สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 332-2 เลิกเข้าใจผิด (2)
บทที่ 332 เลิกเข้าใจผิด (2)
ในป่าไม่ไกลออกไปนัก เงาตะคุ่มของกลุ่มคนได้ปรากฏขึ้น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ภายในห้องอันมืดมิด มืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วตัวเอง
หนึ่งในเงามืดได้เอ่ยขึ้น “เรียนนายท่าน ทางนั้นมีองครักษ์ฝีมือดีคอยติดตามตลอดทาง ข้าน้อยมิอาจลงมือได้ขอรับ”
ส่วนเงาดำอีกร่างหนึ่งยื่นมือออกแล้วโบกปัด “ออกไปซะ”
วันรุ่งขึ้น เป็นวันหยุดของเซียวลิ่วหลัง ส่วนชั้นเรียนของเสี่ยวจิ้งคงเองก็หยุดเช่นกัน
เนื่องจากเซียวลิ่วหลังกลับมาดึก เช้านี้เขาตื่นสายเล็กน้อย ส่วนเสี่ยวจิ้งคงตื่นแล้ว และไปที่สวนหลังบ้านเพื่อรดน้ำ
เมื่อเซียวลิ่วหลังแต่งตัวและมาที่ลานหลังเรือน เขาก็ประหลาดใจเมื่อเจอกับเซวียนผิงโหวและติ้งอันโหว
เซวียนผิงโหวต้องการจะให้เสี่ยวจิ้งคงเป็นลูกศิษย์ของเขา เขาเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบใดที่เขายอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ เขาจะสามารถสืบเรื่องในตรอกอย่างเปิดเผยได้ อีกทั้งเขายังสามารถสืบเรื่องของเซียวลิ่วหลังและใช้โอกาสนี้เข้าถึงลูกสะใภ้ได้อีกด้วย
และก็บังเอิญที่ติ้งอันโหวเองก็อยากรับเสี่ยวจิ้งคงมาเป็นศิษย์เหมือนกัน
อันที่จริง เมื่อคืนวานเขาไม่ได้กลับไปที่จวน เขาเป็นลมล้มพับไปเพราะความตื่นตระหนก จึงถือโอกาสนี้ถ่วงเวลาอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยต่อ
หลังจากตื่นขึ้นเขารู้แล้วว่าเด็กคนนั้นเป็นเชื้อสายของเขาและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเซวียนผิงโหว เหตุผลที่ เซวียนผิงโหวปรากฏตัวที่นี่เพียงเพราะเขาชอบใจเสี่ยวจิ้งคงและต้องการให้เขามาเป็นลูกศิษย์
หากเป็นแต่ก่อน ติ้งอันโหวคงไม่กล้าแข่งขันกับเซวียนผิงโหว ทว่าเรื่องนี้เป็นข้อเดิมพันว่าเขาจะอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยแห่งนี้ได้หรือไม่
เขาคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แม่นางเหยากำลังตั้งครรภ์ นางไม่ต้องการกลับไปที่จวนโหว ดังนั้นเขาจะอยู่กับนางชั่วคราว
ทุกอย่างจะถูกวางแผนหลังจากทารกเกิด
เพื่อศรีภรรยาและลูกของเขา เขายอมทำทุกอย่าง!
ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นระดับเซวียนผิงโหวก็ตาม เขาก็มิอาจถอยได้!
สองมือของเซวียนผิงโหวซ่อนไว้ในแขนเสื้อ อากาศร้อนเช่นนี้ยังใส่แขนยาวออกมาอีก ดูน่าเกรงขามไม่น้อย จากนั้นจึงเอ่ยกับเสี่ยวจิ้งคงด้วยท่าทีสบายๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องยึดหลักยุติธรรม ดูกันว่าใครเหนือกว่าใคร เจ้าเณรน้อย ว่าอย่างไรล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะตัดสินใจตอบกลับ “เอาสิ เอาสิ!”
จากนั้นเขาก็ไปหยิบไพ่ใบเล็กมาสองใบ เขียนคำลงไป จากนั้นย้ายม้านั่งตัวเล็กๆ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้น้อยนั้นอย่างน่าเอ็นดูแล้วเริ่มรับชมการประลอง
ท่านโหวกู้เอ่ยถามอย่างเย็นชา “เซวียนผิงโหวจะประลองอะไรกับข้า”
“หน้าตาอย่างไรเล่า” เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
ท่านโหวกู้ในตอนนี้ “…”
มันจะไร้ยางอายเกินไปหน่อยไหม
เสี่ยวจิ้งคงหยิบไพ่ฝั่งขวาชูขึ้นกลางอากาศ “หัวข้อนี้เซวียนผิงโหวชนะไป!”
เห็นๆ อยู่ว่าพ่อของพี่เขยตัวแสบหน้าตาหล่อเหลากว่าพ่อของเจียวเจียว
แต่คนที่หน้าตาดีที่สุดสำหรับเขาก็คือเจียวเจียวแค่คนเดียวเท่านั้น!
ท่านโหวกู้แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ
“แข่งท่องกลอนสิ!” คราวนี้ถึงตาท่านโหวกู้เสนอขึ้นบ้าง
เซวียนผิงโหว “…”
บ้าจริง!
ไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรือ!
แม้ระดับภาษาของท่านโหวกู้จะไม่ลึกซึ้งนัก แต่ก็ยังดีกว่าเซวียนผิงโหว
เสี่ยวจิ้งคงทดสอบพวกเขาด้วยกลอนห้าบท ท่านโหวกู้ท่องได้สองบท ขณะที่เซวียนผิงโหวแม้แต่ประโยคเดียวก็ยังท่องไม่ได้
“หัวข้อนี้ ท่านโหวกู้ชนะไป!” เสี่ยวจิ้งคงยกไพ่ฝั่งซ้ายขึ้น
แต่หลังจากนี้ ท่านโหวกู้อาจไม่โชคดีอีกต่อไป เพราะจุดด้อยของเซวียนผิงโหวมีอยู่เรื่องเดียวก็คือด้านความรู้ภาษา
พอเป็นหัวข้อวิทยายุทธ์ แม้เซวียนผิงโหวร่างกายจะยังไม่สู้ดีนัก
แต่ท้ายที่สุดท่านโหวกู้ยังแพ้ให้เขาราบคาบ!
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุด ท่านโหวกู้ก็ยอมแพ้และนั่งทอดกายลงด้วยความอ่อนล้า
“สุดยอด สุดยอด สุดยอด!” เสี่ยวจิ้งคงที่นั่งชมอยู่ก็ออกปากชมพร้อมกับปรบมือให้พวกเขา
เซวียนผิงโหวยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีภูมิใจ “เอาละ ข้าชนะแล้ว เจ้ามาศิษย์ข้าได้แล้ว”
เสี่ยวจิ้งคงเอียงศีรษะและเอ่ยอย่างจริงจัง “แต่ข้ามีอาจารย์แล้ว! ข้าไม่มิอาจมีอาจารย์คนที่สองได้! ศิษย์ที่ดี ต้องไม่ไหว้ครูคนที่สอง!”
เดี๋ยวนะ ประโยคนี้มันคือภรรยาที่ดีต้องไม่มีชายคนที่สองมิใช่หรือ
เซวียนผิงโหวเลิกคิ้วคมของเขาขึ้นเพราะอดสงสัยไม่ได้
บางทีอาจเพราะเขาไม่ใช่คนคงแก่เรียนอาจทำให้เขาเข้าใจอะไรผิดไป
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่าเขาโดนเจ้าเด็กนี่หลอกอีกแล้ว!
เซวียนผิงโหวกัดฟันกรอด “ในเมื่อเจ้าไม่อยากได้อาจารย์ แล้วเมื่อกี้จะแสดงท่าทางตื่นเต้นทำไมกันเล่า”
เสี่ยวจิ้งคงยักไหล่แบมือสองข้าง “ข้าแค่มาดูพวกท่านสู้กัน ไม่ได้บอกเลยว่าพอพวกท่านสู้กันจบแล้วข้าจะเลือกใครเป็นอาจารย์นี่นา!”
เซวียนผิงโหวกัดฟันแน่นจนปวดฟันไปหมด!
เจ้าเณรน้อยนี่มันกวนดีนักนะ!
เจ้าเด็กบ้า คิดจะสู้กับเขารึ รอไปอีกห้าร้อยปีเถอะ!
เขาตะคอกอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนใจเรื่องนี้ เจ้าต้องตกลง และต่อให้เจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็ต้องยอมรับอยู่ดี ฉังจิ่ง!”
จากนั้นฉังจิ่งก็รีบเข้าไปคว้าร่างเสี่ยวจิ้งคงพาดไหล่
“ไอ้หยา พวกท่านจะทำอะไรน่ะ!”
“ก็ลากตัวเจ้าไปไง” เซวียนผิงโหวเอ่ยอย่างภาคภูมิ
ไป ไปคารวะอาจารย์ปู่ของเจ้ากัน!
“ไอ้หยา ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา!”
ต่อให้เสี่ยวจิ้งคงพยายามพะงึมพะงำสวดมนต์สวดคาถาต่างๆ ก็ไม่อาจะให้ฉังจิ่งปล่อยเขาลงได้อยู่ดี!
วันนี้ที่สำนักชิงเหอมีเรียน กู้เหยี่ยนจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือน ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นก็แอบโดดเรียนวิชาศิลปะของอาจารย์หลู่และหนานเซียง
โรคขี้เกียจกำเริบอีกแล้ว
ในแง่หนึ่ง เขาไม่ได้มีความสนใจและความทะเยอทะยานมากนัก และในทางกลับกัน มันเป็นความจริงที่ร่างกายของเขาแย่กว่าคนทั่วไป การนั่งรถม้าในฤดูร้อนทำให้เขาเบื่อเหลือทน
เขาเดินกลับอย่างสบาย ๆ และภายในไม่กี่ก้าว มีชายชราผู้สูงวัยแต่แข็งแรงและร่าเริง เดินมาหาเขา
“บังเอิญจริง” ชายชรายิ้มให้เขา
“อ๋อ บังเอิญจริงด้วย” กู้เหยี่ยนรู้ว่าเขาคือใคร เขาก็คือกู้เฉา ปู่ของเขา
พอได้ออกมาข้างนอกแปปเดียวก็ดันเจอคนรู้จักเสียแล้ว
เขาอายุเพียงสี่ขวบเมื่อตอนที่ปู่ของเขาออกจากเมืองหลวงและเขาไม่ได้เห็นเขาอีกสิบเอ็ดปี ท่านเหล่าโหวจึงคิดว่าหลานคนนี้จะจำหน้าเขาไม่ได้เสียแล้ว
ในความเป็นจริง กู้เหยี่ยนจำไม่ได้หรอก แต่ใบหน้าของลูกหลานตระกูลนี้ช่างเป็นเอกลักษณ์เสียเหลือเกิน พวกเขามีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันจึงดูได้ไม่ยากนัก
นอกจากนี้ กู้เหยี่ยนพบว่าตราบใดที่ท่านเหล่าโหวอยู่ใกล้ๆ องครักษ์ที่ของเขาก็จะคอยอยู่ห่างๆ
แม้กู้เหยี่ยนจะไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่เขาเป็นคนช่างสังเกตและละเอียดละออมาก
ท่านเหล่าโหวอยากเจอหน้าหลาน แต่ก็กลัวเสียหน้า จึงทำได้แค่ใช้วิธีเดินผ่านมาเท่านั้น
เขาคิดว่ากู้เหยี่ยนคงจำเขาไม่ได้
“วันนี้ไม่ไปเรียนศิลปะรึ” ท่านเหล่าโหวเอ่ยถาม
“อากาศร้อนไป” กู้เหยี่ยนเอ่ย “ท่านมาหาหลานอีกแล้วรึ”
ท่านโหวกู้เอ่ยตอบเขินๆ “เอ่อ ก็ใช่สิ”
กู้เหยี่ยนถามลองเชิง “แล้วท่านเจอหลานของท่านแล้วหรือยัง”
ท่านเหล่าโหวมองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้า พลางยิ้มแห้งๆ ให้ “เจอแล้ว”
“อ้อ” กู้เหยี่ยนเลิกคิ้ว “วันนี้จะไปกินหมี่เย็นไหม”
ท่านเหล่าโหวนิ่งอึ้งไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบ “ไปสิ ไป!”
กู้เหยี่ยนจำได้ว่าท่านเหล่าโหวชอบกินมันมาก
เท่าที่กู้เหยี่ยนจำความได้ ท่านเหล่าโหวดีกับเขาและแม่นางเหยา ขนาดตอนที่พวกเขาย้ายออกไป ท่านเหล่าโหวก็ยังจัดองครักษ์สองนายไว้ตามคุ้มกันพวกเขา
มีหลายครั้งที่เขาเกิดป่วยกะทันหันกลางดึก หากไม่ใช่เพราะองครักษ์ของเขามาเห็นก่อนป่านนี้เขาคงตายไปนานแล้ว
หลังจากทั้งสองทานหมี่เย็นเสร็จ กู้เหยี่ยนจึงเอ่ยขึ้น “ครั้งที่แล้วท่านเลี้ยงข้าวข้า ครั้งนี้ขอให้ข้าได้เลี้ยงท่านเป็นการตอบแทนบ้าง!
ท่านเหล่าโหวเอ่ยตอบ “ไม่ต้องหรอก”
กู้เหยี่ยนโบกมือปัด “ไม่เป็นไรหรอก แม้ข้าจะมีเงินไม่เยอะ แต่ข้าก็พอมีบ้างจากการทำงาน หมี่เย็นแค่นี้ข้าเลี้ยงท่านได้สบายๆ น่า”
ท่านเหล่าโหวขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินคำพูดหลานชายของเขาถูกลดบทบาทลงจนถึงจุดที่เขาทำงานเป็นกรรมกรรายวันเพื่อหารายได้แล้วงั้นรึ
เจ้าบ้านั่น เป็นพ่อประสาอะไร
ไม่ได้ให้ค่าขนมลูกชายตัวเองบ้างหรือยังไง!
“แล้วพ่อเจ้าล่ะ” ท่านเหล่าโหวเอ่ยถาม
กู้เหยี่ยนถอนหายใจ “เขาบังคับให้ข้าย้ายกลับไปที่จวนทุกวัน ข้าไม่อยากย้ายกลับ ก็เลยตัดเงินรายเดือนของข้า ท่านก็น่าจะรู้อยู่ว่าข้าน่ะเป็นเด็กเกิดก่อนกำหนด ร่างกายอ่อนแอ ซ้ำยังป่วยเป็นโรคหัวใจ พี่สาวของข้าทำงานหนักมากเพื่อเลี้ยงดูข้า”
ที่แท้แม่หนูคนนั้นทำงานในโรงหมอก็เพื่อหารายได้เลี้ยงดูเขาอย่างนั้นรึ
ที่ผ่านมาเขามองนางผิดไปจริงๆ