สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 329 สมรสพระราชทาน (1)
บทที่ 329 สมรสพระราชทาน (1)
จิ้งไท่เฟยส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง “เอาละ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ควรกลับได้แล้ว ต่อไปนี้ฝ่าบาทอย่าเอะอะอะไรก็รับข้าเข้าวังอีกล่ะ มันผิดธรรมเนียม ในเมื่อข้าออกบวชแล้วก็ต้องอยู่ที่สำนักชีตลอดชีวิต ใช้ชีวิตอย่างสันโดษกับพุทธศาสนา”
ฮ่องเต้เอ่ย “เสด็จแม่จะไหว้พระ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เราจะสร้างสำนักชีให้เสด็จแม่ในวังหลวง ต่อไปนี้เสด็จแม่ก็ไหว้พระในวัง แบบนี้ก็สะดวกเราไปดูแลเสด็จแม่ด้วย”
จิ้งไท่เฟยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางคว้ามือฮ่องเต้ไว้ ก่อนเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด “อย่าทำเช่นนั้นเด็ดขาด!”
ฮ่องเต้ตบหลังมือจิ้งไท่เฟยเบาๆ “เราตัดสินใจแล้ว ก่อนย้ายสำนักชี เสด็จแม่ก็พักอยู่ในตำหนักหวาชิงให้สบายใจเถิด ไม่มีใครมาทำร้ายเสด็จแม่ได้ คนผู้นั้นแห่งตำหนักเหรินโซ่วก็เช่นกัน!”
“หงเอ๋อร์!” จิ้งไท่เฟยร้อนใจขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าจะเรียกพระนามของพระองค์แทน
อันที่จริงก็เป็นข้อห้ามใหญ่หลวง ในวังหลวงแห่งนี้คนที่มีสิทธิเรียกพระนามได้มีแค่จวงไทเฮาคนเดียว
ฮ่องเต้ย่อมไม่ถือสาเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พระองค์กับจิ้งไท่เฟยสายใยแม่ลูกลึกซึ้ง ในใจพระองค์จิ้งไท่เฟยไม่ต่างอะไรกับมารดาผู้ให้กำเนิด ไม่ว่ากฎจะเป็นอย่างไร พระองค์ก็ยังเป็นโอรสของจิ้งไท่เฟยอยู่ดี จิ้งไท่เฟยจึงมีสิทธิ์เรียกพระองค์ว่าหงเอ๋อร์
พระองค์กุมมือจิ้งไท่เฟยไว้ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง “เราน่าจะรับเสด็จแม่กลับมาตั้งแต่แรก เราอดทนคราแล้วคราเล่ากลับได้มาซึ่งความกำรำเริบเสิบสานของตำหนักเหรินโซ่วที่หนักข้อขึ้น ยามนี้ตำหนักเหรินโซ่วโอหังถึงขั้นทำร้ายเสด็จแม่แล้ว ในเมื่อเสด็จแม่อยู่นอกวังไม่ปลอดภัย เช่นนั้นก็ย้ายกลับมาอย่างโจ่งแจ้งไปเลยดีกว่า! เราจะทุ่มสุดชีวิตปกป้องเสด็จแม่เอง!”
การประชุมเช้าวันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ก็ประกาศสองเรื่องใหญ่ เรื่องแรกคือการแต่งงานระหว่างอันจวิ้นอ๋องจวงอวี้เหิงกับคุณหนูจวนติ้งอันโหวกู้จิ่นอวี๋ เรื่องที่สองคือเรื่องสร้างสำนักชีส่วนพระองค์ให้จิ้งไท่เฟยในวังหลวงและย้ายจิ้งไท่เฟยกลับวัง
สองเรื่องนี้ไม่ว่าเรื่องไหนล้วนเป็นเรื่องน่าตกใจทั้งสิ้น กู้จิ่นอวี๋ไม่คู่ควรกับจวงอวี้เหิงอย่างเห็นได้ชัด ทว่าจิ้งไท่เฟยกลับวังหลวงก็ไม่ถูกธรรมเนียมอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน ท้องพระโรงพลันโกลาหล
จวงไทเฮาโมโหไม่น้อย นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้จวงอวี้เหิงกับกู้จิ่นอวี๋แต่งงานกัน ใช้ส้นเท้าคิดยังเดาได้เลยว่ากู้เฉาตาเฒ่านั่นเป็นคนไปขอร้องต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ให้กรุณา
กู้เฉาช่างกล้านัก นึกไม่ถึงว่าจะเอาเรื่องนี้ไปร้องขอฝ่าบาท!
จวงไทเฮาร้อนใจจนอยู่ไม่สุข!
ดูจากท่านเหล่าโหวแล้ว จวงไทเฮาควรร้อนใจมิใช่หรือ คนที่ทำผิดคืออันจวิ้นอ๋อง ไม่ใช่กู้จิ่นอวี๋เสียหน่อย กู้จิ่นอวี๋เป็นเพียงผู้ถูกกระทำเท่านั้น
ท่านเหล่าโหวดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงในเรื่องบางเรื่อง อวดดีอวดเก่งเกินไป ทว่าในเรื่องนี้กลับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งเสียยิ่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปอีก
หากเป็นคนอื่น หลานสาวที่บ้านถูกคนล่วงเกินทำลายชื่อเสียงไปก็คงจะขายไม่ออกอีกแล้ว คงแทบจะให้อีกฝ่ายรับหลานสาวตัวเองไปเสียเดี๋ยวนั้น ต่อให้ไปเป็นอนุก็ยอม
แต่นี้ท่านเหล่าโหวดันไม่
กายตรงไม่กลัวเงาเอียง ไม่ได้ทำอะไรผิดเหตุใดต้องกลัว!
เมื่อผู้ถูกกระทำทวงคืนความเป็นธรรม ผู้กระทำก็ต้องรับผิดชอบ!
ราชครูจวงเดินออกจากแถว ถือแผ่นไม้ฮู่ปั่นเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนัก ขอฝ่าบาทถอนคำสั่งด้วย!”
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เอ่ยด้วยสายตาเป็นประกายน่าเกรงขาม “ราชครูจวงหมายถึงเรื่องใดที่ไม่เหมาะสมรึ เรื่องสมรสพระราชทานให้หลานชายเจ้าไม่เหมาะ หรือว่าเรื่องสร้างสำนักชีให้จิ้งไท่เฟยไม่เหมาะกันล่ะ”
ราชครูจวงปรายตามองจวงไทเฮาที่อยู่หลังม่าน ก่อนเรียกกำลังใจเอ่ย “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทได้หารือกับไทเฮาก่อนแล้วหรือไม่”
ฮ่องเต้ยิ้มจางๆ ก่อนจะถากถาง “แม้แต่ราชโองการสมรสพระราชทานกับการสร้างสำนักชีเรายังต้องไปรายงานไทเฮาให้ได้รับการเห็นชอบจากไทเฮาเป็นคนแรกก่อนอีกหรือ…เราไม่รู้จริงๆ ว่าแผ่นดินแคว้นเจาแห่งนี้เปลี่ยนเป็นของแซ่จวงตั้งแต่เมื่อใด”
ราชครูจวงสีหน้าพลันเปลี่ยน เขาถือฮู่ปั่นคุกเข่าลง “กระหม่อมหาได้มีเจตนาเช่นนี้ไม่ ขอฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจ!”
พวกขุนนางใหญ่สีหน้าพลันเปลี่ยน
แม้ว่านี่จะเป็นความจริงที่แผ่นดินแคว้นเจาครึ่งหนึ่งอยู่ในมือจวงไทเฮา ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้
ฮ่องเต้ลากฉากบังหน้าสุดท้ายของราชวงศ์ลงมาแล้ว
พระองค์คิดจะทำอะไรกัน
แตกหักกับจวงไทเฮาจนถึงที่สุดอย่างนั้นหรือ
ขุนนางทั้งบู๊ทั้งบุ๋นยืนอยู่ในตำหนักจินหลวนอันอึมครึมตึงเครียด จู่ๆ ก็มีฝนฟ้าตั้งเค้ามา
ฮ่องเต้กลับแย้มยิ้มสบายอุรา ก่อนทอดมองจวงไทเฮาที่นั่งฟังการประชุมอยู่หลังม่านซึ่งอยู่สูงกว่าตัวเองไปเล็กน้อย สายตามองลอดม่านไข่มุกเข้าไปตกลงบนเงาร่างของไทเฮา “ที่แท้เราไม่หารือกับเสด็จแม่ ไม่มีแม้แต่อำนาจออกราชโองการสมรสพระราชทานหรืออำนาจสร้างสำนักชี เสด็จแม่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกันหรือ”
จวงไทเฮาไม่สนใจเขา ทำเพียงนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น
ฮ่องเต้หัวเราะ ไม่ได้บีบเอาคำตอบจากนางให้ได้ ฮ่องเต้หันหน้าไปมองราชครูจวงที่คุกเข่าอยู่ในท้องพระโรง รอยยิ้มค่อยๆ แข็งค้าง “เหตุใดเราต้องมอบสมรสพระราชทานให้จวงอวี้เหิงกับคุณหนูกู้ ราชครูจวงรู้แจ้งแก่ใจ หรือว่าราชครูจวงไม่ถือสาให้เราป่าวประกาศเบื้องหลังของการสมรสพระราชทานแก่ทุกคนฟังได้”
ราชครูจวงใจกระตุก
หากป่าวประกาศแก่ทุกคนจะไม่ทำให้ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลายและผู้คนทั้งแผ่นดินรู้ว่าจวงอวี้เหิงไร้คุณธรรมหรือไร
ถึงเวลานั้นชื่อเสียงอันดีงามของจวงอวี้เหิงที่มีมาเกือบยี่สิบปีก็คงป่นปี้ภายในวันเดียว
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถยืนอยู่บนหอคอยงาช้างได้อย่างฉาวโฉ่ ในบรรดาแคว้นทั้งหกมีเพียงเซียวผิงโหวที่เป็นข้อยกเว้น จวงอวี้เหิงยังคงต้องมีเกียรติอยู่ อีกนัยคือตระกูลจวงยังต้องการรักษาเกียรติอยู่
ยามนี้ฮ่องเต้ยังไม่ได้เปิดโปงโจ่งแจ้ง แต่ขุนนางทั้งหลายก็เริ่มกระซิบกระซาบกันแล้ว แม้แต่ราชครูจวงยังรู้สึกว่าสายตาที่พวกเขามองมายังตนเปลี่ยนไปแล้ว
ราชครูจวงไม่กล้ามีความเห็นต่าง เขาโขกศีรษะเอ่ยด้วยความเจ็บใจและอัปยศ “กระหม่อม…ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
หลังจากเลิกประชุมแล้ว ราชครูจวงก็มาขวางเกี้ยวหงส์ของจวงไทเฮาไว้
เขาเดินอ้อมมาด้านหน้าเกี้ยวหงส์ สายตาถลึงมองจวงไทเฮาที่อยู่หลังม่านผืนบาง “เหตุใดไทเฮาไม่ห้ามฝ่าบาทเล่า หรือไทเฮาก็จะมองดูเหิงเอ๋อร์สู่ขอกู้จิ่นอวี๋สตรีชื่อเสียงฉาวโฉ่นางนั้นมาเป็นภรรยาโดยไม่ทำอะไรเลย”
เมื่อเทียบกันแล้ว จิ้งไท่เฟยจะกลับหรือไม่กลับวังไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่จวงไทเฮากังวลเลย ก็แค่ไท่เฟยที่ไร้อำนาจคนหนึ่งเท่านั้น หมากตัวใหญ่ได้วางไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจถูกแต่งตั้งเป็นไทเฮาอีกคนได้อีก
จวงไทเฮาบนเกี้ยวหงส์ไม่ได้เอ่ยคำใด
ราชครูจวงสีหน้าปั่นป่วน
ฉินกงกงคำนับให้จวงไทเฮาเล็กน้อย “เคลื่อนขบวน…”
เกี้ยวหงส์ของจวงไทเฮาจากไปแล้ว
เมื่อกลับมาถึงตำหนักเหรินโซ่วแล้ว เกี้ยวหงส์ก็หยุดนิ่ง ฉินกงกงยื่นมือออกไป
จวงไทเฮาจับแขนเขาพยุงตัวลงจากเกี้ยว
เขาพยุงจวงไทเฮาไปห้องบรรทม เดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “ไทเฮากำลังเตือนตระกูลจวงอยู่ใช่หรือไม่ ข้าจำได้ว่าไทเฮาเคยพูดกับราชครูจวงว่าใต้ฟ้านี้เป็นของตระกูลฉิน แผ่นดินคือแผ่นดินของตระกูลฉิน ไม่ใช่ตระกูลจวง เรื่องในวันนี้ทำให้ราชครูจวงได้สัมผัสกับตัวเองในจุดนี้”
“เฮอะ” จวงไทเฮาแค่นเสียงเย็น
ฉินกงกงชะงัก เขาชินกับน้ำเสียงต่างๆ ของจวงไทเฮาแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่กำลังหัวเราะเยาะที่เขาพูดผิดอยู่ เขาเบิกตาโต “หรือว่าจะไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดท่านจึงไม่พูดอะไรเลยเล่า”
จวงไทเฮาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจียวเจียวให้ข้าใช้คอให้น้อยๆ”
ฉินกงกง “…”
นี่มัน นี่มัน?!
…
ไม่ถึงวันเรื่องการแต่งงานของกู้จิ่นอวี๋กับอันจวิ้นอ๋องลือจนทั่วเมืองหลวงว่านางจะต้องแต่งงานกับอันจวิ้นอ๋องแล้ว
“เป็นอนุหรือ หรือว่าเช่อเฟยกันแน่”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น! ได้ยินว่าเป็นพระชายานะ! ภายหน้าจะจัดพิธีใหญ่โต ใช้เกี้ยวแปดคนหามหามนางกลับตระกูลจวงเลย!”
พวกบัณฑิตในสำนักบัณฑิตสตรีต่างตกตะลึง
แน่นอนว่าอิจฉากันแทบแย่ด้วย
กู้จิ่นอวี๋มีชื่อเสียงในเมืองหลวงไม่เลวมาแต่ไหนแต่ไร แต่ต่อมานางทำผิดคราแล้วคราเล่า แรกเริ่มตัวตนที่แท้จริงของนางถูกเปิดโปง จากนั้นนางก็แอบอ้างคุณูปการและแก้ไขเครื่องสูบลมมั่วซั่วทำให้กรมโยธาเสียหายหนัก ยิ่งไปกว่านั้นเห็นว่าเครื่องสูบลมไม่ใช่นางเป็นคนประดิษฐ์เลยสักนิด นางแอบอ้างคุณูปการของคนอื่นมา
สรุปก็คือชื่อเสียงนางเหม็นหึ่งไปหมดแล้ว นางไม่ได้ไปสำนักบัณฑิตสตรีมาหลายเดือนแล้ว
ทุกคนต่างพากันคาดเดาว่านางคงไม่มีหน้าออกมาพบปะใคร
แต่ไม่คิดว่ามาได้ยินข่าวอีกหนจะเป็นเรื่องที่นางจะได้แต่งกับอันจวิ้นอ๋องไปเป็นพระชายา
ก่อนที่จอหงวนคนใหม่จะปรากฏตัว อันจวิ้นอ๋องเป็นชายหนุ่มในฝันที่สตรีทั้งเมืองหลวงใฝ่ฝัน ยามนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น อย่างไรเสียจอหงวนคนใหม่ก็มีเจ้าของแล้ว แต่อันจวิ้นอ๋องยังเป็นของพวกนาง
ไม่ว่าอันจวิ้นอ๋องจะแต่งใครมาเป็นจวิ้นอ๋องเฟยล้วนถูกกำหนดให้เป็นศัตรูของบรรดาคุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวง และกู้จิ่นอวี๋ก็เป็นผู้รับชะตากรรมนั้น
สตรีไร้คุณธรรมเช่นนี้จะไปคู่ควรกับอันจวิ้นอ๋องผู้มีความสามารถอนาคตไกลได้อย่างไร
สวรรค์ตาบอดแล้วกระมัง!
ทว่าพวกนางจะด่าทอกู้จิ่นอวี๋อย่างไร กู้จิ่นอวี๋ก็ยังเป็นสตรีที่พวกนางอิจฉากันอยู่ดี