สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 319 ลงมือ
บทที่ 319 ลงมือ
เป็นอีกครั้งที่เซวียนผิงโหวต้องมารู้สึกช้ำใน
เด็กสมัยนี้ชักจะปีนเกลียวใหญ่แล้วนะ!
เซวียนผิงโหวเอามือกุมหน้าอก
เขาคือเซวียนผิงโหวผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ผู้ยิ่งใหญ่ศัตรูยอมสยบ แต่ไฉนพอมาอยู่ต่อหน้าเจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกนี่เขาถึงได้กลายเป็นหมาหัวเน่ากันนะ
และเป็นอีกครั้งที่เซวียนผิงโหวลืมไปแล้วว่าตัวเองมาที่นี่ทำไม
และแล้วก็ถึงเวลาเลิกงานของสำนักฮั่นหลิน
ช่วงนี้บัณฑิตหยางลางาน งานในมือของเขาจะว่าน้อยก็ไม่น้อย มากก็ไม่มาก คนที่จะมาช่วยแบ่งเบางานได้ก็มีไม่มากนัก ในหมู่พวกเขา เรื่องของการสอนชู่จี๋ซื่อส่วนใหญ่ถูกแบ่งระหว่างเซียวลิ่วหลังและอันจวิ้นอ๋อง
เดิมทีบัณฑิตหยางรับผิดชอบด้านคณิตศาสตร์และปฐพีวิทยา แต่บัณฑิตหานขอให้พวกเขาเลือกอย่างใดอย่างนึง โดยอันจวิ้นอ๋องเลือกคณิตศาสตร์เพราะเขาไม่ใช่ชาวบ้านชาวเมือง และเขาไม่มีประสบการณ์ด้านการเกษตรเท่าเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังไม่เอ่ยอะไร เลยได้รับวิชาการเกษตรไปโดยปริยาย
ว่าไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านนี้มากมายเท่าใดนัก
กู้เจียวเคยซื้อที่ไว้ในชนบท แต่น่าเสียดายที่ทั้งเขาและกู้เจียวในเวลานั้นไม่รู้วิธีปลูกมัน มันจึงถูกทิ้งร้างในภายหลัง
ประสบการณ์การทำไร่ทำสวนของเขาไม่มากมายเท่าเสี่ยวจิ้งคง อย่างน้อยเสี่ยวจิ้งคงจะไปรดน้ำสวนผักทุกวันเพื่อจับแมลง และตามกู้เจียวไปกำจัดวัชพืชเป็นครั้งคราว
เพื่อสอนชั้นเรียนนี้ให้ดี เซียวลิ่วหลังจึงต้องเรียนรู้การทำสวน
หลังจากการเลิกงาน เขาวางแผนที่จะกลับเรือนไปทำสวน และในตอนนั้นเอง หนิงจื้อหย่วนเดินเข้ามาหาอย่างเงียบๆ ขยิบตาแล้วพูดว่า “เจ้าอยากไปดื่มไหม”
“ไม่ไป” เซียวลิ่วหลังเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่คิด แต่สักพัก จู่ๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงหันไปถามกลับ “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไปดื่มเหล้า”
เขาจำได้ว่าหนิงจื้อหย่วนไม่ใช่คนที่ชอบสังสรรค์เท่าใดนัก
หนิงจื้อหย่วนถอนหายใจ พลางเอ่ย “ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ข้าจะไปสืบเรื่องวงในได้อย่างไรเล่า เจ้าคิดหรือว่าข้าอยากไป ที่ช่วงนี้เจ้าต้องมาสอนหนังสือให้ไท่จื่อ ซ้ำบัณฑิตหยางช่วงนี้ก็ลางานบ่อยเหลือเกิน ข้าว่าทุกคนกำลังรุมเล่นงานเจ้าอยู่ไม่มากก็น้อย เจ้าไม่คิดจะใช้โอกาสนี้ในการลองเอาชนะคนพวกนั้นดูหน่อยหรือ”
“ไม่ล่ะ ข้าขอกลับไปทำสวนดีกว่า” เซียวลิ่วหลังตอบ
หนิงจื้อหย่วน “…”
เซียวลิ่วหลังเดินออกจากสำนักฮั่นหลิน
ระยะทางจากสำนักฮั่นหลินไปจนถึงถนนเสวียนอู่นั้นไม่ไกลมากนัก ใช้เวลาราวสองเค่อได้ จากนั้นพอเดินผ่านตรงกั๋วจื่อเจียนก็จะถึงตรอกปี้สุ่ย
พอเซียวลิ่วหลังเดินมาถึงกั๋วจื่อเจียน ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปในหมิงฮุยถัง
ด้านนอกหมิงฮุยถัง เขาได้พบกับใครบางคนที่คุ้ยเคย นั่นก็คือรองเจิ้ง
รองเจิ้งเคยดำรงตำแหน่งรักษาการแทนจี้จิ่วมาก่อน และตอนที่เซียวลิ่วหลังยังเรียนอยู่ที่นี่มักถูกรองเจิ้งเล่นงานอยู่เป็นครั้งครา
ในวันนี้ จี้จิ่วอาวุโสก็ได้ชำระแค้นให้เซียวลิ่วหลังแล้ว
รองเจิ้งกำลังถูกลงโทษให้ยืนอยู่หน้าประตู ช่างเป็นภาพที่น่าอับอายยิ่ง
รองเจิ้งเป็นข้าราชสำนักระดับสี่ ซึ่งสูงกว่าเซียวลิ่วหลัง เขาจึงยกมือถวายบังคมให้รองเจิ้ง ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
ส่วนรองเจิ้งก็ได้แต่มองดูเซียวลิ่วหลังเดินลอยหน้าลอยตาเข้าไปในหมิงฮุยถัง
“ลมอะไรหอบเจ้ามาที่นี่ล่ะ” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยทัก ก่อนวางปากกาที่กำลังตรวจข้อสอบในมือลง “นั่งก่อนสิ”
“ที่ข้ามาหาท่านในวันนี้ ข้าอยากขอความช่วยเหลือให้ท่านช่วยสืบเรื่องของใครบางคนขอรับ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
“อ้อ แล้วเจ้าอยากสืบเรื่องใครล่ะ”
“คนในวังขอรับ”
จี้จิ่วอาวุโสทำหน้าขรึม “เดี๋ยวก่อนนะ…เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากสืบเรื่องคนในวังขึ้นมาเล่า”
เซียวลิ่วหลังลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมพูดต่อ “คนที่เคยวางยาพิษข้า อาจมิใช่จวงไทเฮาขอรับ”
สิ้นคำของลิ่วหลัง แววตาจี้จิ่วอาวุโสพลันเกิดประกาย ท่าทีของเขาดูตื่นเต้นเสียจนแทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้ “ว่าแล้วเชียวว่าไม่ใช่ฝีมือของนาง!”
เซียวลิ่วหลังมองจี้จิ่วอาวุโสด้วยสายตาประหลาดใจ
จี้จิ่วอาวุโสที่เห็นว่าตัวเองเริ่มแสดงพิรุธ ก็กระแอมไอและยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ข้าหมายความว่า หากนางตั้งใจจะฆ่าเจ้าจริงๆ ป่านนี้เจ้าตายไปนานแล้ว โอกาสที่นางจะฆ่าเจ้ามีอยู่ถมเถไป”
“นางจำข้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
จี้จิ่วอาวุโสนึกในใจ นี่จะไม่ให้โอกาสพูดกันเลยใช่ไหม
“อะแฮ่ม อย่างไรเสียก็ไม่ใช่นางแน่นอน ถ้าคนอย่างนางจะฆ่าเจ้ามีหรือจะทิ้งร่องรอยไว้”
ไม่ จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าเขากับจวงจิ่นเซ่อมีอะไรแอบแฝง!
“แล้วเจ้านึกอะไรออกบ้างล่ะ” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยถามต่อ
“อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า เขาไม่ได้บอกว่าเขาถูกกระตุ้นโดยความฝันที่ไปสู่ความทรงจำบางอย่างที่ซ่อนอยู่ “จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าคนคนนั้นมีไฝที่ข้อมือซ้าย”
“มีไฝที่ข้อมือซ้ายอย่างนั้นรึ…” จี้จิ่วอาวุโสลูบหนวดพลางใช้ความคิด “ถ้ามีไฝบนหน้าข้ายังพอนึกออก แต่ที่ข้อมือ…”
แม้เขาเคยได้รับการยกย่องอย่างสูงจากจักรพรรดิผู้ล่วงลับไปแล้ว และเขามักจะเข้าๆ ออกๆ วังหัวชิง และบางครั้งก็ได้พบกับนางสนมและคนรับใช้ในวัง แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใช่จักรพรรดิ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถยกแขนเสื้อหรือไปแอบดูข้อมือคนอื่นได้
เดิมทีจี้จิ่วอาวุโสจะบอกให้เซียวลิ่วหลังลองไปถามหญิงชราดู แต่จะว่าไปแล้วคนอย่างจวงไทเฮาคงไม่มานั่งสังเกตข้อมือใครอยู่แล้ว
“ขันทีหรือสตรี” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยถาม
“เป็นสตรีขอรับ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
เขามั่นใจว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของสตรีแน่ๆ แต่ถ้าให้ลงลึกไปมากกว่านั้น เขาจำรายละเอียดไม่ได้แล้วจริงๆ
จะมีก็แค่คนนั้นๆ มีไฝที่ข้อมือด้านซ้ายเท่านั้น
“เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พวกคนในวัง…” จี้จิ่วอาวุโสกำลังอยู่ในห้วงความคิด ก่อนทำท่าเกาหัว “อืม ข้ารู้จักคนที่รู้จักคนในวังเป็นอย่างดี นางอยู่ที่สำนักข้าหลวงสตรี มักจะทำเสื้อผ้าสั่งตัดให้กับผู้คนในวัง บางทีเจ้าอาจจะไปหาเบาะแสจากนางก็เป็นได้”
เซียวลิ่วหลังมองเขาราวกับมองคนมีพิรุธ “แล้วที่ท่านออกอาการเช่นนี้ หมายความว่า…”
“เอ่อ อันนี้ก็…” จี้จิ่วอาวุโสถึงกับพูดไม่ออก “ช่างเถอะน่า เดี๋ยวข้ากลับเรือนกับเจ้า แล้วเจ้านำจดหมายไปหานาง ไม่รู้ว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วนางจะยังจำได้อยู่ไหม”
หลังจากที่ทั้งสองออกมาจากหมิงฮุยถัง ก็เป็นเวลาที่เสี่ยวจิ้งคงเลิกเรียนพอดี พวกเขาจึงยืนรอเสี่ยวจิ้งคงออกมาเพื่อกลับเรือนด้วยกัน
เสี่ยวจิ้งคงเบ้ปากใส่ “ทำไมวันนี้ไม่ใช่เจียวเจียวแต่เป็นเจ้าที่มา”
“ไม่ชอบให้คนมารับหรือไง” เซียวลิ่วหลังทั้งขำทั้งเคืองกับเจ้าตัวเล็กนี่
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอยู่พัก ก่อนเอ่ยตอบ “ถ้าเจ้าซื้อถังหูลู่ให้ข้า ข้าจะไม่รังเกียจเจ้า”
“…รังเกียจข้าต่อไปเถิดเช่นนั้น”
เสี่ยวจิ้งคง “…”
และแล้วเด็กน้อยและผู้ใหญ่ก็เดินทางกลับถึงเรือน
พวกเขาพบว่ากู้เจียวยังไม่กลับมา
เซียวลิ่วหลังหันไปหาเสี่ยวจิ้งคงที่กำลังเคี้ยวขนมอย่างสบายใจเฉิบ “เจ้าอยากไปหาท่ายยาที่วังไหม”
เขาเป็นขุนนางนอก และเป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดความสงสัยเมื่อเขาเข้าไปในวังโดยตรงเพื่อพบกับจวงไทเฮา จะง่ายกว่ามากหากเขาใช้เจ้าตัวเล็กเป็นข้ออ้าง
เสี่ยวจิ้งคงคาดไม่ถึงว่าจะมีวันที่เขาถูกหลอกใช้งาน
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าอย่างจริงจังแบบเดียวกับที่กู้เจียวทำ “เอาสิ!”
เซียวลิ่วหลังหัวเราะ “เชื่อฟังดีจริง”
คนที่เซียวลิ่วหลังจะได้เข้าพบคือนางข้าหลวงจากสำนักข้าหลวงสตรี มาจากตระกูลจาง อายุอานามของนางนั้นเรียกได้ว่าเป็นแม่นมได้แล้ว หน้าที่ของนางคือคอยกำกับดูแลงานต่างๆ ในฝ่าย
ก่อนเซียวลิ่วหลังจะออกไป จี้จิ่วอาวุโสย้ำกับเขา “เจ้า…ลองไปถามไทเฮาก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยไปหานางข้าหลวงจาง”
ความหมายคือ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่ารบกวนเพื่อนเก่าคนนี้
เซียวลิวหลังเหลือบมองเขาอย่างแปลกประหลาด “หรือว่านางเป็น… ภรรยาของท่าน”
“เป็นไปได้ยังไง!” จี้จิ่วอาวุโสแทบกระโดดเมื่อถูกถาม “อย่าพูดไร้สาระน่า!”
แต่เขาและนางข้าหลวงจางเคยมีความลับอะไรบางอย่างกันจริงๆ เฮ้อ หวังว่านางจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ!
เซียวลิ่วหลังพาเสี่ยวจิ้งคงนั่งรถม้าเข้าวัง
เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกตื่นเต้นมาก ศีรษะเล็กๆ ของเขาสะบัดไปมาเช่นเดียวกับท่าทางที่มีความสุขของกู้เจียว
คนที่อยู่ด้วยกันมานาน มักจะค่อยๆ ซึมซับนิสัยใจคอของกันและกัน ราวกับว่า… เดิมทีพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน
รถม้าแล่นต่อไป แต่ทันใดนั้นการจราจรก็เริ่มช้าลงเมื่อผ่านศาลาว่าการจิงเจา
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” หลิวเฉวียนชะโงกหัวออกไปดู
บัณฑิตของกั๋วจื่อเจียนที่เดินผ่านมาแถวนั้นเอ่ยกับหลิวเฉวียน “ท่านยังไม่รู้รึว่ามีคนแก้หมากของท่านผู้อาวุโสเมิ่งได้แล้ว”
คนธรรมดาอาจไม่เข้าใจสิ่งนี้ แต่เหล่าบัณฑิตหรือผู้คงแก่เรียนเกือบร้อยทั้งร้อยต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับหมากรุกของผู้อาวุโสเมิ่ง
โดยด่านเฉียนและคุนคือสองด่านที่ยากที่สุดและยังไม่มีใครแก้ได้
โดยเฉพาะด่านเฉียนที่เรียกได้ว่าไม่เคยมีใครแก้มันได้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์
ด่านคุนเองก็เช่นกัน ก่อนหน้าไม่เคยมีใครแก้ได้
และไม่นานมานี้ ไท่จื่อเฟยนั้นสามารถแก้ด่านคุนได้
นางคือคนแรกของแคว้นทั้งหกที่ทำมันได้
จึงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของแคว้นเจายิ่งนัก
“ฝ่าบาทได้ส่งหนังสือไปยังแคว้นเยียนแล้วหรือ ข้าสงสัยว่าท่านอาวุโสเมิ่งจะตกใจกับข่าวนี้หรือไม่ บางทีเขาอาจจะแนะนำทักษะการเล่นหมากรุกของไท่จื่อเฟยเป็นการส่วนตัว…”
เซียวลิ่วหลังที่เปิดม่านรถออกได้ยินคำพูดทุกอย่าง
ท่ามกลางฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่ข้างหน้า ขอทานชราผู้หนึ่งส่ายหัวหลังจากเห็นเนื้อหาในประกาศของวัง “ไม่ ไม่ถูกต้อง”
“เกิดอะไรขึ้นรึตาเฒ่า”
ขอทานชรา “ข้อความในนี้บอกว่าด่านหมากนั้นถูกแก้ได้เมื่อกลางดึกของคืนก่อนใช่ไหม”
บัณฑิตเอ่ยถาม “ก็ใช่สิ ทำไมหรือ”
“เช่นนั้น นางมิใช่คนแรกที่แก้มันได้” ชายชราขอทานเอ่ย
บัณฑิตขมวดคิ้ว “เอ๊ะ ตาเฒ่า! เจ้ากินนอนได้ตามอำเภอใจเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถพูดตามอำเภอใจได้! เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าไท่จื่อเฟยไม่ใช่คนแรกล่ะ”
ขอทานชราเอ่ยตอบ “ก็เพราะว่ามีคนแก้ไปแล้วก่อนหน้านั้นน่ะสิ”