สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 331 มองออก (1)
บทที่ 331 มองออก (1)
ยามค่ำคืน กู้เจียวนั่งอยู่ในห้อง จดบันทึกระดับพลังและข้อเสียของอาวุธลับแต่ละประเภทที่ทำจากดินปืน ไม่ทันรู้ตัวท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว
ก๊อกก๊อกก๊อก
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ลอยมา กู้เจียวนวดคลึงลำคอที่เมื่อยล้า เหลียวไปมองประตูห้องที่แง้มไว้ “ประตูเปิดอยู่ เข้ามาเถิด”
เซียวลิ่วหลังผลักประตู เดินเข้ามาพร้อมกับถั่วเขียวต้มถ้วยหนึ่ง
เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านาง แล้ววางถั่วเขียวต้มไว้บนโต๊ะเบื้องหน้า
กู้เจียวมองมองดูถั่วเขียวต้มถ้วยหนึ่งที่ผ่านการแช่แข็งจากน้ำในบ่อ ก็พลันเอียงคอด้วยความสงสัย
แต่ก่อนล้วนแต่เป็นนางที่ทำเรื่องพวกนี้ วันนี้ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางฝั่งตะวันตกแล้วกระมัง เขาถึงกลายเป็นคนยกมาให้นางแทน
เอ่อ ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว
ตอนที่นางปวดท้องระดู เขาก็เคยต้มน้ำตาลแดงมาให้นาง
แต่วันนี้นางไม่ได้ปวดท้อง ไม่ได้มีรอบเดือน จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงคอยประคบประหงมนางขนาดนี้
เซียวลิ่วหลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามนาง สีหน้าสงบนิ่งพลางเอ่ย “เมื่อครู่จิ้งคงรบเร้าจะกินถั่วเขียวต้มให้ได้ ก็เลยต้มเยอะหน่อย แล้วก็ทำมาเผื่อเจ้าถ้วยหนึ่ง”
‘พี่เขยทำอะไรอยู่หรือ’
‘เคี่ยวถั่วเขียวต้ม’
‘ข้าไม่กินหรอกนะ’
‘เจียวเจียวอยากกิน’
‘อืม ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอสักถ้วย’
ภาพยามพูดคุยกับเสี่ยวจิ้งคงแวบเข้ามาในหัว เซียวลิ่วหลังกระแอมเบาๆ
กู้เจียวไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าสีหน้าของใครบางคนมีพิรุธ นางลงมือกิน ยกถ้วยถั่วเขียวต้มขึ้นมา ก่อนจะตักเข้าปาก “อืม หวานดี
เซียวลิ่วหลังทำอะไรก็ไม่อร่อยสักอย่าง มีเพียงถั่วเขียวต้มอย่างเดียวเท่านั้นที่พอไว้ใจได้ แต่ท่าทางตื่นเต้นของนางนั้นเหนือความคาดหมายของเขามาก
เซียวลิ่วหลังถามอย่างอดไม่ได้ “อร่อยขนาดนั้นจริงๆ หรือ”
“ใช่!” กู้เจียวตักขึ้นมาหนึ่งช้อนก่อนจะป้อนจ่อที่ริมฝีปากของเขาอย่างไร้ความเขินอาย
เซียวลิ่วหลังชะงักไปเล็กน้อย แววตาของนางนั้นแสนจริงใจ ใบหน้าแสนใสซื่อ ไม่มีความหมายอื่นแอบแฝงแน่นอน เป็นเขาเองที่คิดไปไกล เพิ่มเติมเสริมแต่งความหมายที่ไม่มีอยู่จริงไว้มากมาย
ลูกกระเดือกของเซียวลิ่วหลังขยับขึ้นลง ใบหน้าค่อยๆ โน้มลงมา ก่อนจะรับช้อนเข้าปาก กินถั่วเขียวต้มลงไป
“หวานไหม” กู้เจียวถาม
“หวาน” เขามองนาง ไม่รู้ว่าที่บอกว่าหวานคือน้ำแกง หรือว่าตัวนางกันแน่
“ข้าก็ว่าอย่างนั้นเช่นกัน” กู้เจียวใช้ช้อนที่เขาใช้งานมาแล้วกินต้มเขียวต่อ
ยามมองดูนางใช้ช้อนเข้าปาก แววตาของเซียวลิ่วหลังก็ยิ่งลึกซึ้ง
“อยากกินอีกหรือ” กู้เจียวเห็นแววตาโชติช่วงของเขา ก่อนจะเลื่อนถั่วเขียวต้มไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“อยากกิน…” พูดออกไปได้เพียงครึ่ง เซียวลิ่วหลังก็พลันได้สติกลับมา ผีเข้าแล้วกระมัง! เมื่อครู่เกือบพูดอะไรออกไปแล้ว!
โชคดีที่ยั้งไว้ได้ทัน
เหงื่อเย็นผุดซึมเย็นไปทั้งร่าง
กู้เจียวเอียงคอมองเขา “อยากกินข้ามากกว่าหรือ”
“แค่กแค่ก!” เซียวลิ่วหลังสำลักในทันใด!
ใบหน้านั้นแดงแจ๋ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำลัก หรือเพราะเขินกันแน่
ว่ากันตามตรง แม่นางตรงไปตรงมาเช่นนี้จะดีหรือ
“อืม” กู้เจียวยกถ้วยกลับ แล้วตักถั่วเขียวต้มขึ้นมาหนึ่งช้อน “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
แววตาของเซียวลิ่วหลังไหววูบ
“แต่ร่างกายนี้ยังเป็นเด็ก เจ้ารอข้าโตกว่านี้อีกหน่อยนะ” นางเอ่ยเสียงจริงจัง พอพูดจบ ก็เหมือนกลัวว่ารอจนหมดความอดทน จึงเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค “ข้าน่ะอร่อยมากเลยนะ!”
เสียงระเบิดดังสะท้านไปทั่วทั้งหัวของเซียวลิ่วหลัง ราวกับจู่ๆ ก็มีดอกไม้ไฟผลิบานกลางท้องฟ้ายามราตรี หัวใจเต้นถี่รัวตึกตัก แม้แต่หายใจยังไม่เป็นจังหวะ
หัวใจวายตายได้จริงๆ…
หญิงผู้นี้รู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไร
แน่นอนว่ากู้เจียวรู้อยู่แล้ว แต่อ่อยคนไม่ต้องเสียเงินสักหน่อย ใช่ไหมล่ะ
ใครบางคนอ่อยเสร็จก็หันไปกินถั่วเขียวต้มต่ออย่างไม่แยแส
เซียวลิ่วหลัง “…”
กู้เจียวซดไม่หยุด กินได้ครึ่งหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมา “ยาสมุนไพรของข้า…”
“เก็บแล้ว” เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก ข่มความว้าวุ่นในจิตใจ เขาตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไปจะไม่พูดจาล่อแหลมกับหญิงผู้นี้อีกเป็นอันขาด
ชอบอ่อยแล้วเฉไฉ นางน่ะไม่เป็นอะไร แต่เขาน่ะทรมาน..
“อืม” กู้เจียวกินต่อ “ชิงช้าของจิ้งคง…”
“ซ่อมเสร็จแล้ว” เซียวลิ่วหลังจอบ
กู้เจียว “กล่องของจิ้งคง”
เซียวลิ่วหลัง “เก็บเรียบร้อยแล้ว”
กู้เจียว “ตะกร้าของท่านป้าหลิว”
เซียวลิ่วหลัง “เอาไปคืนแล้ว”
กู้เจียว “ไข่เป็ดเค็มที่ตาเฒ่าจ้าวอยากได้”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “เอาไปให้แล้ว”
เมื่อวานนางลืมกำชับอวี้หยาร์กับแม่นมฝางให้จัดการเรื่องพวกนี้ให้ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะละเอียดอ่อน ใส่ใจทุกขั้นตอนเช่นนี้ ไม่ต้องพูดสักคำก็จัดการเรียบร้อยแล้ว
กู้เจียวใช้มือเท้าแก้มมองเขา ดวงตาเป็นประกาย ราวกับมีดาวนับพันดวงอยู่ข้างใน “สามีข้า เจ้าช่างดีเหลือเกิน”
เจ้าก็ดีเหมือนกัน
เซียวลิ่วหลังลอบพึมพำอยู่ในใจ
กู้เจียวกินถั่วเขียวต้มต่อ
สายตาของเซียวลิ่วหลังหยุดอยู่ที่ถุงผ้าแพรปักดิ้นทองที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาเอ่ยถาม “นี่อะไรรึ”
กู้เจียวตอบ “กลีบดอกไม้น่ะ เก็บมาจากสวนหลวง ทำข้าวเกรียบดอกไม้แล้วเหลือนิดหน่อย ข้าเลยเอากลับมาทำดอกไม้แห้ง”
เซียวลิ่วหลังเคยเห็นนางทำดอกไม้แห้ง พอจะรู้ขั้นตอนการทำอยู่บ้าง เขาเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปหยิบกระจาดมาให้”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า
เซียวลิ่วยืนขึ้นแล้วเดินออกไป กู้เจียวเคยชินกับการทำอะไรคนเดียว นานๆ ทีข้างกายจะมีใครสักคนทำอะไรไปพร้อมกับนาง ก็รู้สึกดีไม่เลวแฮะ
เซียวลิ่วหลังถือกระจาดเดินเข้ามา เขาเปิดถุงผ้าแพรปักดิ้นทองและเทกลีบดอกไม้ที่อยู่ภายในออกมา ทว่ากลับได้ยินเสียงกุกกัก เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งของมีน้ำหนักตกลงมา
เซียวลิ่วหลิวมองหาท่ามกลางกองกลีบดอกไม้ ก่อนจะเห็นป้ายหยกแผ่นหนึ่ง พลางถามด้วยความสงสัย “นี่คืออะไรรึ”
เขากำลังจะถามว่านี่คือป้ายหยกที่ท่านย่ามอบให้นางหรือ คำพูดมาจ่ออยู่ปากแล้วก็พลันสังเกตเห็นว่าป้ายหยกนี้แตกหักมีตำหนิ หญิงชราไม่มีทางมอบของเช่นนี้ให้กู้เจียว ยิ่งหยกพันคิมหันต์ที่ราคาตีค่าไม่ได้เช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่
กู้เจียวไม่รู้จักหยกพันคิมหันต์ รู้เพียงแค่ว่าป้ายหยกนี้งดงามเหลือเกิด แต่น่าเสียดายที่บิ่นแตกไปมุมหนึ่ง
นางส่ายหน้า “ท่านไม่ได้บอกว่าให้อะไรมา ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน อาจจะเผลอหยิบใส่ถุงผ้าแพรมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้”
เผลออย่างนั้นหรือ
หยกพันคิมหันต์ก้อนหนึ่งจะถูกหยิบใส่ถุงผ้าแพรโดยไม่ทันระวังอย่างนั้นรึ
แทบจะไม่มีทางเป็นได้เลยด้วยซ้ำ อย่างไรเสียตำหนักเหรินโซ่วเองก็มีสมบัติมากมาย…
เซียวลิ่วหลังชะงักไป “เจ้าเป็นคนเอากลีบดอกไม้พวกนี้ใส่ถุงด้วยตัวเองหรือ”
“เปล่า” กู้เจียวส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น “เฟ่ยชุ่ยน่ะ”
“เฟ่ยชุ่ยคือผู้ใด” เซียวลิ่วหลังถาม เขาไม่ได้ไปที่ตำหนักเหรินโซ่วบ่อยนัก จึงไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่
กู้เจียวร้องอ๋อก่อนจะเอ่ย “เป็นนางกำนัลคนหนึ่งของตำหนักเหรินโซ่ว ทำอะไรคล่องแคล่ว เป็นคนมีไหวพริบ ปรนนิบัติใกล้ชิดท่านย่า หน้าที่หลักคือจัดการเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องประดับของจวงไทเฮา ไม่รู้ว่านางเผลอหยิบของของท่านย่าใส่เข้ามาในถุงหรือเปล่า คราวหน้าข้าเอาไปคืนให้นางเอง”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไปเอง” เซียวลิ่วหลับลูบหยกพันคิมหันต์ก้อนนั้นก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “วันพรุ่งนี้ ข้าต้องเข้าวังไปสอนหนังสือให้ไท่จื่อพอดี”
กู้เจียวขานตอบ “ก็ได้”
วันต่อมา เซียวลิ่วหลังเข้าวังเพื่อถวายการสอนวิชาคำนวณให้แก่ไท่จื่อ
วันนี้เขาจะไม่เคี่ยวเข็ญไท่จื่อ พอถึงเวลาก็ปล่อยให้ไท่จื่อเลิกเรียนได้
ไท่จื่อมึนงงไปน้อย ทำไมวันนี้เจ้าหมอนี่ถึงได้มีเมตตา ไม่สอนเขาลากยาว
“เจ้ามาไม้ไหนอีก” ไท่จื่อถามเสียงเย็น
เซียวลิ่วหลังหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากตำราสอนหนังสือแล้วยื่นให้ไท่จื่อ “หากไท่จื่อรู้สึกว่ากระหม่อมใจดีกับพระองค์เกินไป เช่นนั้นก็แก้โจทย์เหล่านี้ให้เสร็จ แล้วคราวหน้ากระหม่อมจะมาตรวจ”
ไท่จื่อมองโจทย์ที่จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาเป็นตั้ง มุมปากกระตุกจนแทบจะเป็นลมชัก
ทำไมเขาถึงปากมากถามเช่นนั้นออกไป