สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 313 โดนลอบสังหาร
บทที่ 313 โดนลอบสังหาร
เพราะอากาศร้อนอบอ้าว คุณหนูจำนวนไม่น้อยในสำนักบัณฑิตสตรีจึงเป็นไข้แดดติดต่อกันหลายวัน กู้เจียวจึงยุ่งเสียจนเท้าไม่ติดพื้น ไม่ได้เข้าวังไปเยี่ยมท่านย่ามาหลายวันแล้ว จึงยังไม่รู้เรื่องที่ท่านย่าล้มป่วย
“…ใช่ ไม่ต้องกินยา ดื่มน้ำแช่อวี๋ซิงเฉ่าก็พอ ผักคาวทองน่ะ ที่บ้านมีหรือไม่ หากไม่มีล่ะก็ไปเอากับเด็กจ่ายยา” กู้เจียวตรวจให้คุณหนูคนหนึ่งเสร็จก็จดบันทึก “คนต่อไป”
ประตูถูกผลักเปิด ผู้มาใหม่กลับเป็นรุ่ยอ๋องเฟยที่ไม่ได้พบมาหลายวัน
รุ่ยอ๋องเฟยครานี้ไม่ได้แซงแถว นางต่อแถวแต่โดยดีอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม เป็นเรื่องยากสำหรับนางที่ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว
“เจ้ามาได้อย่างไร” กู้เจียวให้นางนั่งลง
รุ่ยอ๋องเฟยสีหน้าแดงระเรื่อเหมือนอย่างเคย ลักษณะครรภ์ครานี้ดูดีไม่น้อย เพียงแต่ดวงตาของนางค่อนข้างบวมแดง เหมือนเพิ่งจะร้องไห้มา
“ไม่สบายตรงไหนรึ ข้าขอดูหน่อย” กู้เจียวพยักหน้าให้นางยื่นแขนมา
รุ่ยอ๋องเฟยส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้าหรอก จิ้งไท่เฟยต่างหาก เมื่อวานข้าไปหานาง นางแย่อีกแล้ว…”
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยพลางน้ำตาพรั่งพรูออกมา
รุ่ยอ๋องเฟยสมัยก่อนไม่ได้ร้องไห้ง่ายเช่นนี้ หลังจากตั้งครรภ์จึงได้บ่อน้ำตาตื้นเป็นพิเศษ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ร้องไห้ไม่หยุดแล้ว ตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
เป็นเพราะเลือดลมของคนตั้งครรภ์ กู้เจียวส่งผ้าเช็ดหน้าไปให้นาง
รุ่ยอ๋องเฟยปาดน้ำตา ดวงตาบวมแดงมองไปยังกู้เจียว “วันนี้เจ้าจะเสร็จงานเมื่อใดรึ เสร็จงานแล้วตามข้าไปดูจิ้งไท่เฟยได้หรือไม่”
กู้เจียวจึงเรียกหมอซ่งมา “วันนี้มีหมอออกตรวจหรือไม่”
หมอซ่งเอ่ย “ไม่มี วันนี้ทุกคนอยู่ที่โรงหมอกันหมด”
กู้เจียวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะออกไปข้างนอกหน่อย เจ้าช่วยข้าดูที”
หมอซ่งขานรับ “ขอรับ”
กู้เจียวเอ่ยต่อ “แล้วก็สมุนไพร อีกเดี๋ยวให้เสี่ยวเจียงหลีเก็บด้วย อย่าลืมล่ะ”
หมอซ่งเอ่ยตอบ “ข้าทำได้”
กู้เจียวสั่งงานหมอซ่งเสร็จก็ตามรุ่ยอ๋องเฟยไปสำนักชีใกล้ๆ วัดผู่จี้
บนรถม้ากู้เจียวจึงได้รู้ว่าจิ้งไท่เฟยล้มป่วยเพราะได้ยินว่าฮ่องเต้โดนลอบสังหาร
ฮ่องเต้เป็นโอรสที่นางเลี้ยงมาจนโตกับมือ จิ้งไท่เฟยมีแค่ธิดาอย่างองค์หญิงหนิงอันเพียงคนเดียว ฝ่าบาทก็เหมือนโอรสแท้ๆ ของนาง เกิดเรื่องขึ้นกับพระองค์ จิ้งไท่เฟยจึงเป็นห่วงเสียยิ่งกว่าใคร
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ย “ไท่เฟยร่างกายอ่อนแอเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีอยู่ปีหนึ่งฤดูหนาวหิมะตกหนัก สำนักชีหนาวเหน็บยิ่งนัก ไท่เฟยหนาวจนร่างแข็ง ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นโรคเรื้อรัง หลายปีมานี้เสด็จพ่อคิดหาวิธีมากมายมารักษาร่างกายไท่เฟย แต่ล้วนไม่เป็นผลเท่าใดนัก แม่นางกู้เจ้ามีวิธีรักษาร่างกายไท่เฟยหรือไม่”
กู้เจียวตอบไปตามตรง “ไท่เฟยอายุมากแล้ว บำรุงร่างกายเป็นสำคัญดีกว่า แล้วรักษาเป็นตัวเสริม ไม่มีวิธีรักษาที่เห็นผลได้ทันที”
รุ่ยอ๋องเฟยผิดหวัง
ทั้งคู่เดินเข้าไปในสำนักชี
จิ้งไท่เฟยนอนอยู่บนเตียงของกุฏิ เพิ่งจะหลับไป ในห้องมีกลิ่นของกำยานที่ช่วยในเรื่องการนอน
แม่นมคนสนิทที่แต่งตัวเป็นภิกษุณีเห็นทั้งสองคนจึงคำนับให้ “รุ่ยอ๋องเฟย แม่นางกู้”
แม่นมไช่ดับกำยานในเตาพลางผลักหน้าต่างเปิดให้ลมเข้า ไม่ให้กลิ่นกำยานไปถึงรุ่ยอ๋องเฟยที่กำลังตั้งครรภ์
รุ่ยอ๋องเฟยมองสีหน้าซีดเซียวของจิ้งไท่เฟยพลางเอ่ย “แม่นมไช่ เหตุใดไท่เฟยจึงเหมือนจะอ่อนแอกว่าเมื่อวานอีกเล่า”
แม่นมไช่ถอนใจแล้วเอ่ย “ไท่เฟยเป็นห่วงฝ่าบาท กินนอนไม่ได้ กลางคืนก็หลับไม่ลง ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ข้าวสักเม็ดยังไม่ตกถึงท้องเลย…บ่าวเห็นว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะแย่ จึงได้จุดกำยานช่วยให้นอนหลับสบายให้”
รุ่ยอ๋องเฟยสงสารยิ่งนัก
รุ่ยอ๋องเฟยเป็นคนสายตระกูลหนิงอ๋อง ซ้ำหนิงอ๋องก็อยู่ฝ่ายเดียวกันกับจวงไทเฮา ฮ่องเต้ทุ่มสุดตัวคิดจะลากจวงไทเฮาลงมา แล้วสนับสนุนจิ้งไท่เฟยขึ้นไปแทน แต่เหมือนว่านี่จะเป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างฮ่องเต้กับจวงไทเฮาแค่สองคนเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงคนอื่นด้วย
ความสัมพันธ์ของรุ่ยอ๋องและชายากับจิ้งไท่เฟยจึงไม่ได้ย่ำแย่
แม่นมไช่ยกเก้าอี้มาให้ทั้งสองคนนั่ง
กู้เจียวนั่งลงข้างเตียง ก่อนจับชีพจรให้จิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยหลับไม่สบาย กู้เจียวเพิ่งจะแตะลงบนชีพจรของนางนางก็ลืมตาขึ้นแล้ว
นางเห็นว่าเป็นกู้เจียว ใบหน้าซีดเซียวก็เผยรอยยิ้มจางออกมา “แม่นางกู้มาหาหรือ” แล้วมองไปยังรุ่ยอ๋องเฟยที่ขอบตาแดงก่ำอยู่ข้างๆ ก่อนเอ่ยอย่างจนใจ “บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้าไม่เป็นอะไร เจ้าลำบากมาทำไม ซ้ำยังรบกวนแม่นางกู้มาอีก พักบำรุงครรภ์ที่จวนไม่ได้หรือ อีกเดี๋ยวข้าต้องไปส่งจดหมายให้รุ่ยอ๋องให้เขาดูแลเจ้าเสียหน่อยแล้ว”
รุ่ยอ๋องเฟยสะอื้นเอ่ย “รุ่ยอ๋องไม่มีทางไม่อนุญาตให้ข้ามาหรอกเพคะ รุ่ยอ๋องเป็นห่วงท่านเสียยิ่งกว่าข้าอีก”
“เฮ้อ พวกเจ้านี่นะ…” จิ้งไท่เฟยส่ายหน้าคล้ายไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
กู้เจียวจับชีพจรให้จิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยมองไปยังกู้เจียวแล้วเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร แค่อากาศร้อนเกินไปเท่านั้นเอง ฤดูร้อนทีไรก็เป็นเช่นนี้ทุกที แม่นางกู้ไม่ต้องลำบากหรอก”
ดูจากสัญญาชีพจรแล้ว จิ้งไท่เฟยไม่ได้ป่วยหนักอะไรจริงๆ นั่นแหละ แค่ความกลัดกลุ้มอัดแน่นอยู่ในใจ เลือดลมเสียหาย ร่างกายอ่อนแอ
“จะไม่เสวยอาหารไม่ได้นะเพคะ” กู้เจียวบอก
แม่นมไช่รีบเอ่ยเสริมทันที “ท่านฟังสิ ท่านฟังสิ แม่นางกู้พูดขนาดนี้แล้วท่านยังจะไม่เสวยอีกหรือเพคะ”
จิ้งไท่เฟยยิ้มเอ่ย “อากาศมันร้อน กินไม่ลงหรอก”
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ย “ไท่เฟย ฝ่าบาทกลับวังแล้วนะ”
จิ้งไท่เฟยพลันชะงัก “จริงรึ”
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ย “หากไม่เชื่อท่านก็ถามแม่นางกู้ดูสิ แม่นางกู้ไม่โกหกหรอก”
สายตาคาดหวังของจิ้งไท่เฟยตกลงบนใบหน้ากู้เจียว
กู้เจียวพยักหน้า “ฝ่าบาทกลับวังแล้ว”
จิ้งไท่เฟยถามอย่างวิตกทันที “แล้วร่างกายเขา…ไม่เป็นไรกระมัง ข้าได้ยินว่าเขาโดนลอบสังหาร ซ้ำยังบาดเจ็บด้วย ไม่รู้ว่าหนักหนาสาหัสหรือไม่”
กู้เจียวตอบไปตามความจริง “หายดีแล้ว ฝ่าบาทปลอดภัยดี”
จิ้งไท่เฟยพรูลมหายใจโล่งอกยาวเหยียด “อามิตตาพุทธ โชคดี โชคดี”
“ยามนี้ท่านก็คงอยากอาหารขึ้นมาแล้วกระมัง บ่าวจะให้คนไปทำอาหารเจมาให้ท่านสักสองสามอย่าง” แม่นมไช่แย้มยิ้มปรีดา แล้วหันไปเอ่ยกับกู้เจียวและรุ่ยอ๋องเฟย “รุ่ยอ๋องเฟยกับแม่นางกู้หากไม่รังเกียจก็รั้งอยู่กินอาหารสักมื้อกับไท่เฟยก่อนค่อยกลับเถิด ข้ากลัวว่าพวกเจ้ากลับไปกันทั้งแบบนี้แล้วไท่เฟยจะไม่ยอมกินอีก”
จิ้งไท่เฟยถลึงตาใส่แม่นมไช่ “พวกเด็กๆ ไหนเลยจะกินอาหารในสำนักชีกันได้”
“กินได้ กินได้! แม่นางกู้ล่ะ” รุ่ยอ๋องเฟยขยิบตาให้กู้เจียว
กู้เจียวไม่มีความเห็น
นางยังไม่เคยกินอาหารเจสมัยโบราณเลย อยากรู้อยากลองนัก
เรื่องจริงได้ยืนยันแล้วว่ากู้เจียวประเมินฝีมือการทำอาหารของสำนักชีสูงเกินไป เสี่ยวจิ้งคงอยู่บ้านโดยปกติแล้วก็จะกินอาหารมังสวิรัติ แต่ไม่ว่าจะเป็นกู้เจียวหรือว่าจี้จิ่วอาวุโส อาหารเจที่ทำออกมาล้วนไม่เพียงแต่หลากหลายรูปแบบ สีสันน่ากินและรสชาติอร่อย ยังเรียกความสนใจของเด็กได้ดีอีกด้วย
กู้เจียวมองต้มเต้าหู้น้ำใสตรงหน้า ไหนจะต้มถั่วงอกน้ำใส ยำแตงกวา…นางที่ไม่เลือกกินยังรู้สึกว่ามื้อนี้จืดชืดเกินไปเลย
อาจเพราะวางใจได้แล้ว จิ้งไท่เฟยจึงอยากอาหารไม่น้อย กินข้าวได้ครึ่งชามกับอาหารเจอีกนิดหน่อย ซ้ำยังดื่มน้ำแกงเต้าหู้ไปถ้วยหนึ่งด้วย
รุ่ยอ๋องเฟยไม่คุ้นเคยกับอาหารการกินจริงๆ นางเติบโตมาอย่างอยู่ดีกินดี กินอาหารประเภทนี้เหมือนกับกินดินอย่างไรอย่างนั้น กินไปได้ไม่กี่คำจึงกินต่อไม่ได้แล้ว
จิ้งไท่เฟยล้อนาง “บอกแล้วว่าเจ้าไม่คุ้นปาก”
รุ่ยอ๋องเฟยกระแอมออกมา “ขะ…ข้าตั้งท้องแล้วไม่ค่อยอยากอาหารจึงได้ไม่คุ้นปาก”
จิ้งไท่เฟยยิ้ม
หลังมื้ออาหาร รุ่ยอ๋องเฟยก็สนทนากับจิ้งไท่เฟยอยู่พักหนึ่ง จิ้งไท่เฟยห่วงว่าจะดึกดื่นเกินไปจึงเร่งนางกับกู้เจียวให้ขึ้นรถม้ากลับเมืองหลวง
บนรถม้า รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยอย่างสงสาร “ไท่เฟยลำบากเกินไปแล้ว หลายปีมานี้เอาแต่กินอาหารไม่อร่อยพวกนี้…”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยเกินไปนัก” กู้เจียวเอ่ย
รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยอย่างเสียใจ “แบบนั้นยังไม่เรียกว่าไม่อร่อยอีกรึ มีแต่ผัก…รสชาติก็จืดชืด…นางน่าสงสารเกินไปแล้ว…นางเป็นสตรีที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสงสารที่สุด…”
กู้เจียวชะงัก ก่อนจะเอ่ย “คนที่น่าสงสารที่สุดไม่ใช่ไทเฮาหรอกรึ”
รุ่ยชินอ๋องถามอย่างฉงน “ไทเฮามีอะไรให้น่าสงสารกัน นางเป็นใหญ่ในตำหนักทั้งหกและเป็นเจ้าเผด็จการแห่งราชสำนัก อำนาจล้นฟ้า เรียกลมเรียกฝนได้ ซ้ำยังมีหน้ามีตาเสียยิ่งกว่าเสด็จพ่ออีก นางห่างไกลกับคำว่าน่าสงสารมากนัก” จวงไทเฮาแข็งกร้าวเกินไป วิธีการก็เหี้ยมโหด ไร้หัวจิตหัวใจ รุ่ยอ๋องเฟยไม่กล้าไปมาหาสู่กับนางเลยสักนิด
กู้เจียวไม่ได้แก้ต่างกับรุ่ยอ๋องเฟย ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเอาความคิดของตัวเองไปยัดใส่คนอื่น
นางแค่รักท่านย่ามากขึ้นยิ่งกว่าเดิมก็พอแล้ว
รักเผื่อในส่วนของคนอื่นไปด้วย และอีกหลายส่วนเลย
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ รุ่ยอ๋องเฟยเริ่มง่วงขึ้นมา ศีรษะน้อยๆ เอนซบบนไหล่กู้เจียว ก่อนจะหลับไป
กู้เจียวก็เริ่มง่วงขึ้นมานิดหน่อย
นางหลับตาลง กำลังจะงีบสักหน่อย จู่ๆ หูสองข้างนางก็ขยับ ได้ยินเสียงแหวกอากาศดังมาแว่วๆ อย่างรวดเร็ว
นางพลันลืมตาโพรง ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นไปทางรุ่ยอ๋องเฟย คว้าลูกธนูเย็นเยียบที่ยิงเข้ามาเอาไว้
รุ่ยอ๋องเฟยถูกลมจากลูกธนูทำให้ตกใจตื่น นางตัวสั่นไปทั้งร่าง “เกิดอะไรขึ้นรึ”
นางลืมตาขึ้นก็เห็นลูกธนูทองคำเย็นเยียบดอกหนึ่ง
นางมองไปยังมือกู้เจียวที่จับลูกธนูนั้นไว้ เหงื่อเย็นพลันผุดซึมออกมา
หากมิใช่เพราะกู้เจียวปฏิกิริยาว่องไว เช่นนั้นตนก็คง…
สีหน้านางพลันซีดลงทันที “แม่นางกู้…”
กู้เจียวแววตาเย็นเยียบ มือข้างหนึ่งโอบท้ายทอยรุ่ยอ๋องเฟยเข้าสู่อ้อมอกตัวเอง ก่อนจะหันหลังไป
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ลูกธนูสามดอกพุ่งเฉียดผ่านผมยาวของนางไปปักอยู่บนผนังรถที่ทั้งสองนั่งพิงกันอยู่
กู้เจียวมองไปยังหน้าต่างรถที่ขาดเป็นรูพรุน นางหันหัวลูกธนูแล้วยิงพุ่งออกไป