สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 325-2 ตบหน้า (2)
บทที่ 325 ตบหน้า (2)
ราชครูจวงกลับไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เขาปล่อยม่านลง ให้รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเย็นชา
ราชครูจวงโมโหเซียวลิ่วหลังมาก ด้วยเหตุนี้พอกลับไปถึงจวนแล้วโทสะก็ยังไม่คลายลงสักนิด
“นายท่าน” ผู้ดูแลยกกาน้ำชามาให้ เขาทราบเรื่องราวจากคนขับรถแล้ว จึงปลอบ “ท่านระงับโทสะด้วย ท่านต่างหากที่เป็นญาติบ้านเดิมของไทเฮา เซียวลิ่วหลังนั่นก็แค่อาศัยบุญคุณช่วยชีวิตไทเฮามาข่มขู่เท่านั้นเอง ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องตกอยู่ในเงื้อมมือท่านแน่นอน”
เว้นเสียแต่ว่าชั่วชีวิตนี้เซียวลิ่วหลังจะไม่เข้าคณะเสนาบดี มิฉะนั้นแล้วเขาก็ต้องตกสู่เงื้อมมือของราชครูจวงแน่นอน
ราชครูจวงกัดฟันเอ่ย “หากเป็นแค่อ้างบุญคุณมาข่มขู่แค่นั้นก็แล้วไปเถอะ…”
แต่ไทเฮาให้ท้ายไอ้เด็กนั่นขึ้นมาจริงๆ น่ะสิ
ผู้ดูแลไม่รู้รายละเอียดในเรื่องนี้ นึกว่าไทเฮาแค่โดนหลอกชั่วคราวเท่านั้น เขาจึงปลอบต่อ “ท่านอย่าโมโหไปเลย อีกเดี๋ยวนัดราชเลขาหยวนเอาไว้มิใช่หรือ ใบที่บันทึกวันเดือนปีเกิดเอาไปให้คนดูแล้ว จวิ้นอ๋องกับคุณหนูตระกูลหยวนดวงสมพงศ์กัน!”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ราชครูจวงจึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลงมาหน่อย
โชคดีที่ไทเฮาจุ้นจ้านเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ไม่ได้มาจุ้นเรื่องแต่งงานของเหิงเอ๋อร์ว่าต้องแต่งกับใคร
มีการแต่งงานกับตระกูลหยวนในครานี้ สถานะของตระกูลจวงในราชสำนักก็ยิ่งมั่นคงขึ้นกว่าเดิม!
ราชครูจวงดื่มชาคำหนึ่งแล้วเอ่ย “ข้าจำได้ว่าราชเลขาหยวนให้ข้าพาเหิงเอ๋อร์ไปด้วย ให้เขาได้เห็นหน้าค่าตาหน่อย อีกเดี๋ยวเจ้าไปสำนักฮั่นหลิน บอกให้เหิงเอ๋อร์เลิกงานแล้วไม่ต้องกลับจวน ให้ตรงไปหอชิงเฟิงเลย”
ผู้ดูแลขานรับ “ขอรับ!”
ที่แคว้นเจานั้น ใบบันทึกวันเดือนปีเกิดของคู่หมั้นเป็นการดูตัวในขั้นแรก หากดวงสมพงศ์กันก็จะเริ่มคุยเรื่องแต่งงานอย่างเป็นทางการ แต่ราชเลขาหยวนรักหลานสาวมาก รับปากว่าให้นางดูแค่แวบเดียว หากท่าทางเป็นคนดีก็จะตกลงแต่งงานด้วยทันที
ราชครูจวงมั่นใจเต็มร้อยกับรูปลักษณ์หน้าตาของหลานชายตัวเอง จึงไม่ห่วงว่าตระกูลหยวนจะไม่เหลียวแล
ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งงานครานี้ใช้ความเห็นของราชเลขาหยวนเป็นหลัก การปล่อยให้หลานสาวไปดูเป็นการประนีประนอมสุดท้ายในฐานะท่านปู่ นางจะถูกใจหรือไม่นั้นราชเลขาหยวนล้วนส่งเสริมให้เกิดการแต่งงานครานี้ขึ้นอยู่ดี
ทว่าสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเลยก็คือพอตกเย็นผู้ดูแลหอชิงเฟิงให้คนขับรถมาส่งข่าวว่าราชเลขาหยวนระงับการดูตัวแต่เพียงเท่านี้!
“ว่าอย่างไรนะ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ราชครูจวงลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้
คนขับรถเอ่ยเสียงสั่น “ขะ..ข้าน้อยไม่ทราบ! ผู้ดูแลไม่ได้พูดอะไรอีก มะ…เหมือนว่า…จะสำคัญทีเดียว ไม่สู้ท่านไปเองดีกว่า…”
ผู้ดูแลไม่ได้พูดอะไรต่อ แน่นอนว่าย่อมไม่สะดวกจะพูด หรือจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น
ราชครูจวงรีบไปหอชิงเฟิงทันที ราชเลขาหยวนกำลังเดินออกมาจากหอชิงเฟิงด้วยสีหน้าเย็นชาพอดี
ราชครูจวงประสานมือให้ในฐานะเพื่อนร่วมงาน ก่อนเอ่ยทักทายอย่างเกรงใจ “ราชเลขาหยวน”
“เฮอะ!” ราชเลขาหยวนถลึงตาใส่ราชครูจวงอย่างเย็นชา “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตระกูลจวงที่สูงส่งจะเลี้ยงลูกหลานที่ใช้วิธีการสกปรกโสมมเช่นนี้! เมื่อก่อนข้ามันตาถั่วเอง! ส่วนราชครูจวงก็เก็บกวาดร่องรอบได้อย่างหมดจดเสียจริง!”
ราชครูจวงมึนงงไปหมด
นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะ
เหตุใดจึงลากเอาคำว่าสกปรกโสมมไปเชื่อมกับตาถั่วเสียได้
แต่ราชเลขาหยวนกลับคร้านจะสนใจเขา สาวเท้าขึ้นรถม้าจากไปทันที
“จวิ้นอ๋องอยู่ที่ไหน” ราชครูจวงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ยะ…อยู่ข้างบนขอรับ!” คนขับรถพาราชครูจวงขึ้นไปชั้นสอง
ชั้นสองถูกผู้ดูแลเชิญลูกค้าออกไปจนหมด เหลือเพียงคนที่เกี่ยวข้องเอาไว้
เมื่อราชครูจวงมาถึงห้องปีกข้างที่นัดหมายไว้ ก็เจอเข้ากับคนที่ไม่ได้คาดคิดไว้เข้า
“ท่านเหล่าโหวกู้” ราชครูจวงขมวดคิ้ว
ท่านเหล่าโหวก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน เขาขึ้นมาจากบันไดอีกฝั่งหนึ่ง
ทั้งสองพบกันโดยบังเอิญ สีหน้าของท่านเหล่าโหวก็ไม่ค่อยจะดีเช่นกัน
ราชครูจวงกำลังจะเข้าห้องกลับถูกท่านเหล่าโหวชิงตัดหน้าไปก้าวหนึ่ง
ราชครูจวงขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม
ราชเลขาหยวนสะบัดหน้าหนีเขาไม่ต้องพูดถึง เหตุใดแม้แต่ท่านโหวที่เกษียณไปแล้วก็ยังหน้าบูดหน้าบึ้งใส่เขาอีกเล่า
ราชครูที่มีอำนาจล้นฟ้าอย่างเขามันเปล่าประโยชน์หรือไร
เพียงไม่นานราชครูจวงก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดท่านเหล่าโหวจึงได้ทำเช่นนั้น
ภายในห้องเละเทะไปหมด อันจวิ้นอ๋องคุกเข่ากับพื้นทั้งเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ต้นขาเขาย้อมด้วยเลือดสดๆ กริชเปื้อนเลือดเล่มหนึ่งถูกโยนลงกับพื้นอย่างเดียวดาย
ส่วนข้างๆ เขามีกู้จิ่นอวี๋ที่ตัวสั่นงันงกขดตัวอยู่ กู้จิ่นอวี๋ห่อด้วยผ้าห่มทั่วร่าง พลางร้องห่มร้องไห้
“เดรัจฉาน!”
ท่านเหล่าโหวเดินไปหาแล้วฟาดแส้ใส่ร่างอันจวิ้นอ๋องทันที
อันจวิ้นอ๋องไม่ได้หลบ เขารับแส้นั้นไว้ทั้งอย่างนั้น เสื้อผ้าฉีกขาด เนื้อหน้าอกปริแตก
“หยุดเดี๋ยวนี้!” ราชครูจวงตวาดขึ้น
ทว่าไม่เป็นผล อันจวิ้นอ๋องโดนฟาดอีกแส้ อันจวิ้นอ๋องเป็นคนมีฝีมือการต่อสู้อยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ยอดฝีมือ ท่านเหล่าโหวฟาดแส้จนเห็นกระดูก แค่ไม่กี่ทีก็ทำเอาอันจวิ้นอ๋องฟุบอยู่กับพื้นกระอักเลือดออกมาแล้ว!
“กู้เฉาเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” ราชครูจวงพุ่งไปขวางหน้าอันจวิ้นอ๋องไว้ มองไปยังท่านเหล่าโหวอย่างเดือดดาล “ใต้ฝ่าพระบาทเช่นนี้เจ้าจะฆ่าคนหรือไร! มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จาสิ!”
ท่านโหวอาวุตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่างพลางเอ่ย “ค่อยๆ พูดอย่างนั้นรึ หลานชายตัวดีของเจ้าทำให้ชื่อเสียงของคุณหนูจวนโหวของข้าต้องแปดเปื้อน หากข้าให้คนทำเช่นนี้กับลูกสาวตระกูลจวงของเจ้า เจ้าจะค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากับข้าหรือไม่”
ราชครูจวงมองอันจวิ้นอ๋องที่อาการร่อแร่เต็มที แล้วมองไปยังสตรีที่ห่อผ้าห่มไว้แน่นร้องห่มร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษาต่อ ก่อนจะกำหมัดแน่นถามผู้ดูแล “เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
เรื่องนี้คงต้องเริ่มจากที่อันจวิ้นอ๋องไปตามนัด
พออันจวิ้นอ๋องเลิกงานแล้ว ก็ไปหอชิงเฟิงกับผู้ดูแลจวนจวง รอคนตระกูลหยวนที่ห้องปีกข้างที่นัดหมายไว้
ราชเลขาหยวนเจอเข้ากับขุนนางในคณะเสนาบดีคนหนึ่งตรงชั้นล่างของหอชิงเฟิงพอดี จึงได้พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง หยวนเป่าหลินจึงขึ้นมาชั้นบนก่อน
ทว่าใครจะคิดว่าอันจวิ้นอ๋องจะให้คนรับใช้วางยาหยวนเป่าหลิน หยวนเป่าหลินผลักหน้าต่างกระโดดหนี อันจวิ้นอ๋องยังไม่หมดฤทธิ์ยา คุณหนูตระกูลกู้เดินผ่านหน้าห้องมาพอดี อันจวิ้นอ๋องจึงคว้าคุณหนูตระกูลกู้เข้ามา…ล่วงเกิน
แค่ล่วงเกินเท่านั้น ไม่ได้ข่มขืน ทว่าก็เพียงพอจะทำให้ชื่อเสียงและเกียรติยศของสตรีนางหนึ่งป่นปี้ได้ ซ้ำยังสูญเสียความบริสุทธิ์ไปด้วย
สิ่งที่เรียกว่าความโชคร้ายไม่เคยมาโดยลำพังเป็นอย่างไรให้มาดูที่เขานี่
ราชครูจวงสงสัยว่าวันนี้ตัวเองออกบ้านลืมพลิกปฏิทินหรือไร มิฉะนั้นตลอดทั้งวันมานี้จะโชคร้ายเช่นนี้หรือ
“เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในแน่!” ราชครูจวงเชื่อมั่นในนิสัยใจคอของหลานชายของตัวเอง “เหิงเอ๋อร์เขาไม่มีทางทำเรื่องพรรค์นี้!”
ท่านเหล่าโหวตวาดลั่น “เขาเป็นหลานชายเจ้าเจ้าย่อมเข้าข้างเขาอยู่แล้ว! แต่สิ่งที่เห็นกับตาคือเรื่องจริง คุณหนูจวนโหวของข้าอยู่ดีๆ ก็มาโดนเดรัจฉานตระกูลจวงของพวกเจ้าข่มเหงเสียแล้ว!!”
ท่านเหล่าโหวรักเอ็นดูกู้จิ่นอวี๋หรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่มีคนมารังแกถึงจวนติ้งอันโหวนั้นก็เป็นอีกเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้วันนี้คนที่โดนรังแกไม่ใช่กู้จิ่นอวี๋ แต่เป็นลูกสาวบ้านอื่น เขาก็จะถือแส้ฟาดอันจวิ้นอ๋องสักยกอยู่ดี
ช่างระยำนัก
ท่านเหล่าโหวข่มโทสะครานี้ไม่ลง
ราชครูจวงก็เช่นกัน
อยู่ดีไม่ว่าการแต่งงานก็มาล่มเช่นนี้แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องล่วงเกินราชเลขาหยวน แต่ดันลากจวนติ้งอันโหวเข้ามาเกี่ยวด้วยอีก
เขาพยายามข่มโทสะเอาไว้ ประสานมือเอ่ยกับท่านเหล่าโหวอย่างอดทนกับความอัปยศ “ขอท่านเหล่าโหวโปรดอย่าร้อนใจไป ข้าขอเวลาสักนิดให้ข้าได้ตรวจสอบความจริง ไม่ว่าสุดท้ายความจริงจะเป็นเช่นไร ข้าจะรับผิดชอบต่อจวนติ้งอันโหวแน่นอน!”
หลังจากที่ท่านเหล่าโหวพากู้จิ่นอวี๋จากไป ผู้ดูแลก็พยุงอันจวิ้นอ๋องไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วฉีกชายเสื้อไปพันขาที่ได้รับบาดเจ็บของอันจวิ้นอ๋อง
ราชครูจวงดวงตาแทบจะมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา เขากำหมัดจนเกิดเสียง เส้นเอ็นตรงหน้าผากเต้นตุบๆ “ผู้ดูแล ตอนที่จวิ้นอ๋องเกิดเรื่องเจ้าอยู่ที่ไหน เจ้าให้เหิงเอ๋อร์อยู่ในห้องสองต่อสองกับคุณหนูตระกูลหยวนได้อย่างไร”
ผู้ดูแลตัวสั่นเทิ้ม
อันจวิ้นอ๋องสีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากซีดไร้สีเลือดอ้าเผยออ้าออกเล็กน้อย “ข้าเป็นคนให้ผู้ดูแลไปเร่งอาหารที่ครัวเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ดูแล”
“อย่างนั้นรึ” ดวงตาคมกริบของราชครูจวงตกลงบนหน้าของผู้ดูแล
ผู้ดูแลก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
เขาไม่ได้ถูกอันจวิ้นอ๋องใช้ให้ออกไป แต่ถูกอีกคนเรียกให้ไปต่างหาก
ทว่าคนผู้นั้นเขาพูดถึงไม่ได้
เขารับปากอันจวิ้นอ๋องไปแล้ว
เขามองอันจวิ้นอ๋องเงียบๆ อันจวิ้นอ๋องเสียเลือดมากเกินไป ร่างกายโงนเงนคล้ายจะล้มลง เขาใช้แรงที่เหลือเอ่ย “หลานผิดเอง หลานดูออกว่าคุณหนูหยวนไม่ได้ถูกใจหลาน จึงได้วางแผนนี้ขึ้น กะว่าจะทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก บีบคั้นให้คุณหนูจำต้องแต่งกับหลาน”
ราชครูจวงไม่เชื่อ “แล้วยาของเจ้ามันมาจากไหน อย่าบอกข้านะว่าหอชิงเฟิงมีขาย!” คงไม่ได้พบว่านางไม่มีใจแล้วไปซื้อยามาเดี๋ยวนั้นได้หรอกกระมัง ทำแบบนั้นมันทันที่ไหน!
อันจวิ้นอ๋องเอ่ยเสียงอ่อนระโหย “ซื้อไว้แต่แรกแล้ว เตรียมไว้เผื่อได้ใช้”
ราชครูจวงโมโหทันใด “จวงอวี้เหิง!”