กสาวในชุดม่วงเถียงกลับทันควัน “เจ้านั่นแหละ!”
นักพรตหญิงมองบุรุษรูปงามพลางเอ่ยถาม “ท่านคือผู้ใดหรือ”
“ข้ามีนามว่ากู้ฉังชิง” กู้ฉังชิงเอ่ยตอบอย่างไม่ปิดบัง
อย่างน้อยในเมืองหลวงแห่งนี้ ชื่อเสียงของเขายังถือว่าไปในทางที่ดี
“อ๋อ” นักพรตหญิงเอ่ย “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
นางเพิ่งออกจากวัด ไม่แปลกที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน
“หยวนถง[1] มานี่” นักพรตหญิงหันไปเรียกชื่อผู้เป็นน้อง
“เฮอะ เจ้าชื่อข้าวหลามตัดหรอกหรือ” กู้เฉิงเฟิงหัวเราะงอหาย “เจ้าเป็นไพ่นกกระจอกรึไง ถึงได้ชื่อว่าข้าวหลามตัด ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ทำไมไม่ชื่อว่าสองเด้งเสียล่ะ!”
“เฉิงเฟิง หยุดเดี๋ยวนี้!” กู้ฉังชิงหันไปดุน้องชาย
คราวนี้ ถึงตาหยวนถงหัวเราะบ้างแล้ว นางยกมือขึ้นเท้าเอว ก่อนจะหัวเราะใส่กู้เฉิงเฟิง “ที่แท้เจ้าก็เป็นตัวต่อ[2]นี่เอง! ก็ว่าทำไมน่ารำคาญชะมัด”
“ข้าวหลามตัด!”
“ตัวต่อ!”
“ข้าวหลามตัด!”
“ตัวต่อ!”
เด็กทั้งสองยืนเถียงกันจนหัวร้อน
“ถ้ายังไม่หยุดข้าจะกลับไปฟ้องท่านปู่นะ!”
“ถ้ายังไม่หยุดข้าจะกลับไปฟ้องท่านปู่นะ!”
กู้ฉังชิงและนักพรตหญิงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
เด็กทั้งสองจึงเงียบลง
แม้จะเงียบลงก็จริง แต่ดวงตาของพวกเขายังคงถลึงตาใส่กันไม่หยุดหย่อน
ก่อนจะกลอกตามองบนพร้อมกัน!
[1] หยวนถง พ้องเสียงกับชื่อของไพ่ในสำรับไพ่นกกระจอก
[2] ชื่อของเฉิงเฟิง พ้องเพียงกับ คำว่า 蜂(เฟิง) แปลว่า ตัวต่อ