สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 297 ชมเชย
บทที่ 297 ชมเชย
วันต่อมา เซียวลิ่วหลังตื่นแต่เช้าแล้วไปสำนักฮั่นหลิน
ในสำนักฮั่นหลินบรรยากาศคึกคักนัก เสียงยินดีและเสียงหัวเราะลอยมาจากห้องทำงานอีกฝั่งเป็นระยะ
ตอนแรกเซียวลิ่วหลังก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเมื่อหนิงจื้อหย่วนมาถึง จึงได้กระซิบบอกเขาว่าหยางซิวจ้วนเลื่อนตำแหน่งแล้ว
เรื่องที่ว่าหยางซิวจ้วนจะได้เลื่อนตำแหน่งไม่ใช่ความลับมานานแล้ว เพียงแต่ได้ยินว่าจะเลื่อนตอนปลายปี
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเลื่อนตำแหน่งได้อย่างไร” หนิงจื้อหย่วนถาม
“เลื่อนได้อย่างไร” จริงๆ แล้วเซียวลิ่วหลังไม่ได้สนใจเรื่องของหยางซิวจ้วนสักเท่าไร ทำเพียงเพื่อตอบสนองความอยากซุบซิบนินทาของหนิงจื้อหย่วนล้วนๆ
“ไปเร็ว ไปคุยกันที่ห้องเจ้า!” หนิงจื้อหย่วนลากเซียวลิ่วหลังไปห้องทำงานที่เต็มไปด้วยกลิ่นสะอิดสะเอียน
“ใต้เท้าเฉินถูกย้ายไปกรมพระคลังแต่เช้าแล้ว” หนิงจื้อหย่วนเล่า
หกกระทรวงของราชสำนักโยกย้ายคนจากสำนักฮั่นหลินไปไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่าง รองเสนาบดีกรมพระคลังก็อยากได้เฉินซื่อตู๋ไปทำงานด้วยนานแล้ว
เพราะเขาถูกย้ายไป ตำแหน่งพระอาจารย์หรือซื่อตู๋จึงได้เว้นว่าง ทำให้หยางซิวจ้วนได้เลื่อนตำแหน่ง
เดิมทีใต้เท้าเฉินก็จะถูกย้ายหลังปีใหม่เช่นกัน แต่เรื่องราวมันก็ดันบังเอิญเช่นนี้
“ข้าได้ยินว่า พวกเจ้าจัดห้องเก็บตำราได้ดียิ่งนัก มีตำราที่ซ่อมแซมใหม่เข้าตาราชเลขาหยวนหลายเล่มเลย”
เซียวลิ่วหลังจัดและซ่อมแซมตำรากว่าครึ่ง แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมด หยางซิวจ้วนและอันจวิ้นอ๋องก็ได้ซ่อมแซมตำราอยู่ส่วนหนึ่ง เซียวลิ่วหลังจึงไม่ได้คิดว่าตำราที่เข้าตาราชเลขาหยวนนั้นจะเป็นเล่มที่ตนเป็นคนซ่อม
หนิงจื้อหย่วนก็ยิ่งไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้เลย
เขาแค่รู้สึกว่าหยางซิวจ้วนโชคดีเสียจริง ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนดีอะไร แต่เหตุใดโชคด้านการงานจึงราบรื่นเช่นนี้
หนิงจื้อหย่วนถอนใจ “ใต้เท้าหานชื่นชมหยางซิวจ้วนใหญ่ ไม่สิ ต้องเรียกว่าหยางซื่อตู๋แล้ว ซื่อตู๋ขุนนางระดับหก ชั้นเอก! ก่อนหน้านี้เขาระดับเดียวกับเจ้า ตอนนี้สามารถมาข่มเจ้าได้แล้ว”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไม่ได้เพิ่งรู้วันนี้เสียหน่อยว่าเขาจะเลื่อนตำแหน่ง”
เลื่อนช้าเลื่อนเร็วก็เลื่อนอยู่ดีไม่ใช่หรือ
หยางซื่อตู๋เคยเป็นเสมียนชั่วคราวหรือซู่จี๋ซื่อมาก่อน อดทนรอมาห้าปีกว่าจะได้ขึ้นเป็นตำแหน่งซื่อตู๋ สำหรับซู่จี๋ซื่อแล้วถือว่าได้เลื่อนตำแหน่งเร็วมากแล้ว
ต่างจากเซียวลิ่วหลัง เขาเป็นถึงจอหงวน ขอแค่เขาไม่หาเรื่องใส่ตัว ก็จะสามารถเลื่อนตำแหน่งได้ไวกว่าบัณฑิตระดับจิ้นซื่อรุ่นเดียวกัน
ตำแหน่งหยางซื่อตู๋ข่มเขาได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น
“เจ้าดูนี่” หนิงจื้อหย่วนหยิบป้ายแกะสลักออกมาจากเสื้อ
เซียวลิ่วหลังถามขึ้น “เจ้าเก็บของเช่นนี้ไว้กับตัวทำไมกัน”
“เปล่า ข้าแค่จะให้เจ้าดูเนื้อหาของป้ายนี้!” หนิงจื้อหย่วนนำร่างเนื้อหาป้ายแกะสลักส่งให้เซียวลิ่วหลัง “คุ้นตาหรือไม่”
หนิงจื้อหย่วนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “หยางซื่อตู๋เอาไปส่ง พูดเพียงแค่ว่า ‘ข้าแนะนำอยู่นาน ให้เขาเขียนใหม่ถึงสิบเจ็ดหน ประโยคเดียว ก็ทำลายผลงานของเจ้าไปทั้งหมด เจ้าบอกความจริงข้ามา เขาได้แนะนำเจ้าสักตัวหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังรับป้ายแกะสลักมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ เขาเอ่ยอย่างไม่สนใจ “ก็แค่ป้ายแกะสลัก”
“เจ้าไม่โกรธจริงหรือ” หนิงจื้อหย่วนเหมือนไม่เชื่อ
“จะโกรธไปทำไมเล่า” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“ไม่โกรธก็ดี” หนิงจื้อหย่วนจึงได้โล่งใจ “เรื่องเช่นนี้พบเห็นได้บ่อยในวงขุนนาง หากยังไม่ได้เป็นเจ้าคนนายคนก็ย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียง เจ้าอายุยังน้อยสามารถข่มอารมณ์เอาไว้ได้ เก่งกว่าข้าตอนนั้นยิ่งนัก แต่ว่าเซียวลิ่วหลัง เจ้ารับปากข้า ถึงแม้สักวัน เจ้าจะสามารถไต่ขึ้นไปอยู่เหนือคนเหล่านี้ได้ เจ้าก็อย่าเป็นแบบพวกเขา”
หนิงจื้อหย่วนอายุสามสิบแล้ว รูปลักษณ์เขาไม่ถือว่าโดดเด่นมากนัก หน้าเหลี่ยม ผิวคล้ำ
แต่ในเวลานี้ แววตาที่เขามองเซียวลิ่วหลังเปล่งประกายยิ่งนัก ยังแฝงไปด้วยเลือดที่เร่าร้อนและแรงศรัทธา ทำเอาซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล
เซียวลิ่วหลังจ้องเขาแล้วพยักหน้า
หนิงจื้อหย่วนเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เขาตบไหล่เซียวลิ่วหลังเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความปรารถนามุ่งมั่น “แม้พื้นเพข้าจะไม่ใช่คนสูงศักดิ์ ไม่มีฐานะ ไม่มีเส้นสาย แต่บางครั้งข้าก็ฝัน ฝันว่าหากวันหนึ่งข้าไต่เต้าขึ้นไปได้…ไม่ต้องสูงมากนัก แค่ขุนนางฮั่นหลินขั้นห้าก็เป็นความฝันสูงสุดในชีวิตข้าแล้ว!”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้นก็กำหมัดแน่น เหมือนว่าจะบีบคั้นคำดูถูกที่ถูกสาดใส่มาตลอดนั้นออกมาทั้งหมด “ข้าคิดว่า หากวันนั้นมาถึง หากข้าได้ขึ้นมาดูแลสำนักฮั่นหลินเมื่อไร ข้าจะไม่ยอมให้ใครเห็นแก่เงินทอง ไม่ยอมให้ใครเห็นแก่ญาติมิตร ไม่ยอมให้ใครเห็นแก่เส้นสาย ไม่ยอมให้ใครทำตามคำสั่งโดยไร้วิจารณญาณ ไม่ยอมให้ใครก่อเรื่องโดยเด็ดขาด!”
…
เมืองหลวงหลังฝนพรำ อากาศอันแสนสบาย
หลังจากเข้าเฝ้าเสร็จ เหล่าขุนนางใหญ่ก็ต่างทยอยออกจากวังกลับไปยังจวนของตน
ราชครูจวงก็ออกจากตำหนักจินหลวนเช่นกัน พูดคุยกับเพื่อนขุนนางที่สนิทสนม วันนี้ไม่มีอะไรจะทูลรายงานไทเฮา เขาจึงกำลังจะออกวัง
เขาเดินออกไปไม่ไกลนัก ราชเลขาหยวนก็เรียกเขาเอาไว้
“ราชครูจวง”
ราชครูจวงหันกลับไปด้วยความประหลาดใจ “ราชเลขาหยวน”
ราชเลขาหยวนเป็นหนึ่งในคณะเสนาบดี แต่รองราชเลขาทั้งสอง จงซูเซ่อเหรินหรืออาลักษณ์ และมหาบัณฑิตในคณะเสนาบดีทั้งสามคนต่างเป็นคนของราชครูจวง ฉะนั้นจะกล่าวว่าคณะเสนาบดีกว่าครึ่งอยู่ในการควบคุมของราชครูจวงก็ว่าได้
เพียงแต่ราชเลขาหยวนก็คงมีตำแหน่งสูงสุดในคณะเสนาบดี เขายังคงมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดอยู่ดี
ทว่าราชเลขาหยวนอายุมากแล้ว เป็นราชเลขาได้อีกไม่นาน สักวันหนึ่ง หนึ่งในรองราชเลขาก็ต้องมาแทนที่ตำแหน่งของเขา
ถึงเวลานั้น ก็จะเป็นเวลาที่ราชครูจวงได้ควบคุมคณะเสนาบดีได้โดยสมบูรณ์
ราชครูจวงไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับราชเลขาหยวน แต่ทั้งสองก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้ราชเลขาหยวนจึงเรียกเขา
ราชเลขาหยวนเดินเข้าไปหา มองดูราชครูจวงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ช่วงนี้ราชครูจวงสีหน้าดีขึ้นทุกวันเลยนะ”
ราชครูจวงตอบโดยมารยาท “เป็นเพราะท่านนั่นล่ะ”
ราชเลขาหยวนยิ้ม “ราชครูจวงเกรงใจอะไรกัน”
ราชครูจวงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ราชเลขาหยวนมีธุระกับข้าหรือ”
ราชเลขาหยวนตอบ “ไม่ได้มีธุระอะไร เมื่อวานข้าอ่านตำราโบราณที่ส่งมาจากสำนักฮั่นหลินแล้ว ซ่อมแซมได้ไม่เลวเลย มีหลายจุดที่หายไปแม้แต่นักปราชญ์ในวังก็ไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ สำนักฮั่นหลินก็เติมให้สมบูรณ์ได้ ได้ยินว่าอันจวิ้นอ๋องก็ร่วมซ่อมแซมตำราโบราณนี้ด้วย”
ราชครูจวงตอบ “เช่นนั้นหรือ ข้าไม่ได้ไปสืบถามเรื่องของอวี้เหิงเสียเท่าไร”
เขาไม่ได้ไปสืบถามจริงๆ
แต่มีคนไปรายงานเขาเอง
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อเลี่ยงและออกตัวว่าตนไม่ได้ยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายสำนักฮั่นหลินต่อหน้าราชเลขาหยวน
ราชเลขาหยวนไม่ได้เอ่ยถึงเพียงตำรา ‘เยียนเป่ยฟู่’ เพราะเมื่อคืนเขาอ่านตำราเล่มอื่นๆ แล้ว พบว่าตำราเหล่านั้นก็น่าทึ่งได้ไม่แพ้ ‘เยียนเป่ยฟู่’ เลย
เขาอายุมากเพียงนี้แล้ว ครั้งสุดท้ายที่อ่านหนังสือข้ามคืนนั้นก็เมื่อสามสิบปีก่อน แต่เมื่อคืนเขากลับอ่านหนังสือถึงขั้นวางไม่ลงเลยทีเดียว
แม้เขาจะไม่เคยพบเห็นตำราโบราณต้นฉบับก็ตาม แต่เนื้อหาประวัติศาสตร์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะสามารถตรวจสอบได้จากตำราโบราณเล่มอื่นๆ
สามารถพูดได้ว่า หากจะซ่อมแซมตำราโบราณเหล่านี้ จะต้องมีภูมิความรู้ด้านประวัติศาสตร์มากมายเป็นทุนเดิม
และจะต้องไม่เขียนคำผิด
แม้แต่ราชเลขาหยวนเอง ก็ยากที่จะรับประกันว่าตนจะสามารถไม่เขียนคำผิดแม้แต่ตัวเดียวในสภาพแวดล้อมอันแสนน่าเบื่อเช่นนั้นได้
ราชเลขาหยวนยังไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังอดหลับอดนอนจุดตะเกียงซ่อมแซมตำราในยามค่ำคืน หากรู้ คงปลื้มปริ่มมากกว่านี้
ราชครูจวงรู้ความเป็นไปของอันจวิ้นอ๋องทุกฝีก้าว ย่อมรู้เรื่องที่เขาเคยไปห้องเก็บตำราเขาเย่ว์หลัว
เขานึกว่าราชเลขาหยวนกล่าวเช่นนี้ เพราะได้ตำราโบราณที่อันจวิ้นอ๋องเป็นคนซ่อมจริงๆ เขารู้ระดับความสามารถของหลานตนเองดี ต้องเป็นการเข้าใจผิดกันอย่างไม่ต้องสงสัย
เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ได้ออกแรงช่วยสำนักฮั่นหลินทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่เขาเรียนหนังสือมานานหลายปี”
“ช่วยเล็กน้อยเสียที่ไหนกัน นี่เป็นผลงานใหญ่เชียวนะ” ราชเลขาหยวนไม่เคยชื่นชมใครโดยไร้เหตุผล แม้กระทั่งเสี่ยวโหวเหยียที่เก่งกาจเกินใครก็ไม่เคยได้รับคำชมจากเขา “ราชครูจวง ท่านมีหลานที่เยี่ยมยอดจริงๆ”
ราชครูจวงรู้สึกประหลาดใจกับคำชื่นชมนี้ เจ้าแก่จอมจู้จี้นี่ ชมคนเป็นด้วยหรือ
เขากดความตื่นเต้นดีใจนี้ไว้แล้วคำนับ “ราชเลขาหยวนชมเกินไปแล้ว”
ราชเลขาหยวนหัวเราะแล้วถามขึ้น “ข้าได้ยินว่า หลานชายของราชครูจวงยังไม่ได้แต่งงานหรือ”
ราชครูจวงชะงักไปทันใด
ปลายเดือนห้า สำนักฮั่นหลินจัดการสอบขึ้น
ในบรรดาซู่จี๋ซื่อทั้งหลาย เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่สอบได้รั้งท้ายอันดับสี่และห้า ส่วนตู้รั่วหานสอบได้เก้าอันดับแรก
หยวนอวี่ หลานของราชเลขาหยวนสอบได้ฉวนหลูของระดับสอง และสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบซู่จี๋ซื่อ
คราวนี้ทำได้ไม่ดีเหมือนทุกครั้ง ตกเป็นอันดับห้า
ส่วนซิวจ้วนและเปียนซิวไม่นำมาจัดอันดับกับพวกเขาเนื่องจากข้อสอบไม่เหมือนกัน
เซียวลิ่วหลังสอบได้อันดับเจ็ด หนิงจื้อหย่วนอันดับหก อันดับหนึ่งนั้นคืออันจวิ้นอ๋อง
หนิงจื้อหย่วนมาหาเซียวลิ่วหลัง แล้วกระซิบกับเขา “เป็นไปไม่ได้…วิชาคำนวณข้าผิดอยู่หลายข้อ…เจ้าไม่ผิดเลยสักข้อ…ข้าจะได้คะแนนดีกว่าเจ้าได้อย่างไร”
วิชาคำนวณนับคะแนนง่ายที่สุด ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ไม่เหมือนการสอบเขียนบทความที่ขึ้นอยู่กับผู้ตรวจข้อสอบ
อีกอย่าง ถึงแม้จะเป็นการสอบเขียนบทความ หนิงจื้อหย่วนก็สู้เซียวลิ่วหลังไม่ได้แน่นอน
ไม่ต้องบอกก็พอรู้ เซียวลิ่วหลังถูกคนจงใจกดคะแนน
การสอบภายในเช่นนี้ไม่เข้มงวดเหมือนการสอบขุนนาง บัณฑิตที่สอบขุนนางหากไม่พอใจในผลการสอบสามารถไปเปิดดูข้อสอบที่จวนหรือสนามสอบได้ หากดูแล้วยังไม่ยอมรับผลการสอบอีกก็สามารถไปตีกลองร้องทุกข์ได้
เหล่าขุนนางของฮั่นหลินสอบเสร็จก็คือจบ ไม่มีโอกาสยื่นขอตรวจสอบ