สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 303 ตอบโต้
บทที่ 303 ตอบโต้
เมื่อแม่ชีน้อยลืมตาขึ้นมาอีกคราก็นอนอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงหมอเสียแล้ว
นางชะงักไป นานทีเดียวจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตัวเองตกลงมาจากชั้นบน
นางอาจจะตกลงมาตายก็ได้
แม่ชีน้อยหลับตาลง
ไหนๆ ก็ตายไปแล้ว หลับๆ ไปให้มันจบๆ
“ไม่เอา!”
จู่ๆ ด้านนอกพลันมีเสียงเล็กแหลมแสนเย่อหยิ่งของหนุ่มน้อยคนหนึ่งดังขึ้น
จากนั้นก็เป็นเสียงทุ่มต่ำแสนดึงดูดก็ดังตามมา “เช่นนั้นก็ขี่ม้า อยากขี่ม้าหรือไม่”
เหตุใดถึงได้เสียงเพราะเพียงนี้ แถมยังน้ำเสียงพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจเสียเหลือเกิน
แม่ชีน้อยที่ดำดิ่งไหลหลงยากจะถอนเลิกผ้าห่มออกแล้วก้าวลงจากเตียงมาผลักหน้าต่างเปิด
นางเห็นบุรุษในชุดเกราะสีเข้ม รูปร่างกำยำ ผมดำขลับดุจน้ำหมึก คิ้วคมเข้มพาดเฉียงเรียวยาว ลักษณะใบหน้าลึกและเคร่งขรึม ท่าทางเย็นชา ทว่าแววตาที่มองไปยังอีกฝ่ายกลับอบอุ่นและรักใคร่อย่างหาใดจะเทียมได้
นี่มันแม่ทัพฝูในนิยายชัดๆ
นางมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงข้าม ‘แม่ทัพฝู’ ซึ่งอยู่ในชุดคลุมยาวสีครามหม่น รูปร่างผ่ายผอม ใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนป่วย ใบหน้างดงาม รูปงามอรชรดุจหยก
ที่สำคัญก็คือนิสัยแย่เป็นที่สุด! และใจดำมากด้วย!
หลีอ๋องอวิ๋นถิง…พวกทุ่มเทในความรัก
นางบอกแล้วว่าพวกเขาสองคนเหมาะสมกันมาก!
ภาพตรงหน้ามันช่างงดงามยิ่งนัก!
แม่ชีน้อยมองทั้งสองใต้ต้นไม้พร้อมกับสูดน้ำลายซูดใหญ่
‘แอ๊ด’
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา
หมอซ่งถือยาต้มชามหนึ่งเดินมาหา “เอ๋ แม่นาง เจ้าฟื้นแล้วรึ”
“ชู่ว อย่าเสียงดังสิ” แม่ชีน้อยจดจ้องทั้งคู่ในลานนิ่ง
หมอซ่งเดินไปหาอย่างแปลกใจ ก่อนจะมองตามสายตานางไป แล้วยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็ท่านชายตระกูลกู้ทั้งสองนี่เอง แม่นางอยากจะไปขอบคุณท่านชายกู้รึ”
“หืม” แม่ชีน้อยขมวดคิ้วมองเขา
หมอซ่งคิดว่านางได้ยินไม่ชัด จึงเอ่ยทวนด้วยสีหน้าใจดีอีกครั้ง “แม่นางอยากจะไปขอบคุณคุณชายกู้หรือ”
“ประโยคหน้าล่ะ” แม่ชีน้อยเอ่ย
“เอ่อ…” หมอซ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยต่ออย่างไม่ค่อยแน่ใจ “ที่แท้ก็คุณชายสกุลกู้ทั้งสองนี่เอง”
“พวกเขาเป็นพี่น้องกันรึ”
“ใช่น่ะสิ”
“แท้ๆ เลยรึ”
“ใช่น่ะสิ”
“อ๋อ” แม่ชีน้อยหูลู่ก้มหน้าลง
หมอซ่งสีหน้าฉงน
จู่ๆ นางก็ผิดหวังขึ้นมา เกิดอะไรขึ้นกัน
หมอซ่งจับชีพจรให้แม่ชีน้อย ก่อนจะให้นางกินยา
แม่ชีน้อยถามหมอซ่งจึงได้รู้ว่าตัวเองถูกซื่อจื่อแห่งจวนติ้งอันโหวอย่างกู้ฉังชิงช่วยเอาไว้
กู้ฉังชิงเคยพบหน้ากันกับแม่ชีน้อยมาแล้วหนหนึ่ง เพียงแต่ว่าครานั้นแม่ชีน้อยไม่ได้พินิจมองเขาอย่างละเอียด
“พี่สาว! พี่สาว!”
หมอซ่งออกไปได้เพียงไม่นาน หยวนถงก็วิ่งมาหาด้วยความรีบร้อน
“พี่สาวไม่เป็นอะไรกระมัง! ข้าไปซื้อขนมกุ้ยฮวากล่องหนึ่ง พี่ก็หายไปแล้ว ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว! โชคดีที่มีคนมาส่งข่าวบอกว่าพี่มาโรงหมอข้างๆ สำนึกบัณฑิตสตรี!”
กู้ฉังชิงเป็นคนให้คนมาส่งข่าวให้
และกู้ฉังชิงช่วยนางมาแล้วจึงได้เห็นชัดๆ ว่านางเป็นใคร
หากมิใช่เพราะว่าคราวก่อนกู้ฉังชิงพินิจมองใบหน้าของนางอย่างละเอียดละก็ แม่ชีน้อยอย่างนางเช่นนี้เกรงว่าทั่วทั้งเมืองหลวงคงหาคนที่สองมาไม่ได้แล้ว
แม่ชีน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง “ข้าไม่เป็นไร แค่ล้มเท่านั้น ตกลงมาจากชั้นบนน่ะ”
“อยู่ดีๆ พี่จะตกลงจากชั้นบนได้อย่างไร” หยวนถงเดินวนดูแม่ชีน้อยจนทั่ว ก่อนจะบีบแก้มนาง จับแขนจับขานางดู เพื่อให้มั่นใจว่านางไม่เป็นอะไรจริงๆ
แม่ชีน้อยเอ่ย “ในห้องอุดอู้นัก ข้าอยากเปิดหน้าต่างระบายอากาศ แต่จู่ๆ เท้าก็ลื่น จึงตกลงมาจากหน้าต่างน่ะ”
หยวนถงเอ่ยอย่างโมโห “ต้องเป็นเพราะพวกเขาไม่ถูพื้นให้สะอาดแน่ๆ ทำให้พี่สาวลื่น! กลับไปข้าจะไปเอาเรื่องโรงน้ำชานั่น”
แม่ชีน้อยส่ายหน้า “ช่างมันเถอะ ข้าไม่ระวังเอง”
หยวนถงยังอยากจะถามพี่สาวว่าใครพานางมาส่งโรงหมอ ทว่าจู่ๆ ก็ถูกเสียงน่ารำคาญเอ่ยขัดขึ้น
“หยวนถง!”
หยวนถงกำมือแน่นทันที ก่อนจะมองไปนอกหน้าต่างอย่างเย็นชา
กู้เฉิงเฟิงยืนเสียงดังนอกหน้าต่าง พร้อมกับค่อยๆ ยกมือขึ้นกอดอก “โอ๊ะ เจ้าอีกแล้ว!”
หยวนถงกัดฟัน “ผึ้งยักษ์!”
กู้เฉิงเฟิงถามขึ้น “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หยวนถงแค่นเสียงเอ่ย “เจ้าจะสนใจว่าข้ามาที่นี่ไปทำไม”
กู้เฉิงเฟิง “เจ้าป่วยรึ”
หยวนถง “เจ้ามียารึ!”
“ชิ!” กู้เฉิงเฟิงกลอกตาใส่อย่างรังเกียจ “อุตส่าห์ถามเจ้าว่าป่วยเป็นอะไรหรือไม่ จะได้แนะนำหมอที่เชื่อถือได้ให้…”
“เฉิงเฟิง อย่าเสียมารยาท!” กู้ฉังชิงเดินมาเพราะเสียงทะเลาะกันของทั้งคู่
แม่ชีน้อยลุกขึ้นยืน ก่อนค่อยๆ คำนับแบบชาวเต๋าให้กู้ฉังชิง “ขอบคุณกู้จวีซื่อที่ช่วยเหลือ”
กู้เฉิงเฟิงมองหยวนถงอย่างลำพอง “เห็นหรือยัง พี่ใหญ่ของข้าช่วยพี่สาวเจ้าไว้!”
คำพูดมากมายของหยวนถงติดอยู่ที่ลำคอ เขาถลึงตามองกู้เฉิงเฟิงอย่างโมโห “ไอ้อ่อน!”
แม่ชีน้อยไม่ได้เป็นอะไรมาก นางพักอยู่สักครู่ก็จ่ายค่ารักษาออกจากโรงหมอไปกับน้องสาว
กู้เหยี่ยนไม่พูดคุยกับพี่น้องตระกูลกู้ เขากลับไปที่เรือนกู้เจียว
กู้เฉิงเฟิงเดินไปทางเรือนกู้เจียวอย่างเคยชิน ทว่าถูกกู้เหยี่ยนขวางไว้หน้าประตูเสียก่อน “นี่เป็นเรือนของพี่สาวข้า”
กู้เฉิงเฟิงแค่นเสียงเอ่ย “มีพี่สาวแล้วมันใหญ่มากรึ”
กู้เหยี่ยนเอ่ย “ใหญ่สิ! มีปัญญาเจ้าก็ไปมีพี่สาวสักคนสิ!”
เขาไม่มีพี่สาว ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีทางมีพี่สาวได้ อย่างมากก็มี…
ช่างเถอะ เด็กสาวนางนั้นไม่ใช่คุณหนูตระกูลกู้เสียหน่อย
ภายในห้องปีกข้างอีกฝั่งหนึ่ง กู้ฉังชิงพูดถึงข่าวที่สืบมาได้ในหมู่นี้กับกู้เจียว “นักฆ่าที่ไปลอบทำร้ายข้าในค่ายทหารในคืนนั้นน่าจะยังอยู่ที่เมืองหลวง ถังหมิงก็กำลังตรวจสอบร่องรอยของกลุ่มอำนาจนั้นอยู่เช่นกัน”
ถังหมิงกับกู้ฉังชิงมีศัตรูคนเดียวกัน จึงทิ้งจุดยืนของตัวเองเอาไว้ชั่วคราวกันก่อน แล้วร่วมมือกันตรวจสอบโฉมหน้าที่แท้จริงของกลุ่มอำนาจนั้น ผลสุดท้ายพวกเขาก็ตรวจสอบเจอร่องรอยขึ้นมาบ้างแล้ว
“หอเซียนเล่อ” กู้ฉังชิงเอ่ย “คนผู้นั้นเกี่ยวข้องกับหอเซียนเล่อ”
“หอเซียนเล่อคืออะไรรึ”
กู้ฉังชิงลังเลอยู่คู่หนึ่ง สุดท้ายก็บอก “หอนางโลมน่ะ”
“อ๋อ” กู้เจียวสงบนิ่งมาก ไร้ซึ่งปฏิกิริยาเขินอายของสตรีธรรมดาทั่วไปหลังจากที่ได้ยินคำว่าหอนางโลม
“หากจะตรวจสอบอย่างโจ่งแจ้งคงไม่ได้ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเกินไป หากแอบสืบ…” แม้ว่ากู้ฉังชิงจะไม่ไปเหยียบสถานที่พรรค์นั้น แต่หากต้องทำเพื่อคดีก็ไม่มีเวลามาเรื่องมากอะไรมากมาย
กู้เจียวเข้าใจ นางถามต่อว่า “แอบสืบมันเข้ายากหรือ”
กู้ฉังชิง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังหอเซียนเล่อคือใคร”
กู้เจียว “ใครรึ”
กู้ฉังชิง “ไทเฮา”
กู้เจียวขมวดคิ้ว “ท่านย่าน่ะรึ”
กู้ฉังชิงพยักหน้า
กู้เจียวส่ายหน้า “ท่านย่าไม่มีทางทำร้ายตระกูลถัง และไม่มีทางลอบฆ่าถังหมิงด้วย ยิ่งไม่มีทางยุแยงจวนติ้งอันโหวให้ผิดใจกันกับจวนจอมพลหยวนไซว่ในเวลานี้หรอก”
กู้ฉังชิงไตร่ตรองพลางเอ่ยว่า “นี่แหละปัญหา เดิมทีจวนติ้งอันโหวกับจวนจอมพลหยวนก็ยืนอยู่คนละฝั่งทัพกันอยู่แล้ว ไม่ต้องยุแยงตะแครงรั่วเลยด้วยซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นรู้สึกว่าจำเป็นต้องยุแยง เจียวเจียว…”
กู้ฉังชิงมองกู้เจียว
กู้เจียวก็มองเขาเช่นกัน “หืม”
กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม้ว่าเรื่องที่เจ้าประดิษฐ์เครื่องสูบลมกับปูนข้าวเหนียวจะไม่ได้ป่าวประกาศสู่ภายนอก แต่ก็ยังมีคนรู้ว่าเป็นเจ้าอยู่ดี เจ้าได้รับคำชื่นชมจากฝ่าบาท ซ้ำเจ้ายังได้รับการคุ้มครองจากไทเฮาอีก…”
กู้เจียวคุร่นคิด “ดังนั้นคนผู้นั้นจึงคิดว่าพวกเขาสองคนจะยุติข้อโต้แย้งกันเพราะข้าอย่างนั้นรึ”
ความคิดนี้มันช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
กู้เจียวไม่ต้องไปสืบความก็รู้ว่าท่านย่ากับฮ่องเต้ขัดขากันในวังกันมาเป็นร้อยๆ ครั้งแล้ว
แม้ว่ากู้ฉังชิงจะรู้ว่าน้องสาวได้รับความสำคัญจากทั้งสองอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะปล่อยวางความแค้นที่มีมานานหลายปีลงได้ในยามนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ… “ไม่มีประชาชนคนไหนรู้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับฝ่าบาทและไทเฮาเลย ต่อให้เป็นคนในวังเองก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้”
กู้เจียวเอ่ย “แต่คนคนนั้นกลับรู้”
กู้ฉังชิงเอ่ย “ถูกต้อง”
กู้เจียวหยิบแผ่นชาขึ้นมา “มีคนทรยศอยู่ข้างกายท่านย่า”
กู้ฉังชิงเอ่ยวิเคราะห์ “โรคเรื้อนที่ไทเฮาเป็นปีนั้นก็น่าจะฝีมือของคนผู้นี้เช่นกัน แม้ว่าฝ่าบาทจะเป็นคนทำ แต่ที่มันสำเร็จได้น่าจะเพราะคนผู้นี้ช่วยเหลือ ดังนั้นข้าจึงคิดว่ากลุ่มอำนาจเบื้องหลังของหอเซียนเล่อคงไม่ใช่ไทเฮา แต่เป็นคนที่ไทเฮายินดีจะปกป้อง”
แววตากู้เจียวเย็นเยียบ “และเป็นคนที่ทรยศไทเฮาด้วย”
…
เรื่องที่เซียวลิ่วหลังไขคดีให้กรมยุติธรรมลอยเข้าหูฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว
หมู่นี้ฮ่องเต้มัวแต่ยุ่งกับการรับมือจวงไทเฮา จึงลืมไปเสียสนิทว่าสำนักฮั่นหลินยังมีจอหงวนคนใหม่ที่ตัวเองเป็นคนเลือกเองกับมืออยู่
ทำงานอยู่ภายใต้เงื้อมมือของราชครูจวงก็คงโดนรังแกไม่น้อยกระมัง
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็รู้สึกผิดขึ้นมา เหตุใดตัวเองเลือกคนเอาไว้แล้วดันลืมไปได้นะ
โชคดีที่เด็กคนนั้นทนไม้ทนมือพอ ไม่โดนราชครูจวงทำเอาตายไปอย่างไร้ค่า
ฮ่องเต้กางแขนออกให้นางกำนัลช่วยสวมชุดให้ตัวเองสะดวก “เว่ยกงกง”
เว่ยกงกงเอ่ย “บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัส “วันนี้ถึงตาสำนักฮั่นหลินมาสอนไท่จื่อแล้วใช่หรือไม่”
เว่ยกงกงยิ้มเอ่ยตอบ “พ่ะย่ะค่ะ เชิญบัณฑิตหานมาเหมือนเดิมหรือไม่ ฝ่าบาทไปประชุมเช้าก่อน บ่าวจะให้คนไปเชิญให้”
ฮ่องเต้ตรัส “ไม่ ตามเซียวลิ่วหลังมา”
เว่ยกงกงตกใจ “ฝ่าบาท เซียวลิ่วหลังเป็นแค่ซิวจ้วน”
โดยปกติแล้วคนที่สอนหนังสือไท่จื่อจะเป็นขุนนางสูงสุดในสำนักฮั่นหลิน ต่อให้แย่กว่านี้ก็จะสอนบรรยายหรือไม่ก็อ่านถวาย มีที่ไหนที่ให้ซิวจ้วนคนใหม่มาแบบนี้
“เขานั่นแหละ” ฮ่องเต้ตัดสินใจแน่วแน่
เว่ยกงกงจึงจำต้องขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ!”