สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 322-3 ความจริงเปิดเผย (3)
บทที่ 322 ความจริงเปิดเผย (3)
“เจ้ามาทำอะไร” จวงไทเฮาพลิกเปิดหน้าบัญชี ถามอย่างไม่แยแส
“ผ่านมาพ่ะย่ะค่ะ” เซียวลิ่วหลังตอบ
สองคนนี้ทำราวกับว่าหากอธิบายออกไปสักประโยคคงขาดใจตายเอาได้ จึงไม่มีใครยอมเอ่ยปากพูดก่อน
“กระหม่อมขอทูลลา”
อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมากสินะ เขาแค่แวะมาเยี่ยมก็เท่านั้น
เขารู้มาตลอดว่าฮ่องเต้กับไทเฮานั้นไม่ลงรอยกัน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะฟาดฟันกันรุนแรงเช่นนั้น
จึงรู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
จวงไทเฮาเห็นเขาหันหลังกลับก็กระแอมในลำคอขึ้นมาก่อนจะเอ่ยปาก “เหตุใดถึงได้พูดแก้ต่างให้ข้า”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียเรียบ “ไม่มีเหตุผลหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมต้องแทนคุณฮ่องเต้อยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ขุนนางควรกระทำ”
ฉินกงกงที่แอบฟังอยู่ข้างนอกร้อนใจจนแทบอกแตกตาย เป็นสิ่งที่ขุนนางควรกระทำบ้าบออะไรกัน! พูดภาษาคนแล้วมันจะลวกปากหรืออย่างไร
โมโหจะตายอยู่แล้ว โมโหจะตายอยู่แล้ว!
ฮ่องเต้กับไทเฮาบาดหมางกันมาแรมปีเขายังไม่รู้สึกโมโหเช่นนี้ เพราะฮ่องเต้ยามเป็นหนุ่มนั้นก็น่าโมโหจริงๆ แต่เซียวลิ่วหลังนั้นทำทุกอย่างเพราะเป็นห่วงไทเฮา พวกเขาสองคนเข้าใจผิดกันเช่นนี้ ฉินกงกงปวดใจเหลือเกิน!
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นห่วงกันขนาดนั้น เหตุใดต้องอ้อมค้อมด้วยเล่า!
ตุบ!
แท่นฝนหมึกในมือของเซียวลิ่วหลังร่วงตกกระแทกพื้น เขาโน้มตัวลงไปเก็บ ทว่ากระเป๋าผ้าใบเล็กในอกกลับร่วงลงมาแทน
เมื่อเห็นกระเป๋าผ้าใบนั้น แววตาของจวงไทเฮาก็วูบไหว
นั่นคือของขวัญที่จวงไทเฮามอบให้เซียวลิ่วหลังในวันเกิดเมื่อวันสิ้นปี เสี่ยวจิ้งคงเองก็มีเหมือนกัน
ไทเฮาตั้งใจว่าจะปักรูปดอกกล้วยไม้ แต่ปักเสียน่าเกลียดจนเหมือนหญ้าฟาง จึงให้จี้จิ่วอาวุโสช่วยซ่อมให้ ปักใหม่กลายเป็นรูปทิวไผ่ แนวตะเข็บก็เพิ่มฝีเข็มให้ทนทาน
แต่สุดท้ายไม่นับว่าสวยงามสักเท่าไหร่
จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ของอัปลักษณ์เช่นนั้นเหตุใดจึงเก็บไว้ ไม่อายคนหรืออย่างไร เจ้าเป็นถึงขุนนางฮั่นหลินเชียวนะ”
เซียวลิ่วหลังไม่เอ่ยคำใด เขาเก็บกระเป๋าผ้าไว้ในอกเช่นเดิม มุ่งหน้าเดินออกไปนอกตำหนัก
กลับมา!
จวงไทเฮาอ้าปากพะงาบ แต่สุดท้ายคำพูดก็หยุดที่ริมฝีปาก
นางไม่ได้มีนิสัยแง่งอนอะไรปานนั้น ไม่จำเป็นต้องเจ้าคิดเจ้าแค้นเพราะเรื่องพรรค์นี้
แม้นางจะทำเรื่องเลวร้ายมามากมายก็เถอะ
นางโยนบัญชีในมือทิ้งด้วยความงุ่นง่าน อารมณ์เสียยิ่งนัก!
ทันใดนั้นเอง เซียวลิ่วหลังที่เดินลับไปแล้วก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
เขากลับมาไวเกินไป จวงไทเฮายังไม่ทันได้เก็บแววตาหงุดหงิด
เขาสูดหายใจลึก ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “เหตุใดถึงมีข้าคนเดียวที่ไม่มี”
“หืม” จวงไทเฮาชะงักไป
เซียวลิ่วหลังกำมือแน่น ใบหน้าแดงก่ำ ทว่ายังคงทำใจกล้าถามออกไป “เหตุใดถึงมีข้าคนเดียวที่ไม่มีป้ายผ่านทาง”
เหตุใดตำหนักเหรินโซ่วถึงไม่เตรียมของสิ่งนั้นไว้ให้เขา
…ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ
น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย ทว่าแววตานั้นแฝงไปด้วยความน้อยใจ
จวงไทเฮารู้สึกผิดขึ้นมา
แววตาตัดพ้อนั้นทำเอานางปวดใจไปหมด
นางหลุบตาลง เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้านึกว่า…เจ้าไม่ต้องการเสียอีก”
“เหตุใดข้าจะไม่ต้องการ…”
ยังไม่ทันได้พูดจบ เซียวลิ่วหลังก็ชะงักไป
‘ข้านึกว่าเจ้าไม่ต้องเสียอีก’
ประโยคนั้นความหมายล้ำลึก
เซียวลิ่วหลังของท่านย่าไม่มีวันไม่ต้องการ แต่หากเป็นเซียวเหิงคงไม่คิดเช่นนั้น
จวงไทเฮารู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
ทั้งยังจำเรื่องที่ตนเอง ‘วางยา’ เซียวเหิงได้แล้ว แล้วก็รู้ว่าเซียวเหิงนั้นเคียดแค้นและเกลียดชังนางมาตลอด อยากจะอยู่ให้ไกลนางที่สุด
“ท่านไม่เคยคิด…” จะถามข้าเลยหรือ
“ข้าเคยคิด แต่ข้า…กลัว” จวงไทเฮาแทบจะต้องใช้ความกล้าและศักดิ์ศรีที่มีทั้งหมดในชีวิต ถึงจะกล้าเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกมา
เพราะว่าเป็นห่วงเหลือเกิน จึงกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ นางจึงปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะถูกปฏิเสธเสียก่อน
นางยอมรับครหานับหมื่นนับพันครั้ง ยังดีเสียกว่าต้องพูดความในใจออกไป
นางหยิ่งในศักดิ์ศรีมากเท่าไหร่ ก็ปากแข็งมากเท่านั้น
ทว่าแววตาตัดพ้อของเซียวลิ่วหลังนั้น ทำลายความหยิ่งทะนงที่นางสั่งสมมากว่าหลายสิบปีจนหมดสิ้น
“ไม่ได้ไม่อยากได้เสียหน่อย” เซียวหลิ่วหลังผินหน้าไปอีกทางพลางเอ่ย น้ำเสียงทั้งน้อยใจทั้งแง่งอน
เขาเองก็เป็นคนปากแข็งคนหนึ่งเหมือนกัน
เขาก็อายเกินกว่าจะพูดออกไปเหมือนกัน
แถมเขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง
เอาเป็นว่ายังเป็นเด็กในสายตาผู้ใหญ่
จวงไทเฮาจับจ้องไปที่เขา แววตาเป็นประกาย “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เปล่า!” เซียวลิ่วหลังเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขายังไม่ทันเดินออกไปจากตำหนักเหรินโซ่ว ฉินกงกงก็ตามมาในทันใด ก่อนเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “เซียวซิวจ้วน โปรดรอก่อนขอรับ! ท่านลืมของอย่างหนึ่ง!”
เซียวลิ่วหลัง “ข้าไม่ได้ลืม”
ฉินกงกง “มีขอรับ มีขอรับ! ได้โปรดตามมารับกับข้าด้วยเถิดขอรับ!”
เซียวลิ่วหลังถูกฉินกงกงพาตัวไปที่ตำหนักปีกข้างของตำหนักเหรินโซ่ว
ฉินกงกงผลักเปิดประตู พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เชิญขอรับ”
เซียวลิ่วหลังก้าวเข้าไป
ตำหนักปีกข้างอันโอ่โถง ทอดสายตามองออกไปมีแต่ชั้นหนังสือเต็มไปหมด บนชั้นมีหนังสือตำราโบราณวางเรียงราย
ทว่าริมหน้าต่างที่แสงอาทิตย์สาดส่องนั้น มีโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่งตั้งอยู่ สี่อัญมณีแห่งห้องหนังสือ ได้แก่ กระดาษ พู่กัน หมึก แท่นฝนหมึก ส่งกลิ่นอ่อนๆ ของน้ำหมึกออกมา ตรงกลางโต๊ะมีกล่องบุผ้าใบหนึ่งวางอยู่
ฉินกงกงคว้ากล่องบุผ้าไหมนั้นขึ้นมา “ให้ท่านขอรับ”
เซียวลิ่วหลังเปิดออก ก็พบว่าภายในนั้นมีป้ายเข้าออกตำหนักเหรินโซ่ววางอยู่
ฉินกงกงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ไทเฮาเตรียมไว้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่นำออกมาเสียที แล้วก็ตำหนักปีกข้างแห่งนี้ ไทเฮาก็ให้คนมาต่อเติม ตอนแรกข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดไทเฮาถึงได้ต่อเติมเป็นหอสมุดเช่นนี้ วันนี้ถึงได้เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด”
คนอื่นอาจจะได้ห้องเล็กๆ หรือไม่ก็เรือนเล็กหลังหนึ่ง แต่เขากลับได้หอสมุดใหญ่โตแห่งนี้
เซียวลิ่วหลังแทบไม่เชื่อสายตา ไม่รู้จะเอ่ยคำใด
เขาไม่ได้สงสัยว่าฉินกงกงจะพูดโกหก เพราะแม้ป้ายผ่านทางจะทำใหม่ตอนนี้ได้ แต่หอสมุดนั้นไม่สามารถสร้างเสร็จได้ในทันที กลิ่นสีน้ำมันที่เพิ่งทาหมาดๆ ยังส่งกลิ่นแรงอยู่เลย
เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับนกน้อยไร้เดียงสา
และวินาทีนั้นเอง ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเขาก็มลายหายไป เหลือเพียงความใสซื่อและความแง่งอนของเด็กน้อยคนหนึ่ง
เขาที่ถูกบังคับให้เติบใหญ่อย่างไร้ทางเลือก พอถูกเอาอกเอาใจเหมือนกลับไปเป็นเด็กน้อยอีกครั้งก็รู้สึกโชคดีและดีใจเหลือเกิน
“เซียวซิวจ้วน” ฉินกงกงหาห่อผ้ามาใส่กล่องบุผ้าไหมและแท่นฝนหมึก พอหันกลับมาก็เห็นเซียวลิ่วหลังยืนนิ่งตกตะลึง เขาโบกมือไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย “ท่านไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ขอรับ”
“ไม่ได้ดีใจเสียหน่อย” เซียวลิ่วหลังพูดด้วยสีหน้าดังเดิม คว้าห่อผ้าก่อนจะเดินออกไป
ฉินกงกงได้แต่มึนงง “…”
มือข้างหนึ่งของเซียวลิ่วหลังกำไม้เท้า อีกข้างหนึ่งหอบกล่องบุผ้าไหม เดินสับขาออกจากตำหนักเหรินโซ่วได้ครึ่งทาง นางกำนัลและเหล่าขันทีในตำหนักเหรินโซ่วก็พากันมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เหตุใดถึงอยู่ในสภาพดูไม่ได้เช่นนั้น แถมยังเดินเหินเหมือนคนไม่สมประกอบอีก
เดิมทีเซียวลิ่วหลังเดินออกมาจากตำหนักเหรินโซ่วแล้ว แต่เขากลับหยุดฝีเท้าลงแล้วเลี้ยวกลับเข้าไปใหม่
เขายืนอยู่หน้าห้องหนังสือของจวงไทเฮา
ทว่าไม่ได้เข้าไป
จวงไทเฮาถามอย่างไม่แยแส “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้าขนลุก”
เหอะ ที่พูดไปเมื่อครู่นางก็ขายหน้ามากพอแล้ว นางคงโดนผีสิงเข้าให้ถึงได้พ่ายแพ้แววตาตัดพ้อน้อยใจของเจ้าหนูคนนี้
หากให้โอกาสนางอีกครั้ง นางจะง้างมีดแทงอกเขาสักร้อยหน แต่ไม่มีทางยอมรับว่าตนเองกลัวจะถูกเขาปฏิเสธ
เซียวลิ่วหลังเม้มปากแน่น ชะโงกหัวจากด้านนอกเข้า ก่อนจะฟ้องด้วยน้ำเสียงแสนดื้อรั้น “ท่านย่า ราชครูจวงรังแกข้า!”
พูดจบก็เผ่นแนบออกไป!
เอาเถอะ เป็นครั้งแรกที่เขาทำตัวเป็นเด็กเช่นนี้ รู้สึกอายชะมัด จนลืมไปแล้วว่าตัวเองขาเป๋ พอเริ่มวิ่งก็หน้าคว่ำ กลิ้งหลุนๆ ตกบันไดลงมา นอนแอ้งแม้งอยู่กลางพื้นหญ้า!
ทุกคน “…”
เขาไม่กล้าสู้หน้าใครอีกแล้ว
หากไม่สังเกตคงไม่เห็นว่ามุมปากของจวงไทเฮายกยิ้มขึ้น ทว่าพริบตาเดียวสีหน้าก็กลับมาเย็นชาดังเดิม ตามมาด้วยน้ำเสียงแสนน่าเกรงขามที่ดังขึ้น “เรียกตัวราชครูจวงมา!”