สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 318 รุ่งโรจน์
บทที่ 318 รุ่งโรจน์
ณ วังหลวงใต้แสงจันทร์
ไท่จื่อเฟยนั่งบนพระที่นั่งไม้ที่ส่งกลิ่นหอม เบื้องหน้าของนางคือโต๊ะยาวที่มีกระดานหมากวางอยู่
ไท่จื่อเฟยมิใช่คนที่ชอบอะไรหวือหวาเท่าใดนัก ในวันสบายๆ ของนางมักจะชอบอยู่เฉยๆ เว้นเสียแต่เวลาที่ฉินฉู่อวี้มาเล่นด้วย แต่ด้วยความที่ช่วงนี้ฉินฉู่อวี้ย้ายไปอยู่ที่ตำหนักหวาชิงกับฮ่องเต้
ตำหนักบูรพาจึงเงียบลงไปถนัดตา
เหล่านางข้าหลวงที่ดูแลข้างกายไท่จื่อเฟยต่างพากันเงียบกริบ ไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา
ทันใดนั้นเอง เสียงตบมือดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงตัวหมากที่วางลงบนกระดานหมาก ไท่จื่อเฟยทำหน้ายิ้มกริ่ม “ได้แล้ว”
นางข้าหลวงทำหน้างง ก่อนจะเอ่ยถาม “ไท่จื่อเฟยเพคะ อะไรได้แล้วหรือเพคะ”
“หมากกระดานนี้ไง ข้าแก้มันได้แล้ว”
“แก้อะไรหรือ”
เป็นเสียงของไท่จื่อที่กำลังเดินเข้ามา
เหล่านางข้าหลวงต่างพากันรีบถวายบังคม “ไท่จื่อเพคะ!”
ไท่จื่อเฟยเองก็ลุกขึ้นเตรียมจะถวายบังคม แต่ถูกไท่จื่อห้ามไว้เสียก่อน
“เจ้าเล่นหมากรุกอีกแล้วรึ” ไท่จื่อเดินเข้ามากุมมือไท่จื่อฟย ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“ข้าเบื่อ ก็เลยเล่นเสียหน่อย” ไท่จื่อเฟยตอบ
ไท่จื่อหัวเราะกับคำตอบของคนตรงหน้า “ข้าเห็นเจ้าเล่นหมากรุกทุกวันเลย ดูเจ้าจะชอบเล่นมากเลยนะ เจ้าใช้เวลากับมันมากกว่าอยู่กับข้าเสียอีก”
ไท่จื่อเฟยตอบด้วยเสียงอ่อนหวาน “ก็ทรงพูดเกินไปเพคะ”
“ข้าไม่ได้พูดเกินไปนะ ข้าเริ่มจะหึงเสียแล้วสิ” ไท่จื่อเอ่ยพลางกุมมือคนตรงหน้าพร้อมกับส่งสายตาหวานหยาดเยิ้ม “เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลยนะ ข้าถามว่า เจ้าแก้อะไรได้หรือ”
ที่จริงตัวไท่จื่อเองก็มิได้สนใจการเล่นหมากกระดานเท่าใดนัก แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ไท่จื่อเฟยทรงโปรด จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามไถ่
ไท่จื่อเฟยยื่นไปที่กระดานหมาก พลางเอ่ย “ด่านคุนอย่างไรเล่าเพคะ”
ไท่จื่อทำหน้างุนงง “ด่านคุนรึ หรือว่าจะเป็นด่านคุนของปรมาจารย์เมิ่งรึ”
ในโลกของการหมากกระดาน ดูเหมือนจะมีแค่ท่านผู้อาวุโสเมิ่งเท่านั้นที่ได้รับสมญานามว่าด่านคุน
แม้ไท่จื่อจะไม่ใช่คนที่ชื่นชอบในการเล่นหมากเท่าไหร่นักแต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย สมกับเป็นยอดนักหมากรุกแห่งหกแคว้น
ท่านผู้อาวุโสเมิ่งเล่นหมากมาทั้งชีวิต โดยในนั้นมีแปดด่านหมากที่ทำให้เขาได้ชื่อเสียง คนที่สามารถผ่านแต่ละด่านได้นั้นมีไม่มากนัก แต่สำหรับไท่จื่อเฟย นางสามารถผ่านด่านแรกของท่านอาวุโสเมิ่งได้ตั้งแต่อายุสิบสาม
และในปีต่อๆ มา นางก็สามารถผ่านได้ถึงห้าด่านด้วยกัน ความสามารถของไท่จื่อเฟยเรียกได้ว่าหาตัวจับได้ยากในทั้งหกแคว้น ด้วยอายุเพียงเท่านี้
เพราะคนที่สามารถเล่นได้หกด่านนั้นก็อายุปาเข้าไปสี่สิบแล้ว แต่ไม่สามารถทะลวงอีกสองด่านที่เหลือได้ ซึ่งก็คือด่านเฉียน และด่านคุน
ไท่จื่อกุมมือไท่จื่อเฟยด้วยความตื่นเต้นพลางมองนางด้วยสายตาชื่นชม “หลินหลัง เจ้าทำเรื่องที่ไม่มีสตรีใดสามารถทำได้! เอ๊ะ ไม่สิ ต้องบอกว่า ความสามารถของเจ้าไม่มีใครในโลกหล้านี้เทียบเทียมได้!”
ไท่จือเฟยหัวเราะด้วยความเขินอาย “ช่วงที่ข้าต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่ ก็มีแต่หมากรุกเท่านั้นที่ข้าพอเล่นได้ จะว่าไปแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้ายกระมังเพคะ”
ไท่จื่อค้อนด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่จริงหรอกน่า ขนาดคนอื่นเขาเล่นมาทั้งชีวิตยังทำได้ไม่ครบด่านเลย! ข่าวดีขนาดนี้ ข้าต้องไปรายงานให้เสด็จพ่อทรงทราบ!”
ไท่จื่อเอ่ยจบก็รีบพุ่งตัวไปหาฮ่องเต้
ฮ่องเต้กำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ฟ้ายังไม่ทันสางก็ออกจากตำหนัก หากฟ้ายังไม่มืดก็ยอมกินข้าว คลุกอยู่แต่ที่ห้องทรงงานเพื่ออ่านฎีกาจนดึกดื่น
พอเห็นไท่จื่อเดินเข้ามา สีหน้าของฮ่องเต้มิได้เปลี่ยนไปจากเดิม ทรงพับมุมหน้ากระดาษก่อนจะหันไปเอ่ยถาม “ดึกป่านนี้แล้ว มีเรื่องอันใด”
ด้านหลังฉากกั้นเป็นพระที่นั่งขนาดเล็กสำหรับให้ฮ่องเต้ได้พักผ่อน บนนั้นคือร่างของฉินฉู่อวื้ที่เหนื่อยจากการเล่นและผล็อยหลับไป
ไท่จื่อพอเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ ให้ข้าพาเจ้าเจ็ดกลับไปดีกว่า จะได้ไม่รบกวนเสด็จพ่อทรงงาน”
ก็ดูเจ้าเจ็ดกรนเข้าสิ ดังเป็นจังหวะเชียวล่ะ!
ฮ่องเต้ตอบกลับ “ไม่เป็นไร เจ้าว่ามา มีเรื่องอันใด”
“คืออย่างนี้ขอรับ หลินหลังนางสามารถแก้ด่านหมากของท่านอาวุโสเมิ่งได้ขอรับ” ก่อนไท่จื่อจะเอ่ยต่อด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ด่านคุนด้วยนะขอรับ”
ฝ่ามือของฮ่องเต้ที่กำลังเปิดบันทึกก็พลันนิ่งลง ตามมาด้วยแววตาของความตกพระทัย “จริงหรือ”
“จริงขอรับ! หากเสด็จพ่อไม่เชื่อ เรียกหลินหลังมาที่นี่ได้นะขอรับ” ไท่จื่อทำหน้าเบิกบานพลางเอามือตบเบาๆ ที่ศีรษะตัวเอง “ข้านี่ใจร้อนจริงๆ เลยลืมหยิบกระดานหมากมาเสียสนิทเลย ไปตามคนมาเดี๋ยวนี้! ไปที่ตำหนักบูรพาแล้วหยิบกระดานหมากมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีขานรับคำสั่งของไท่จื่อ
ไม่นาน กระดานหมากก็มาถึง ขันทีใช้สองมือประคองกระดานหมากและนำมาวางที่เบื้องหน้าฮ่องเต้
ฝีมือหมากของฮ่องเต้นั้นดีกว่าไท่จื่ออยู่ไม่น้อย พอปราดตามองไปที่กระดานแค่ครู่เดียวก็ทรงเข้าใจได้ดี
ฮ่องเต้ตกใจอย่างอดมิได้ “ที่แท้ก็แก้ออกมาเช่นนี้เอง…เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าคิดไม่ถึงนะ”
ไท่จื่อที่เก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ก็เอ่ยต่อ “เสด็จพ่อต้องทรงงานเยอะจึงไม่มีเวลาให้กับการเล่นหมากนัก ช่วงนี้หลินหลังนางกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่วังบูรพา ก็เลยเล่นหมากแก้เหงาไปพลางๆ แต่พอเล่นไปเล่นมาก็เกิดเล่นด่านยากๆ เช่นนี้ได้ขอรับ”
คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเพื่อทำให้เสด็จพ่อสบายใจขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกย่องความเป็นเลิศของเวินหลินหลังในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
บนโลกนี้มีใครจะฉลาดได้เท่านางอีกหรือไม่
ถ้าจะนับ ก็คงนับเจ้าน้องชายคนสนิทที่ไปสวรรค์แล้ว
เขาแก้หมากด่านแรกได้ตั้งแต่ตอนอายุสิบขวบ แต่น่าเสียดายที่ดันด่วนจากไปเสียก่อน
แต่แม้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่อาจทำได้ดีไปกว่าเวินหลินหลังแน่นอน
ไม่มีสตรีคนไหนดีกว่าหลินหลังอีกแล้วโลกใบนี้
ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยความพอพระทัย
เดิมฮ่องเต้มิได้ถูกใจลูกสะใภ้คนนี้เท่าใดนัก เพราะนางเคยเป็นคู่หมั้นของเซียวเหิงมาก่อน แต่กระนั้นไท่จื่อก็ยังดึงดันจะขอนางให้ได้ อีกทั้งต้องยอมรับว่านางเป็นคนเก่ง มีความสามารถ เป็นที่โปรดปรานของฮองเฮา ฮ่องเต้จึงยอมรับนางมาเป็นสะใภ้
ไม่กี่ปีหลังจากอภิเษกสมรส ไท่จื่อมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จากเด็กชายที่บ้าบิ่นและโง่เขลากลายเป็นชายที่สงบเสงี่ยมและมั่นคง ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้ไท่จื่อเฟย
“อืม” ฮ่องเต้ซ่อนความชื่นชมในตัวนางไว้ไม่อยู่ “ไท่จื่อเฟย ไม่เลวเลย”
“เสด็จพ่อ นางคือคนแรกในหกแคว้นใช่หรือไม่!” ไท่จื่อเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
ฮ่องเต้ยิ้มสรวล พยักหน้า “แน่นอน นอกจากท่านอาวุโสเมิ่งแล้ว ไท่จื่อเฟยของเจ้าคือคนแรกที่สามารถแก้หมากด่านคุนได้ ข้าต้องการเขียนหนังสือและส่งไปยังแคว้นอื่นเพื่อประกาศข่าวดีนี้”
ไท่จื่อยื่นมือถวายบังคมด้วยความปีติ “ลูกขอแสดงความยินดีกับเสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
วิชาการไม่มีพรมแดนและทักษะหมากรุกไม่มีขอบเขต นี่ไม่เพียงแต่เป็นความรุ่งโรจน์ของไท่จื่อเฟยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรุ่งโรจน์ของแคว้นเจาทั้งหมดด้วย
“ข้าขอคิดก่อนนะว่าจะให้รางวัลพวกเจ้าอย่างไรดี เจ้าได้อานิสงส์จากนางอีกแล้วนะ”
ไท่จื่อเอ่ยพลางยืดอก “แน่นอนเสด็จพ่อ ต้องยกความดีความชอบให้ความมีแววของข้าที่หาคู่ครองเก่งอย่างนางมาได้!”
ฮ่องเต้ทรงหัวเราะจนตัวงอ
เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดีจริงๆ เดิมที ฎีกาที่พระองค์เพิ่งได้รับนั้นก็คือ การสนับสนุนให้ไท่จื่อรับนางสนมมากขึ้นเพื่อกระจายกิ่งก้านสาขาของราชวงศ์
แต่พอไท่จื่อเฟยทำเรื่องดีๆ เช่นนี้ ฮ่องเต้จึงม้วนฎีกานั้นเก็บกลับลงไป
วันถัดมา หลังจากกู้เจียวไปส่งจิ้งคงที่กั๋วจื่อเจียนเสร็จก็มุ่งหน้าไปโรงหมอในทันที
ขณะที่เดินผ่านสำนักบัณฑิตสตรี ก็ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยกันถึงเรื่องที่ไท่จื่อเฟยแก้หมากได้
“เจ้ารู้เรื่องหรือยัง ที่ไท่จื่อเฟยแก้หมากของท่านอาวุโสเมิ่งได้”
“มิใช่ว่านางทำได้ตั้งนานแล้วหรือ”
“ไม่ใช่ นั่นมันข่าวเก่า อันนี้คือด่านใหม่ ด่านที่เจ็ด ด่านคุน!”
“ฮะ! นางแก้ด่านคุนได้แล้วหรือ ข้าได้ยินมาว่าด่านคุนกับด่านเฉียนยากมากจนยังไม่มีผู้ใดแก้ได้มิใช่รึ”
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าถึงได้บอกไงว่านางไม่ใช่มนุษย์แล้ว นางฟ้าชัดๆ!”
แน่นอนว่ายังมีคนที่ไม่พอใจไท่จื่อเฟยเพราะอุบัติเหตุสะพานหักในวันแรกของปีใหม่
“พวกเจ้าดีใจอะไรนักหนา ทำอย่างกับตัวเองแก้ได้เอง นอกจากนี้ พวกเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางแก้ได้จริงๆ หรือแค่แกล้งทำ”
“เรื่องแบบนี้จะเป็นเรื่องหลอกไปได้อย่างไร เจ้าคอยดูเถอะ เดี๋ยวไม่นานก็มีประกาศออกมาแล้ว!”
“เฮอะ!”
กู้เจียวเดินผ่านกลุ่มบัณฑิตหญิงที่กำลังทะเลาะกัน
เดิมทีกู้เจียวไม่ได้สนใจอะไรเรื่องของไท่จื่อเฟยอยู่แล้ว
ช่วงนี้กู้เจียวได้รับสิ่งที่เรียกว่าไนเตรทมา เลยอยากจะลองทดลองทำอะไรสักอย่าง
กู้เจียวเทไนเตรต กำมะถัน และถ่านลงบนพื้น
กู้เจียวกำลังจะทำดินปืนขึ้นมา
กู้เจียวต้องการสร้างบางสิ่งที่ทรงพลังขึ้นมาก่อนกลับไปยังโลกเดิม
ถ้าเหตุการณ์ลอบฆ่าที่หน้าผาวันนั้นมีดินปืนติดไว้แล้ว วันนั้นคงไม่ต้องเผชิญกับการเกือบตกหน้าผาอย่างหวุดหวิดแน่นอน
ดินปืนเป็นหนึ่งในสี่สิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ แต่ดูเหมือนว่าดินปืนจะยังไม่ปรากฏในราชวงศ์สมมตินี้
ด้วยวัตถุดิบที่สามารถหาได้จึงทำได้เพียงดินปืนสีดำ ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพเท่าดินปืนสีเหลือง และไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่ก็ยังมีร้ายแรงกว่าลูกดอกเข็มเงิน
กู้เจียวพอรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบคร่าวๆ แต่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับอัตราส่วน การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในปริมาณอาจทำให้พลังของดินปืนลดลงอย่างมาก
ก็เลยต้องทดลองไปเรื่อยๆ
ถ่านไม่มีกลิ่น ส่วนกำมะถันยังพอสามารถทนได้ แต่ดินประสิวนี่สิ กลิ่นช่าง…
เถ้าแก่รองถึงกับเอาแขนเสื้อมาอุดจมูก “เสี่ยวกู้ นี่มันอะไรกัน!!”
“ดินประสิว” กู้เจียวเอ่ย ก่อนจะสังเกตท่าทีงุนงงของเถ้าแก่รอง จึงเปลี่ยนคำเพื่อให้เขาเข้าใจมากขึ้น “มันคือดินที่มีมูลนก!”
เถ้าแก่รอง “…”
เถ้าแก่รอง “เจ้า เจ้า เจ้า …เจ้าเอามูลนกมาทำอะไร”
กู้เจียวตอบ “เอามาบ่มอย่างไรเล่า”
เถ้าแก่รองส่งสายตารังเกียจไปทางกู้เจียว “อย่าบอกนะว่า เจ้าจะใช้ หม้อ เอามาบ่มน่ะ”
กู้เจียวพยักหน้า “ใช่สิ เจ้าต้องต้มมันเพื่อให้ได้ดินประสิว หลังจากกรองแล้วมันจะกลายเป็นดินประสิว เจ้ามาทันเวลาช่วยข้าพอดี ”
เถ้าแก่รองเริ่มพะอืดพะอม
เจ้าเด็กนี่ ทำอย่างอื่นไม่ทำ มาทำมูลนกเนี่ยนะ!
“มันสะอาดนะ” กู้เจียว
ไม่สนทั้งนั้น ข้าไม่อยากบ่มมูลนก!
หนึ่งเค่อต่อมา ปรากฏเถ้าแก่รองกำลังถือไม้คนมูลนกอย่างเศร้าใจ!
หลังจากเดือดแล้ว ก็ตักเอาฟองสีขาวออก จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบาง และนำไปห่อจากนั้นฝังในขี้เถ้าพืช
ด้วยความที่อากาศร้อน น้ำจึงระเหยไว พอตกบ่าย ดินประสิวหมักก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ดินประสิวที่ทำโดยกู้เจียวนั้นมีความใสและมีสีขาวเล็กน้อย
“ดินประสิวเป็นยาที่ดีมากจริงๆ” กู้เจียวเอ่ยพลางหันไปทางเถ้าแก่รองที่ตอนนี้กำลังทำท่าขยาดสุดขีด
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเคยให้ข้ากินของพรรค์นี้น่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ!” กู้เจียวพยักหน้า “ครั้งก่อนระบบย่อยของเจ้าไม่ดี ข้าเลยให้ผงขาวๆ ไปกิน เจ้าลืมแล้วรึ”
นี่เขากินมูลนกเข้าไปเหรอเนี่ย
อ๊ากกก! ให้เขาไปตายยังจะดีกว่า !
…
เสี่ยวซานจื่อเข้ามาลากร่างที่เป็นลมของเถ้าแก่รองไปพักที่ห้องโถง
กู้เจียวขอให้สาวใช้ทำความสะอาดฉากและเตรียมผงสีดำตามอัตราส่วนของดินประสิวอัตราส่วนร้อยละ ห้าสิบ กำมะถันร้อยสะสามสิบ และถ่านอีกร้อยละยี่สิบ
คราวนี้กู้เจียวทำถุงลมนิรภัยขึ้นมาด้วย
กู้เจียวสวมถุงลมนิรภัยและสวมหมวกกันกระแทก
หลังจากจุดระเบิด กลับพบว่าความรุนแรงของการระเบิดนั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ
กู้เจียวจึงลองเพิ่มสัดส่วนของดินประสิวและลดสัดส่วนของกำมะถันลง
คราวนี้มันได้ผล ระเบิดนั่นทำเอากู้เจียวถึงกับร่างปลิว
ขณะเดียวกัน เซวียนผิงโหวที่ปกติไม่ค่อยได้มาเยือนแถวนี้ ไม่รู้เกิดนึกครึ้มอะไรถึงได้อยากเจอหน้าลูกสะใภ้
เหตุผลหลักคือครั้งสุดท้ายที่ไปตรอกปี้สุ่ยเพื่อพบลูกสะใภ้ เขาดันได้พบกับจิ้งคงและถูกทารุณกรรมจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปที่นั่นเพื่ออะไร
วันนี้เขาจึงเปลี่ยนไม่ไปที่ตรอกปี้สุ่ยแล้วและเลือกมาที่โรงหมอแทน
จะได้หลบเจ้าเณรน้อยนั่นได้
เขาเดินผ่านโถงทางเดินและมาที่ลานของกู้เจียว แต่กลับพบว่า
กู้เจียวถูกมัดด้วยแถบผ้าห่อตัวเหมือนดักแด้ไหมตัวเล็กๆ ห้อยอยู่บนกิ่งไม้ พยายามดิ้นอย่างทุรนทุราย
มีเพียงใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ โผล่ออกมาจากห่อผ้านั่น
เซวียนผิงโหวหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้!
เดิมเซวียนผิงโหวตั้งใจจะมาญาติดีกับนางด้วย แต่พอเห็นสภาพนางเป็นเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะอยากซ้ำเติม
เซวียนผิงโหวเงยหน้าขึ้นแล้วเม้มริมฝีปาก “สาวน้อย เจ้าอยากลงมาไหม เรียกข้าว่าพ่อสิ แล้วข้าจะช่วยเจ้าลงมา”
กู้เจียวไม่สนใจเขา
กู้เจียวพยายามดิ้นเพื่อหันหลังให้เขา แต่ไม่นานก็หมุนวนกลับมาที่เดิมอยู่ดี
เซวียนผิงโหวมองไปที่ใบหน้าน้อยที่ไม่แยแสและหัวเราะอย่างหนักจนร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
ถ้าคนอื่นหัวเราะแบบนั้น มันคงเลี่ยนมากพอที่จะทำให้คนอยากเอาชนะเขา แต่เซวียนผิงโหวเกิดมาหล่อ เหลาเสียไม่มีใครเทียบได้ จึงดูเพลินตาเมื่อเขายิ้มแบบนั้น
กู้เจียวมองไปที่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของนางผ่อนคลายเล็กน้อย และถามอย่างเย็นชา “เจ้าต้องการให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร”
เซวียนผิงโหว “เรียกพ่ออย่างไรเล่า”
กู้เจียวพยักหน้า “ฮึ!”
เซวียนผิงโหว “…!!”