สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 302 เจียวเจียวทำร้ายคน (1)
บทที่ 302 เจียวเจียวทำร้ายคน (1)
ตัวเองเป็นอะไรไปนะ
แม้เมื่อก่อนจะเคยมีช่วงเวลาที่รุ่มร้อนเช่นนี้อยู่บ้าง แต่ไม่ช้าก็ข่มอารมณ์ไว้ได้ แต่ครั้งนี้กลับ…
ความรู้สึกที่เหนือการควบคุมเช่นนี้ เซียวลิ่วหลังทำตัวไม่ถูกถึงขั้นร้อนรน
หรือว่าเขาอ่านตำราของปราชญ์ต่างๆ แต่สุดท้ายกับกลายเป็นเดรัจฉานอย่างนั้นหรือ
เขาส่ายหน้า บังคับตนเองให้สลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกจากหัว
แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นดั่งใจ
เหมือนว่ายิ่งฝืนตนเองเท่าไร หน้าอกของเขาก็ยิ่งร้อนรุ่มเหมือนดังหินหนืดในภูเขาไฟที่ปะทุขึ้นมาไม่หยุด
สุดท้ายเขาจนปัญญา จึงต้องลุกไปตักน้ำเย็นจากบ่อโบราณที่เรือนหลังมาอาบอย่างจริงจัง
ทางด้านกู้เจียว นางไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ยั่วยวนเขาเป็นเรื่องจริง ยั่วเสร็จแล้วนอนหลับไปทันทีก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ใครบางคนหัวถึงหมอนก็หลับกรนครอกไปในทันที
เพียงแต่การนอนหลับครั้งนี้ของนาง ไม่ได้นอนอย่างสงบแล้ว
นางฝันอีกแล้ว
นางฝันเห็นเซียวลิ่วหลังตอนอยู่ในสำนักฮั่นหลิน
เซียวลิ่วหลังเป็นคนฐานะยากจน แล้วยังสอบได้จอหงวนชนะอันจวิ้นอ๋องอีก จึงมีคนอิจฉาริษยาอยู่ไม่น้อย
นอกจากนั้น สำนักฮั่นหลินยังเป็นถิ่นของราชครูจวง สภาพความเป็นไปในนั้นของเขานั้นแม้ไม่บอกก็รู้ได้
ทว่าทองแท้ย่อมส่องแสงประกาย ไม่ว่าเพื่อนขุนนางของเซียวลิ่วหลังจะกดขี่ข่มเหงเซียวลิ่วหลังอย่างไร ความฉลาดและความสามารถของเซียวลิ่วหลังยังคงได้มีโอกาสแสดงออกมาให้ทุกคนเห็นอยู่ดี
แต่ไม่ใช่ในสำนักฮั่นหลิน แต่เป็นในกรมอาญา
ที่แท้เป็นเพราะกรมอาญาเกิดคดีฆาตรกรรมขึ้น ผู้ร้ายถูกขุนนางในสำนักฮั่นหลินที่เดินผ่านมาแถวนั้นจับตัวไว้ได้ แล้วส่งให้กรมอาญา แต่ไม่นาน คนในครอบครัวของผู้ร้ายก็มาถึงสำนักฮั่นหลิน บอกว่าสำนักฮั่นหลินจับผิดคน พ่อของเขาไม่ใช่ผู้ร้าย
เขาเป็นเด็กน้อยอายุเก้าปีคนหนึ่ง
ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเด็ก มีเพียงเซียวลิ่วหลังที่ไปถึงกรมอาญา สุดท้ายเซียวลิ่วหลังพบว่าพ่อของเด็กคนนั้นไม่ใช่ผู้ร้ายจริงๆ
เซียวลิ่วหลังช่วยกรมอาญาในการหาตัวผู้ร้ายตัวจริง ได้รับความชื่นชอบและชื่นชมจากเสนาบดีกรมอาญา
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ เหมือนว่าเซียวลิ่วหลังจะมีเส้นทางขุนนางที่ราบรื่นดี ในที่สุดก็เฝ้ารอโอกาสจนได้เห็นแสงสว่างในชีวิต แต่ใครจะรู้ได้ว่า ระหว่างทางที่เซียวลิ่วหลังเดินกลับจากกรมอาญานั้น จู่ๆ ก็ถูกแม่ชีน้อยนางหนึ่งหล่นลงมาทับร่างจากตึกชั้นบน
เขาถูกทับจนสลบไปในทันที แม่ชีน้อยก็สลบไปเช่นกัน
กลางวันแสกๆ ชายหญิงนอนทับกันเช่นนั้น คนที่ไม่รู้เรื่องราวก็ต่างนึกว่าทั้งสองมีอะไรกัน
ในตอนนั้นเซียวลิ่วหลังสวมชุดขุนนางของสำนักฮั่นหลินอยู่ด้วย เรื่องก็เลยแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
เซียวลิ่วหลังชื่อเสียงเสียหายจนหมดสิ้น เส้นทางขุนนางก็จบลงโดยทันที
กู้เจียวตื่นขึ้นมา นั่งกอดผ้าห่มตรงหัวเตียงด้วยความปวดฟัน
สามีของตนดวงดาวพุธถอยหลังรุนแรงมากจริงๆ
ฉลาดก็จริง แต่ก็ดวงไม่ดีเอาเสียเลย
ถูกคนหล่นลงมาทับ โอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นนั้นพอๆ กับความเป็นไปได้ในการถูกรางวัลสลากกินแบ่งในชาติก่อน แล้วยังจะเกิดขึ้นได้อีกหรือ
หากจะเลี่ยงเหตุการณ์นี้ก็ไม่ยาก นางจำได้ว่าตอนที่เซียวลิ่วหลังกำลังจะออกมาจากกรมอาญา ถูกขุนนางสำนักฮั่นหลินที่แซ่หยางเรียกมาตำหนิ หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ทำให้เสียเวลา ที่จริงเซียวลิ่วหลังก็สามารถเลี่ยงจากภัยนั้นได้
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง กู้เจียวก็ตื่นแล้ว
เมื่อก่อนเซียวลิ่วหลังก็ตื่นเช้าเช่นกัน แต่ก็สายกว่ากู้เจียว วันนี้กลับไม่เหมือนทุกที
เขาตักน้ำอยู่ที่เรือนหลัง โดยตักน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำโบราณก่อนแล้วค่อยหามไปเทใส่โอ่งน้ำในห้องครัวทีละถัง
ดูจากที่เขาเหงื่อท่วมหน้าเช่นนั้น เดาได้ไม่ยากว่าทำมาได้สักพักแล้ว
“เหตุใดจึงตื่นเช้าเช่นนี้ล่ะ คงไม่ใช่เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนหรอกนะ” กู้เจียวถามอย่างสงสัย
กำลังวังชาล้นเหลือ ต้องหางานที่ใช้กำลังทำเสียหน่อย มิเช่นนั้นจิตใจจะร้อนรุ่มเป็นไฟ
แน่นอนว่าคำพูดนี้ เซียวลิ่วหลังไม่ได้พูดออกมา
เขาเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉย “นอนแล้ว ร้อน เลยตื่นเช้า”
ร้อนจริงๆ อย่างที่ว่า แถมคนโบราณยังสวมเสื้อผ้าหลายชิ้นเสียด้วย
กู้เจียวรู้สึกว่าเมืองหลวงร้อนกว่าแถวชนบท นางนอนหลับตื่นมาชุดนอนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางตักน้ำกลับไปอาบน้ำที่ห้อง
เซียวลิ่วหลังได้ยินเสียงน้ำแล้วเลือดลมพุ่งพล่านเต็มอก เขารู้สึกว่าที่ตนทำไปเมื่อเช้านั้นเสียแรงเปล่า
วันนี้เสี่ยวจิ้งคงไปต้องเข้าเรียน เขาฝึกวรยุทธ์อยู่ที่เรือนหลังสักพัก แล้วไปเล่นกับจ้าวเสี่ยวเป่าที่อยู่ข้างบ้านหลังกินข้าวเช้า
กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นก็หยุดงาน เขาทั้งสองกำลังนอนหลับอยู่ในห้อง
กู้เจียวไม่ได้เล่าสิ่งที่เห็นในฝันให้เซียวลิ่วหลังฟัง นางไปทำงานที่โรงหมอตามปกติ
ส่วนเซียวลิ่วหลังก็ไปสำนักฮั่นหลิน
เมื่อเขาเข้าประตูหลักไป ก็เห็นว่ามีขุนนางสำนักฮั่นหลินจำนวนไม่น้อยยืนอยู่ตรงที่ว่างหน้าตำหนัก ถกเถียงกันอย่างคึกคัก ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร
เขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับความคึกคักมาแต่ไร ไม่ได้อยากจะเข้าไปร่วมวงกับพวกเขา และเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของเขาอย่างไม่สนใจ
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นหนิงจื้อหย่วนแอบกวักมือเรียกเขาจากทางเลี้ยวโถงทางเดิน
เขาคิดอยู่สักครู่ สุดท้ายก็เดินไปหาเขา
หนิงจื้อหย่วนลากเขาไปยังอีกด้านหนึ่งของโถงทางเดิน แล้วซุบซิบเสียงเบา “เจ้าได้ยินข่าวหรือยัง เช้านี้อันจวิ้นอ๋องทำผลงานใหญ่เชียวนะ!”
“อืม” เซียวลิ่วหลังขานรับอย่างขอไปที ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ
“ซี้ด…” หนิงจื้อหย่วนสูดปาก “อย่างไรเสียก็เป็นคู่แข่งเจ้านะ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเขาทำผลงานอะไรไว้ เจ้าสอบได้จอหงวน เขาสอบได้ปั่งเหยี่ยน ตามหลักแล้วเจ้าต้องไต่เต้าไวกว่าเขา หากเขาไวกว่าเจ้า…ก็ได้ ไวกว่าเจ้าก็เป็นเรื่องปกติ ใครใช้ให้พ่อเจ้าสู้พ่อเขาไม่ได้กันเล่า”
นี่คือความจริงทั้งสิ้น บัณฑิตยากจนแม้ดิ้นรนพยายามสักแปดปีสิบปี ก็อาจจะยังไปไม่ถึงจุดเริ่มต้นของคนอื่นก็เป็นได้
บางคนเกิดมาก็อยู่ที่เส้นชัยของพวกเขาแล้ว
แต่หนิงจื้อหย่วนก็อยากพูดอยู่ดี “เกิดคดีฆาตรกรรมที่ถนนเป่ยฟัง เพิ่งแจ้งทางการตอนดึก ตอนเช้าก็จับตัวผู้ร้ายได้แล้ว”
“อันจวิ้นอ๋องจับได้หรือ” เซียวลิ่วหลังถาม
หนิงจื้อหย่วนตอบ “ใช่ เขามาเข้าเวร แล้วได้พบกับน้าชายของเขาที่เป็นรองเสนาบดีกรมอาญาตอนเดินผ่านกรมอาญา รองเสนาบดีกรมอาญาเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขานำกำลังคนตามรอยเลือด ณ ที่เกิดเหตุไป ไม่ช้าก็สามารถจับตัวผู้ร้ายได้! ตอนนี้เขายังติดธุระที่กรมอาญามาไม่ได้ ฝากคนมาลากับสำนักฮั่นหลิน และแจ้งว่าจะเข้ามาตอนบ่าย เจ้าว่าเหตุใดเขาจึงได้เก่งกาจเช่นนี้”
ฐานะดีไม่พอ แล้วยังจะเก่งกว่าคนทั่วไปอีก อีกทั้งเป็นคนขยัน แล้วคนธรรมดาทั่วไปจะอยู่อย่างไรเล่า!
เรื่องของอันจวิ้นอ๋องไขคดีแพร่สะพัดไปทั่วสำนักฮั่นหลิน เวลานี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น
“พวกเจ้าจับผิดคน! พ่อข้าไม่ใช่ฆาตรกร! ไม่ใช่เขา!”
เป็นเสียงของเด็กน้อยคนหนึ่ง
เซียวลิ่วหลังมองไปตามเสียง
หนิงจื้อหย่วนเอ่ย “ไป ไปดูกัน!”
เขานึกว่าเซียวลิ่วหลังจะปฏิเสธ เพราะเขาไม่ใช่คนชอบความคึกคัก
คาดไม่ถึงว่า เซียวลิ่วหลังจะเดินตามมาจริงๆ
ด้านนอกโหวกเหวกวุ่นวายไปหมด
เด็กสวมชุดผ้าธรรมดาคนหนึ่ง ท่าทางอายุไม่ถึงสิบปี รูปร่างผอมแห้ง เสื้อผ้าหลุดรุ่ย น่าจะเป็นเพราะวิ่งมาตลอดทาง เหงื่อเปียกชุ่มหัว รองเท้าก็หายไปข้างหนึ่ง
เขาพยายามพุ่งเข้าไป แต่ก็ถูกข่งมู่คนของสำนักฮั่นหลินขวางเอาไว้
ตาของเขาแดงก่ำ แต่กลับฝืนตนเองไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “พวกเจ้าคนของสำนักฮั่นหลินจับผิดตัวแล้ว! พ่อข้าไม่ใช่ฆาตรกร! เขาไม่ได้ฆ่าคน!”
เด็กก็คือเด็ก ได้ยินว่าขุนนางสำนักฮั่นหลินช่วยไขคดี จึงนึกว่าพ่อของตนถูกจับตัวมาที่สำนักฮั่นหลิน
เขาร้องตะโกนเหมือนแทบจะขาดใจ ทว่าไม่มีใครในที่นั้นเชื่อเขาเลยสักคน
ข่งมู่เริ่มทนไม่ไหวแล้ว “พ่อเจ้าเป็นฆาตรกรหรือไม่ พวกข้าจะรู้ได้อย่างไร ถึงเจ้าอยากจะโวยวายก็ควรไปที่กรมอาญาสิ สำนักฮั่นหลินไม่ใช่ที่ไต่สวนคดีเสียหน่อย!”
“กรม…กรมอาญาอยู่ที่ไหน…กว่าจะหาสำนักฮั่นหลินเจอ…” ในที่สุด เด็กน้อยก็อดร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวังไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาเดินไม่ไหวแล้ว เท้าของเขาถูกเสียดสีจนเลือดออกแล้ว
ลูกของฆาตรกร
น้อยคนจะเห็นใจ
ขณะที่เขาร้องไห้จนแทบควบคุมตนเองไม่ได้แล้วนั้น เงาของคนท่าทางอาจองก็มาอยู่หน้าเขา “ข้าพาเจ้าไปกรมอาญาเอง”
เสียงร่ำไห้ของเขาหยุดชะงัก เขาเงยหน้าที่ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา และมองดูใบหน้าอันงดงามดังเทพบุตรด้วยความประหลาดใจ “จริง…จริงหรือ”
ทุกคนมองเซียวลิ่วหลังดังมองคนบื้อคนหนึ่ง
ช่วยลูกของฆาตรกร เขาบ้าไปแล้วหรือ
“ข้าลานะ” เซียวลิ่วหลังพูดกับข่งมู่
ข่งมู่น่าจะตกตะลึงกับการกระทำของเขาจนพูดอะไรไม่ออกเลย
เซียวลิ่วหลังจ้างรถม้าคันหนึ่ง แล้วพาเด็กน้อยไปยังกรมอาญา
เด็กคนนี้เล่าเท้าความได้ชัดเจนไม่น้อย จากคำบอกเล่าของเขา เซียวลิ่วหลังได้ทราบว่า เขาปวดท้องกลางดึก พ่อของเขาจึงออกไปเชิญหมอให้เขา สุดท้ายหายไปทั้งคืนไม่ได้กลับมา วันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าพ่อของเขาถูกหาว่าเป็นผู้ร้ายแล้วถูกจับไป
แม่ของเขาเป็นลมสลบไปทันที
เซียวลิ่วหลังถาม “ที่บ้านยังมีใครอีกหรือไม่”
เขาส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว ใต้เท้า พ่อข้าไม่ใช่ฆาตรกร! เขาไม่มีทางเป็นฆาตรกรจริงๆ! ท่านเชื่อข้าเถิด!”
เซียวลิ่วหลังเชื่อเพียงหลักฐานเท่านั้น
หากพ่อเขาเป็นฆาตรกรจริง เขาก็ต้องเข้าใจว่า ทางการไม่เคยใส่ร้ายใคร
หากพ่อเขาไม่ใช่ฆาตรกร เช่นนั้นทางการก็ต้องคืนความเป็นธรรมให้แก่พ่อของเขา