สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 307-2 ความจริงปรากฏ (2)
บทที่ 307 ความจริงปรากฏ (2)
ฮ่องเต้ตื่นขึ้นกลางดึก
พอฤทธิ์ยาชาคลายลง ความเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่
อวี้หยาร์ที่ยืนเฝ้าอยู่พอเห็นว่าฮ่องเต้ฟื้นขึ้นก็รีบไปตามกู้เจียวมาดู
กู้เจียวเอ่ยกับอวี้หยาร์ “เจ้าไปพักเถิด ไม่ต้องมาเฝ้าแล้ว”
“เจ้าค่ะ” จากนั้นอวี้หยาร์ก็เดินเข้าห้องตัวเองไป
กู้เจียวเปิดประตูเข้าไป
อวี้หยาร์ดูแลฮ่องเต้เป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้เหงื่อออก และไม่ได้ปล่อยให้ตัวเย็นจนเกินไป
“พยุงข้าลุกขึ้นนั่งที” ฮ่องเต้ไม่ชินกับการนอนพูด
กู้เจียวค่อยๆ พยุงร่างของฮ่องเต้ให้ลุกขึ้นนั่งและหยิบเบาะเอามาใช้เป็นพนักพิง
อากาศในเมืองหลวงช่วงนี้ แม้ตอนกลางวันจะร้อนระอุ แต่พอตกกลางคืนอากาศกลับหนาวเย็นมาก
เดิมชุดของฮ่องเต้ไม่สามารถใส่ได้แล้ว ด้วยความที่รูปร่างของฮ่องเต้คล้ายกับองครักษ์ของกู้เหยี่ยน กู้เจียวจึงให้ฮ่องเต้ใส่ชุดขององครักษ์ไปก่อน
กู้เจียวเพิ่มไฟในตะเกียง “ไม่สบายตรงไหนหรือ หิวไหม”
ฮ่องเต้ส่ายหัว ใบหน้าซีดเซียว “ข้าไม่เป็นไร…เว่ยกงกงล่ะ”
กู้เจียวเอ่ยตอบ “เว่ยกงกงได้รับบาดเจ็บ เขาให้ข้าช่วยท่านก่อน แต่พอข้ากลับไปหาเขาอีกที เขาก็ไม่อยู่แล้ว”
“หวังว่าเขาจะหนีไปได้ ไม่ใช่ถูกพวกนั้นจับตัวไป” ฮ่องเต้หลับตาลง พลางนึกถึงเว่ยกงกง เว่ยกงกงเป็นผู้ติดตามเขามานับยี่สิบปี เรียกได้ว่าเป็นยิ่งกว่าคนรับใช้ทั่วไป
จะว่าไปแล้ว ก็เป็นความผิดของเขาเองที่ครั้งนี้ประมาท ไม่ยอมพาทหารองครักษ์ติดตัวไปให้มากกว่านี้ คนพวกนั้นเลยใช้โอกาสนี้เข้ามาทำร้ายพวกเขา
“เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า” ฮ่องเต้เอ่ยถาม
กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้างุนงง
ฮ่องเต้พยายามเบือนหน้าหนีสายตาของกู้เจียวที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าอิดโรย “ให้ข้าตายไปไม่ดีกว่าหรือจะได้สาแก่ใจของพวกเจ้า หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าการที่ช่วยข้าไว้ในครั้งนี้…จะเอาชนะใจข้าได้ ข้าจะบอกไว้เลยนะว่าข้าน่ะไม่ยอมโดนพวกเจ้าหลอกง่ายๆ หรอก”
กู้เจียวมองเขาด้วยสายตางุนงง จากนั้นเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ก่อนจะลงท้ายด้วยสายตาที่เหมือนฟังเข้าใจ
กู้เจียวไม่เอ่ยอะไร
ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น
แต่แค่ยืนฟังอยู่อย่างนั้น ก่อนจะวางแก้วน้ำและยาไว้ที่หัวเตียง แล้วเดินออกไป
กู้เจียวเปิดและปิดประตูลงเบาๆ ราวกับเป็นคนเรียบร้อย
ความเงียบสงัดที่เกิดขึ้นทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสะเทือนใจอีกครั้ง
เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ควรจะลงเอยแบบนี้ เป็นเพราะเขาไม่ตาย ก็เลยต้องมาทำให้เชื่อใจอย่างนั้นรึ หากตอนนั้นนางไม่ปรากฏตัว ป่านนี้เขาคงตายด้วยน้ำมือของพวกลอบสังหารแล้ว แล้วนางยังจะต้องการความเชื่อใจอะไรจากเขาอีกล่ะ
แต่เขาไม่สามารถควบคุมความโกรธในใจได้ ตั้งแต่หนิงอันจากไป เขาไม่เคยพบใครที่สามารถเดินเข้าไปในหัวใจของเขามานานหลายปี แค่คิดว่าหมอเทวดาคนนี้ดันอยู่ฝั่งเดียวกับไทเฮาก็ทำให้เขาระงับความโกรธไว้ไม่อยู่
อันที่จริงเขาเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่ความผิดของนาง เพราะนางรู้จักจวงไทเฮาก่อนและเขาเป็นคนที่มาทีหลัง
แต่พูดไปก็มีแต่เจ็บเปล่าๆ
เป็นเพราะใกล้กันมากกว่า คำพูดคำจาอาจทำร้ายกันได้
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ็บสั้น ดีกว่าเจ็บนาน
ในเมื่อนางเลือกอยู่ฝั่งจวงไทเฮา ดังนั้นเขาและนางจึงถูกกำหนดให้ทำลายมิตรภาพของพวกเขา
ชีวิตช่างน่าสมเพชจริงๆ ทุกคนที่เอ็นดูก็ดันมาถูกจวงไทเฮาพรากไป คนแรกคือหนิงอัน แล้วก็หมอเทวดา ไม่รู้เลยว่าใครจะเป็นคนต่อไป
แต่ว่าตอนนี้ เขาเองก็ไม่ได้มีคนที่ต้องคอยกังวลแล้ว
ไม่สิ ยังมีอยู่อีกคน
คนผู้นี้จะไม่มีวันทอดทิ้งตน เขาผู้นั้นประกาศตนเป็นศัตรูกับจวงไทเฮามาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิองค์ก่อน เขาคือคนที่หลอกให้ไทเฮาเข้าไปอยู่ในวังเย็น และไทเฮาก็ส่งเขาผู้นั้นไปอยู่นอกชายแดน
ทุกคนอาจเข้าไปร่วมกับจวงไทเฮาได้ แต่ไม่ใช่กับเขาผู้นั้นแน่นอน!
พอนึกถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็เริ่มรู้สึกเบาใจขึ้นเล็กน้อย
ฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถเสด็จกลับวังได้ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ได้ไปที่ศาลในตอนเช้าในวันรุ่งขึ้น แต่ไม่มีความวุ่นวายในห้องโถงใหญ่ และไม่มีความวุ่นวายในเมืองหลวง
ฮ่องเต้ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะที่ผ่านมาจวงไทเฮาเป็นผู้คุมหลังม่านมาโดยตลอด หากพระองค์ยังอยู่ การมีอยู่ของฮ่องเต้เรียกได้ว่ามีหรือไม่มีก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน!
พอคิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็ยิ่งทวีคูณความเกลียดชังในตัวไทเฮาเข้าไปใหญ่!
เสี่ยวจิ้งคงและเด็กคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าในเรือนมีคนบาดเจ็บอยู่ด้วย พอพวกเขาทานข้าวเสร็จ ก็รีบออกเดินทางไปเรียนหนังสือ
เซียวลิ่วหลังเดินทางไปทำงานที่สำนักฮั่นหลิน ส่วนกู้เจียวไปที่โรงหมอเพื่อไปเอายาเพิ่ม
ท่านป้าหลิวเข้ามาในเรือน
เดิมตั้งใจจะมาคืนชามให้ แต่พอเดินผ่านห้องหญิงชราก็เกิดได้ยินเสียงราวกับมีคนอยู่ข้างใน นางเลยนึกว่าหญิงชรากลับมาแล้ว
พอนึกได้ดังนนั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น รีบวางข้าวของไว้บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปในห้อง “ยายเฒ่า เล่นไพ่นกกระจอกกัน!”
ปรากฏพอเปิดประตูเข้าไป กลับพบว่าในนั้นไม่ใช่หญิงชรา แต่เป็นชายวัยกลางคนที่ดูสง่าคนนหนึ่งนอนอยู่บนเตียง
แม้ใบหน้าของเขาจะงามสู้เซวียนผิงโหวไม่ได้ แต่ก็จัดว่าเป็นชายวัยกลางคนที่ดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ท่านป้าหลิวถึงกับเบิกตาโต!
ฮ่องเต้เองก็ตกใจเช่นกัน!
“เจ้า เจ้าเป็นลูกชายของยายเฒ่าใช่ไหม”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เจ้าจำคนผิดแล้วล่ะ”
เขาคือบุตรแห่งสวรรค์ เขาจะเป็นลูกของหญิงชราธรรมดาๆ ได้อย่างไร
ท่านป้าหลิว “ข้าดูไม่ผิดหรอก หน้าตาคล้ายกันขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าใช่แน่ๆ !”
และบังเอิญจี้จิ่วอาวุโสกำลังจะเดินทางไปกั๋วจื่อเจียน เลยผ่านมาพอดี
ท่านป้าหลิวเอ่ยเรียกจี้จิ่วอาวุโส “ฮั่วซู! ลูกชายเจ้ามาที่นี่แหน่ะ!”
ลูกชาย
ข้ามีลูกชายด้วยหรือ
จี้จิ่วอาวุโสเริ่มเหงื่อตก แต่ก็ยอมเดินเข้าไปดูแต่โดยดี ปรากฏ พอเปิดประตูออก ก็เห็นฮ่องเต้อยู่ในนั้น
ฮ่องเต้เองก็เห็นแล้วว่าเป็นจี้จิ่ว
ดวงตาทั้งสี่ประสานเข้ากัน ราวกับเพดานกำลังจะถล่มลงมายังไงยังงั้น
ระหว่างทาง กู้เจียวจู่ๆ ก็นึกถึงจี้จิ่วอาวุโสขึ้นมาในทันใด นางรู้แล้วว่าเขาเป็นจี้จิ่วของกั๋วจื่อเจียน
ตอนนั้นเองกู้เจียวกำลังคิดอยู่พอดีว่าจะแวะไปบอกจี้จิ่วอาวุโสว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งมาที่เรือน จะได้ไม่มีพิรุธต่อหน้าฮ่องเต้
แต่ที่กู้เจียวยังไม่รู้ก็คือ พอกู้เจียวก้าวเท้าหน้าออกไปเท่านั้น สองคนนั้นก็หงายหลังตกม้าอย่างจัง
พอไปถึงโรงหมอ กู้เจียวก็บังเอิญเจอเข้ากับเจียงสือพอดี
เจียงสือมาเยี่ยมเสี่ยวเจียงหลี
เจียงสือออกจากโรงหมอตั้งแต่เดือนก่อน หลังจากที่จี้จิ่วอาวุโสได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการของกั๋วจื่อเจียน ก็เลยใช้เส้นสายเล็กน้อยในการทำทะเบียนบ้านที่เมืองหลวงให้
นอกจากนี้ จี้จิ่วอาวุโสยังให้เจียงสือไปทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรม เขาไปที่กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะเด็กฝึกงานอย่างเป็นทางการ และเขาสามารถเป็นช่างฝีมืออย่างเป็นทางการของราชสำนักหลังจากฝึกงาน
แต่เจียงสือกลับปฏิเสธข้อเสนอ
เขาไปเป็นกรรมกรที่ท่าเรือ วิ่งเรือขนของส่วนตัวบ้างเป็นบางครั้ง เสี่ยงกว่า แต่รายได้เยอะเมื่อเทียบกับเป็นเด็กฝึกงาน
ส่วนเสี่ยวเจียงหลีผันตัวมาเป็นผู้ช่วยในโรงหมอ เวลาว่างก็จะเรียนหนังสือกับผู้ดูแลหวัง
“แม่นางกู้!” เจียงสือเอ่ยทักทายพลางโน้มตัวคำนับ
สำหรับพวกเขา กู้เจียวคือผู้มีพระคุณ นอกจากจะให้ทั้งชีวิต ทั้งที่พักอาศัยแล้ว ยังให้อาชีพกับเจียงหลี เพื่อให้นางมีโอกาสลืมตาอ้าปาก
เสี่ยวเจียงหลีจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เขาเองก็จะได้ไปทำงานข้างนอกอย่างสบายใจ
“ตัวดำหมดแล้ว” นี่คือประโยคแรกที่กู้เจียวเอ่ยทักเจียงสือ
ตอนที่เจียงสือนอนอยู่โรงหมอ ผิวของเขาขาวจนเกือบจะเทียบได้กับกู้เหยี่ยนแล้ว คราวนี้พอออกไปทำงานที่ท่าเรือ ดันตากแดดเสียจนผิวกลับมาดำคล้ำอีกรอบ
เจียงสือหัวเราะพลางเกาหัว
“ยังไหวอยู่ไหมนั่น” กู้เจียวเอ่ยถาม
เจียงสือหัวเราะ “ไหวสิ! ข้ากินๆ นอนๆ อยู่ในโรงหมอจนจะกลายเป็นหมูแล้ว”
ทุกวันนี้มันไม่ง่ายเลยที่คนจนจะเพิ่มน้ำหนัก และการอ้วนก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอวด
“ดีมาก” กู้เจียวคุยกับเจียงสืออยู่พักหนึ่ง โดยส่วนใหญ่จะถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายของเขา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขามีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับงานที่ท่าเรือ และปล่อยให้เขาไปหาเสี่ยวเจียงหลีโดยไม่พูดอะไร
จากนั้นกู้เจียวก็มุ่งหน้ากลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย
เห็นว่าท่านป้าหลิวกำลังทำท่าด้อมๆ มองๆ จิตใจกะล่องกะลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
กู้เจียวจึงเดินเข้าไปถาม “ท่านป้าหลิว เป็นอะไรไป มีเรื่องอันใดรึ”
“ไอ้หยา เจียวเจียวนี่เอง ตกใจหมดเลย!” ท่านป้าหลิวเอามือตบๆ ลงบนหน้าอกตัวเองเฉกเช่นคนเพิ่งตกใจสุดขีด
จากนั้นก็กระซิบกระย่องกับกู้เจียว “ลุงเจ้ากลับมาแล้ว ทะเลาะกับท่านปู่ของเจ้าใหญ่เลย น่ากลัวเชียวล่ะ! ข้าละได้ยินเสียงโยนข้าวโยนของกันด้วย ท่านปู่ของเจ้าดูๆ ก็ออกจะเป็นคนเรียบร้อย เหตุใดเวลาโมโหถึงได้น่ากลัวเช่นนี้ล่ะ ข้าได้ยินเขาตะโกนให้ ’คุกเข่า’ด้วย เป็นพ่อเป็นลูกกันแท้ๆ โตๆ กันแล้ว ยังต้องมาคุกข่งคุกเข่าอะไรกันอีก…”
มุมปากกู้เจียวเริ่มกระตุก
พลางนึกในใจ แน่ใจนะว่าคนพูดเป็นท่านปู่ ไม่ใช่ลูกชายเขา
ส่วนท่านป้าหลิวเอาแต่นึกสงสารลูกชายของจี้จิ่วอาวุโส โดนดุเสียขนาดนั้น เขาจะเสียใจไหม จะรู้สึกแย่หรือไม่