สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 300.2 แต่งงาน (2)
บทที่ 300 แต่งงาน (2)
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยขึ้นอีก “แม่ชีคิดว่า หลีอ๋องเป็นคนอย่างไร”
หลีอ๋องเป็นตัวละครตัวเอกในเรื่อง ตัวประกันผู้ป่วยออดแอดแต่กลับสร้างวีรกรรมให้ราชสำนักซย่าวุ่นวายได้
แม่ชีน้อยเบะปาก แล้วเปิดหนังสือที่หยิบมาจากชั้น “วางแผนกลยุทธ์ต่างๆ พอใช้ได้ แต่เรื่องความรักใช้ไม่ได้ ตาบอด”
จี้จิ่วอาวุโส “…!!”
แม่ชีน้อยถอนใจ “แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นซย่าเขาดันไม่ชอบ กลับไปชอบองค์หญิงหกอะไรนั่น ไม่เรียกว่าตาบอดเรียกว่าอะไร เขาทั้งใจเหี้ยมทั้งอ่อนแอ กับแม่ทัพฝูผู้เย็นชาและแข็งแกร่งต่างหากถึงจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดังสวรรค์สรรค์สร้าง! เขาไม่เห็นความรักที่แน่วแน่ของแม่ทัพฝูหรืออย่างไร”
จี้จิ่วอาวุโสมุมปากกระตุกทันใด
แม่ทัพฝูมีรักที่แน่วแน่แก่หลีอ๋องตั้งแต่เมื่อไรกัน ทำไมข้าไม่รู้
แม่ชีน้อยถอนใจต่อ “ฮองเฮาแห่งแคว้นซย่าก็เช่นกัน นางก็ตาบอด ฮั่วเฟยดีกับนางเพียงนั้น เหตุใดนางถึงได้ไปชอบเจ้าแคว้นซย่าได้เล่า ลงเอยกับฮั่วเฟยไม่ดีหรือ ฮั่วเฟยเย้าแหย่นางตั้งหลายครั้ง…”
จี้จิ่วอาวุโส “…”
ไม่ ฮั่วเฟยก็ไม่เคยเย้านาง!
ฮั่วเฟยกับฮองเฮาเป็นความสัมพันธ์แบบนายบ่าวธรรมดานะ!
เอ่อ แม่นาง!
ไม่สิ แม่ชี!
เจ้าอ่านหนังสืออย่างไรกัน!
เจ้าเห็นอะไรในนั้นหรือ!
ฮั่วเฟยกับฮองเฮาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันนะ พวกนางถึงขั้นแทงมีดไปกลางอกอีกฝ่ายแล้วนะ!
…เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือพวกนางเป็นหญิงทั้งคู่นะ!
แม่ทัพฝูกับหลีอ๋องก็เป็นชายทั้งคู่นะ!
เจ้า เจ้า เจ้า…เป็นเด็กเป็นเล็กเจ้ามีรสนิยมเช่นนี้จะดีหรือ
จี้จิ่วอาวุโสเหมือนถูกลูกธนูหมื่นดอกทิ่มแทงกลางอก รู้สึกว่าไม่กล้าเผชิญหน้ากับหนังสือเล่มนี้อีกแล้ว…
ไม่นาน ก็เข้าสู่เดือนหก เมืองหลวงเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัว
ฤดูหนาวปีแล้วเมืองหลวงหนาวเหน็บยิ่งนัก ปีนี้กลับร้อนจนเกินทน
เนื่องจากมีบุตรสาวขุนนางร้อนจนเป็นลมในชั้นเรียน สำนักบัณฑิตสตรีจึงหยุดเรียนให้หลายวัน
ข่าวเรื่องที่ว่าแม่ชีตระกูลหยวนกลับเมืองหลวงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองในไม่ช้า แต่ข่าวที่ใหญ่กว่านั้นคือแม่ชีน้อยกับอันจวิ้นอ๋องจะแต่งงานกัน ได้ยินว่าราชครูจวงประสงค์จะดองกับตระกูลหยวน และให้คนไปเอาใบบันทึกวันเกิดถึงที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อนำใบบันทึกวันเกิดทั้งสองมาจับคู่กันแล้ว หากดวงของทั้งสองไม่ชงกัน ก็จะถกเรื่องแต่งงานกันเลย
เด็กสาวที่จะแต่งงานในปีนี้ไม่ได้มีแต่แม่ชีน้อยเพียงคนเดียว อย่างจวงเย่ว์ซี ตู้เสี่ยวอวิ๋น กู้จิ่นอวี๋ก็ถึงอายุที่ต้องคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว ครอบครัวต่างก็จัดการจัดเตรียมให้อย่างเพรียบพร้อม
กู้จิ่นอวี๋สิ้นสุดชีวิตในโรงรับเลี้ยงเด็กกำพร้า กลับมาอาศัยอยู่ในจวนโหว รอให้กู้เหล่าฮูหยินและซูเฟยจัดการเรื่องแต่งงานให้นาง
เห็นนางตากแดดจนผิวคล้ำ สภาพเหมือนถูกเผาไหม้ คิ้วอันขาวโพลนของกู้เหล่าฮูหยินก็ขมวดกันแน่นทันใด “เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้ ไหนบอกว่าไปอาศัยในหมู่บ้านไม่กี่วันมิใช่หรือ เจ้าไปทำอะไรมา สภาพเช่นนี้ จะให้ข้าพาเจ้าออกไปพบผู้คนได้อย่างไร”
กู้จิ่นอวี๋ไม่ได้พูดอะไร
และไม่ได้ไปออดอ้อนกู้เหล่าฮูหยินเหมือนแต่ก่อน
กู้เหล่าฮูหยินโมโหยิ่งนัก นางเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ช่วงนี้ไม่ต้องออกไปไหน อยู่ในห้องทำตัวเองให้ขาวเสีย!”
กู้จิ่นอวี๋เอ่ยเสียงเบา “ข้าอยากไปเยี่ยมท่านแม่”
หากไม่พูดถึงเรื่องนี้ยังพอว่า แค่พูดถึงกู้เหล่าฮูหยินก็โมโหเป็นฟืนไฟ
แม่นางเหยาคนสมควรตายนั่น หลอกใช้ตนจัดการอนุหลิงเสร็จก็ย้ายออกจากจวนไปทันที!
คนอื่นถามถึงนาง นางได้แต่ตอบไปว่านางพากู้เหยี่ยนย้ายกลับไปแล้ว
หญิงสาวและฮูหยินในเมืองหลวงต่างก็นึกว่าแม่นางเหยาพากู้เหยี่ยนไปรักษาตัวที่หมู่บ้าน ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้
กู้เหยี่ยนร่างกายอ่อนแอ พวกนางต่างก็รู้กัน
เมื่อกู้จิ่นอวี๋บอกว่าจะไปเยี่ยมแม่นางเหยา กู้เหล่าฮูหยินย่อมไม่อนุญาตอยู่แล้ว “เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น! หากยังถือว่าตนเป็นบุตรสาวจวนโหว ก็อยู่ในจวนโหวห้ามไปไหนเด็ดขาด!”
“เจ้าค่ะ” กู้จิ่นอวี๋ตอบรับอย่างนอบน้อม
แต่นางรับปากแค่คำพูด แล้วก็แอบหนีออกจากจวนหลังจากนั้นไม่นาน!
“ท่านแม่!”
นางมายังตรอกปี้สุ่ย ลงจากรถม้าก็รีบดิ่งตรงเข้าเรือนอย่างไม่รีรอ
แม่นางเหยากำลังนั่งถักเชือกอยู่ที่โถงทางเดิน
เวลานี้ เด็กๆ ในบ้านต่างออกไปทำงานเรียนหนังสือกันยังไม่กลับ กู้เหยี่ยนก็ออกไปเรียนหนังสือเช่นกัน
มีเพียงนางและแม่นมฝางที่ว่างอยู่บ้าน
หากจะว่าว่าง แท้จริงก็ไม่ได้ว่าง ช่วงเช้าท่านป้าหลิวมาเรียกให้ไปช่วยปักชุดเจ้าสาวให้ลูกสาวนาง ตอนบ่ายสาวใช้ตระกูลว่านมาขอเรียนวิชาเย็บปักและการทำอาหาร
สาวใช้ตระกูลว่านเพิ่งตื่นนอน
ชีวิตนางมีอะไรให้ทำเต็มไปหมด
เด็กน้อยในท้องก็โตขึ้นเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวในครรภ์แล้ว
เพียงแต่นางก็คิดถึงกู้จิ่นอวี๋อยู่เป็นครั้งคราว
แต่ได้ยินว่านางไปเที่ยวพักผ่อนที่หมู่บ้านนอกเมือง นางก็ไม่สะดวกจะเรียกกู้จิ่นอวี๋มาหา
เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย นางชะงักไปทันใด
นางกำลังจะหันหน้าไป กู้จิ่นอวี๋ก็เดินมาหาแล้ว และกำลังจะกระโจนเข้ากอดนางเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นท้องของนางที่ป่องขึ้นมา
เมื่ออากาศร้อน สวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น ก็เห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น
แม่นางเหยาตัวผอมนัก ทำให้ครรภ์ห้าเดือนนั้นป่องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กู้จิ่นอวี๋จ้องตาเขม็ง “ท่านแม่…ท่าน…ท่าน…”
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” แม่นางเหยายิ้มอย่างปลื้มปริ่ม นางดึงมือนางมาแล้วพยักหน้า “อืม แม่ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว”
“ก็หมายความว่า ท่านตั้งครรภ์ตั้งแต่ตอนที่อนุหลิงยังอยู่ในจวนแล้ว…” กู้จิ่นอวี๋พูดได้ไม่ทันจบประโยค ก็นึกขึ้นได้ว่าตนพูดถึงคนที่ไม่ควรพูดถึง จึงเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ข้าขอโทษ ท่านแม่ ข้าไม่ควรพูดถึงคนคนนั้น”
อนุหลิงทำร้ายแม่นางเหยามาสิบกว่าปี แน่นอนว่าแม่นางเหยาย่อมไม่อยากพูดถึงนางอีก
แม่นางเหยาข้ามเรื่องนี้ไป ตบเก้าอี้เบาๆ พร้อมเอ่ย “นั่งลงสิ ให้แม่มองหน้าเจ้าดีๆ หน่อย”
กู้จิ่นอวี๋นั่งลงตามที่นางพูด
แม่นางเหยายกมือขึ้นลูบปอยผมข้างจอนของนาง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความสงสารและตกใจ “ตากแดดจนดำไปหมด มือก็หยาบ หลายเดือนมานี้เจ้าใช้ชีวิตในหมู่บ้านด้วยความลำบากหรือ”
หมู่บ้านของจวนติ้งอันโหวมีมากมายนัก นอกเมืองหลวงก็มีอยู่ไม่น้อย แม่นางเหยาก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปหมู่บ้านใดมา
กู้จิ่นอวี๋มองลง เงียบไปอยู่นาน แล้วน้ำตาก็หยดใส่หลังมือของแม่นางเหยา
แม่นางเหยาร้อนรนทันใด “จิ่นอวี๋ เจ้าเป็นอะไรไป”
กู้จิ่นอวี๋ไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด แต่กลับลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าแม่นางเหยาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ท่านแม่ จิ่นอวี๋ผิดไปแล้ว…”
แม่นางเหยาถูกนางทำเอาสับสนไปหมดและเริ่มร้อนรนตาม “เจ้าลุกขึ้นมาพูด เจ้าเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าอย่าทำแม่ตกใจเช่นนี้…”
กู้จิ่นอวี๋ส่ายหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า กำมือแม่นางเหยาที่กำลังจะพยุงตัวนางลุกขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านแม่…ข้า…ข้าขอโทษท่านแม่…ข้า…”
แม่นางเหยากระวนกระวายยิ่งนัก “”เจ้า…เจ้าเป็นอะไรกันแน่
“ข้า…”
“คุณหนูรองก็ทำเข้า ก็แค่ไม่ได้มาเยี่ยมฮูหยินพักใหญ่เท่านั้น ฮูหยินเป็นท่านแม่ของท่าน จะถือสาเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
แม่นมฝางเดินออกมาจากห้องครัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในมือถือถั่วลิสงที่เพิ่งทอดเสร็จ นางเอ่ยกับแม่นางเหยา “เมื่อครู่ฮูหยินบอกว่าอยากกินสิ่งนี้มิใช่หรือ ข้าทำเสร็จแล้ว”
คนตั้งครรภ์มักจะต้านทานอาหารไม่ไหวและถูกดึงดูดความสนใจไปในทันใด นางเอ่ยกับกู้จิ่นอวี๋ “เจ้าลองชิมดู!”
แม่นมฝางวางถั่วลิสงไว้บนเก้าอี้ แล้วพยุงกู้จิ่นอวี๋ลุกขึ้นมา “พื้นเย็นนัก ความกตัญญูของคุณหนูรอง ฮูหยินย่อมรับรู้ได้ ไม่ต้องโทษตนเองหรอก คุณหนูรองอยู่ที่หมู่บ้านสบายดีหรือไม่ ข้าว่าคุณหนูรองสูงขึ้น ตัวก็ไม่ผอมเหมือนแต่ก่อน สีหน้าก็ไม่ซีดเซียวแล้วด้วย”
ความผอมแห้งของกู้จิ่นอวี๋มาจากการเลี้ยงดูของซูเฟยทั้งนั้น ไม่กินของหวาน ไม่กินของมัน ผอมจนลมพัดปลิวได้ แต่ทุกวันนี้แม้จะดูคล้ำไปหน่อย ผิวหยาบกร้านไปนิด แต่ก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้น
แม่นางเหยามองดูนาง ก็เห็นด้วยเช่นกัน
กู้จิ่นอวี๋ถูกแม่นมฝางขัดจังหวะเช่นนี้ ก็ไม่กล้ายอมรับผิดกับแม่นางเหยาต่อ แล้วพูดตามน้ำแม่นมฝางไปว่า “ข้าคิดถึงท่านแม่มาก ไม่ได้มาเยี่ยมท่านแม่เสียนาน แม้แต่ท่านแม่ตั้งครรภ์ข้ายังไม่รู้เลย ข้าช่างอกตัญญูยิ่งนัก”
แม่นางเหยาโล่งใจ “ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ทำข้าตกใจหมด ข้านึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก แต่ว่า เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงไปที่หมู่บ้านได้เล่า อยู่ในจวนโหวมีเรื่องทุกข์ใจหรือ”
“ไม่ใช่” กู้จิ่นอวี๋มองลง “แถวนั้นใกล้กับที่พักท่านพ่อ ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ”
“เช่นนี้นี่เอง” สองพ่อลูกรักกันมากอยู่แล้ว แม่นางเหยาจึงไม่สงสัยอะไรอีก
สองแม่ลูกพูดคุยกันอีกสักพัก แม่นมฝางก็อยู่เคียงข้างตลอด
ภายหลังแม่นางเหยาเหนื่อยเพลียจึงขอไปนอนพักกลางวัน แม่นมฝางจึงได้พากู้จิ่นอวี๋ไปยังเรือนหน้า และพูดกับนางว่า “คุณหนูรอง ไม่ว่าเมื่อครู่ท่านอยากพูดอะไรกับฮูหยิน ข้าหวังว่าท่านจะไม่พูดถึงมันอีก”
กู้จิ่นอวี๋ชะงักไป “แม่นมฝาง…”
แม่นมฝางเอ่ย “ฮูหยินมีอาการซึมเศร้ารุนแรง กว่าจะดีขึ้นเพราะคุณหนูใหญ่รักษาให้ บ่าวไม่อยากให้ฮูหยินอาการกำเริบอีก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฮูหยินตั้งครรภ์อยู่ ยิ่งรับไม่ได้กับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ”
“ข้าคิดไม่รอบคอบเอง…” กู้จิ่นอวี๋ก้มหน้าด้วยความเศร้า “เดิมทีข้าอยากมาสารภาพกับท่านแม่ ว่าข้าทำเรื่องที่ผิดต่อท่านพี่ ข้าแย่งผลงานของท่านพี่ไป ทำให้ท่านพี่ถูกทำร้าย ข้าไม่อยากปิดบังท่านแม่อีกแล้ว”
แม่นมฝางย่อมรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้อยู่แล้ว แต่นางไม่คิดว่ากู้จิ่นอวี๋จะกล้าหากพอที่จะยอมรับผิด