สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 334 เปิดโปง (1)
บทที่ 334 เปิดโปง (1)
เหตุใดถึงเป็น…นางไปได้เล่า
กู้ฉังชิงแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “นาง…ต้องการลอบทำร้ายเจียวเจียว…แล้วเรื่องของจวนหยวนไซว่กับจวนโหวเล่า”
แน่นอนว่าจี้จิ่วอาวุโสรู้เรื่องนี้ดี เพราะตอนที่กู้ฉังชิงหนีออกจากห้องสำเร็จโทษมาเพื่อดูแลกู้เหยี่ยนนั้นเองก็มีจี้จิ่วอาวุโสนี่แหละที่ช่วยพาเข้าเรือน
“แม้เรื่องนั้นจะไร้ซึ่งหลักฐาน แต่ดูจากเจตนาแล้วก็น่าจะเป็นนางที่อยู่เบื้องหลัง เพราะนอกจากนางแล้วก็ไม่น่าจะมีใครที่อยากเห็นฝ่าบาทและจวงไทเฮาสมานฉันท์อย่างแน่นอน”
ต่อให้พวกตระกูลจวงนึกอยากจะครองบัลลังก์อยู่ฝ่ายเดียว และต่อให้ความสัมพันธ์ของไทเฮาและฝ่าบาทจะดีขึ้น นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร กลับกันเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ อย่างไรตระกูลจวงก็ยังได้ผลประโยชน์อยู่ดี
เพียงแต่ที่ผ่านมาฝ่าบาทไม่เคยตกหลุมพรางของพวกตระกูลจวงก็เท่านั้นเอง
จี้จิ่วอาวุโสยังคงเอ่ยต่อ “ข้าเดาว่านางยังคงติดใจกับตำแหน่งของไทเฮา นางอยากขึ้นเป็นไทเฮา และอยากกำจัดจวงไทเฮาออกไป เพียงแต่ นางซ่อนตัวอย่างดี ต่อให้นางจะลงมืออย่างไร ก็คงไม่มีใครคิดสงสัยนางอยู่ดี”
มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวกู้ฉังชิง เขากำหมัดแน่น แววตาแฝงไปด้วยความเย็นชา
“ช่วงนี้นางคงพุ่งเป้ามาที่ลิ่วหลังแล้วล่ะ” จี้จิ่วอาวุโสคาดเดา และตัดสินใจเล่าเรื่องป้ายหยกให้ทั้งสองฟัง “อีกทั้ง…เรื่องที่ท่านโหวน้อยถูกวางยา ข้าสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของนางด้วย”
คราวนี้เป็นกู้เจียวที่แววตาเริ่มเย็นชา
จี้จิ่วอาวุโสพอเห็นท่าทีของพวกเขาราวกับจะบุกเข้าวังก็รีบเอ่ยห้าม “พวกเจ้า อย่าเพิ่งใจร้อน จะบุกเข้าวังไปฆ่าคนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด! ที่นั่นมีทหารลับของฮ่องเต้คนก่อน พวกเจ้าสู้พวกนั้นไม่ไหวหรอก มีแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บตัวเปล่าๆ อีกทั้งต่อให้เจ้ากำจัดพวกเขาได้ ไม่มีทางที่ฮ่องเต้จะไม่ลงโทษพวกเจ้า”
กู้ฉังชิงรีบสวนกลับ “แล้วจะปล่อยให้คนแบบนั้นลอยนวลหรือท่าน”
จี้จิ่วอาวุโสหัวเราะเย้ยหยัน “ถ้าจะเล่นงานคนแบบนั้น คงต้องหาวิธีใหม่ๆ มาจัดการ!”
“แล้ววิธีใหม่ๆ ที่ว่าเป็นอย่างไรเล่า” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม
จี้จิ่วอาวุโสยิ้มกรุ่มกริ่ม “ก็ต้องใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งน่ะสิ!”
หนามยอกเอาหนามบ่ง พูดง่ายแต่ทำอย่างเหลือเกิน
โดยเฉพาะคนที่ซ่อนตัวมิดชิดอย่างนาง แม้แต่จี้จิ่วอาวุโสยังไม่คาดถึง
แน่นอนว่าคนอย่างจี้จิ่วอาวุโสอาวุโสไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ ต่อให้นางมีวิชาเหนือกว่าหรือมีตำแหน่งสูงกว่า แต่เรื่องความเพียรและความฉลาดเป็นกรดแน่นอนว่าไม่มีใครเหนือไปกว่าเขาแน่ๆ !
ชีวิตคนเราก็เหมือนละครฉากหนึ่ง ก็เล่นไปตามทำนองก็แล้วกัน!
กู้เจียวหยิบตะกร้าคู่ใจขึ้นมา
“ดึกป่านนี้จะออกไปไหนรึ” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยทัก
“ข้าจะไปหาท่านย่า” กู้เจียวเอ่ยหน้านิ่ง
“วางตะกร้าลงเสีย” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ย
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะยอมวางตะกร้าลง
“หยิบกริชของเจ้าออกมา”
และแล้วกู้เจียวหยิบกริชเหล็กสีดำออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ
“อีกสามด้ามล่ะ”
กู้เจียวหยิบมีดสั้นสามเล่มที่ซ่อนอยู่ในร่างกายออกมา
“เอากระสอบออกมา”
“อาวุธลับต่างๆ ”
“เข็มอาบยาพิษด้วย”
“แล้วก็ของเล่นใหม่ของเจ้าด้วย”
กู้เจียวเบะปากใส่ “อันนั้นข้าใช้หมดแล้ว”
จี้จิ่วอาวุโสอาวุโส “หนอนพิษด้วย”
“งูพิษต่างหาก”
กู้ฉังชิงแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กสาวตัวเล็กๆ จะพกของอันตรายตั้งมากมายก่ายของไว้ในตะกร้าใบเล็กๆ แถมยังมีงูพิษอีกด้วย!
ตะกร้าของกู้เจียวตอนนี้แทบจะไม่เหลือของอะไรแล้ว จะมีก็แค่กล่องยาเท่านั้น
ของอื่นๆ กู้เจียวไม่อาจเก็บไว้ในกล่องยานี้ได้ ไม่เช่นนั้นของพวกนั้นจะหายไป กู้เจียวเคยลองแล้วถึงรู้ว่าเป็นเช่นนั้น
จี้จิ่วอาวุโสอาวุโสรู้จักนิสัยใจคอของกู้เจียวดีเกินไป หากวันนี้เขาไม่ห้าม มีหวังกู้เจียวได้เข้าไปในวังแล้วจับจิ้งไท่เฟยยัดใส่กระสอบแน่ๆ
หากเป็นเช่นนั้นคงเสี่ยงเกินไป
เขาจะไม่ยอมให้กู้เจียวทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด
กู้ฉังชิงเลิกตกใจกับของที่อยู่ในตะกร้าของกู้เจียวแล้วหันมาทางจี้จิ่วอาวุโส “แล้วท่านมีแผนการอย่างไร”
จี้จิ่วอาวุโสยกมือขึ้นลูบเคราของตัวเอง “เรื่องนั่นน่ะหรือ…”
เขาพอจะมีแผนการอยู่บ้าง เพียงแต่ยังคิดไม่ตกว่าใครจะเป็นคนลงมือทำ
คนคนนี้จะต้องเป็นคนที่เข้าออกวังได้สะดวก อีกทั้งต้องได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทด้วย
ประเด็นที่สองเพียงอย่างเดียวไม่ได้ยากเกินไปสำหรับเขา แต่เนื่องจากฮ่องเต้รู้ว่าเขาเคยสวมรอยเป็นบิดากำมะลอ ไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้จะทรงไม่ไว้พระทัย
ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
จี้จิ่วอาวุโสอาวุโสแหงนหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ เป็นขุนนางนี่ช่างลำบากเหลือเกิน
ไม่ทันไรก็มีเสียงเกือกม้าดังสะเทือนและล้อหมุนดังขึ้นมาจากทางตรอก ตามด้วยเสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวของเสี่ยวเสี่ยวจิ้งคง “ฮือๆๆ! ข้าไม่ออกไปกับท่านอีกแล้ว! ไม่สนุก ไม่สนุก ไม่สนุกเลย!”
จี้จิ่วอาวุโส “เกิดเรื่องอะไรขึ้น แล้วเขาออกไปกับใครถึงได้โมโหขนาดนี้”
กู้เจียวและกู้ฉังชิงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ทั้งสามคนจึงเดินออกไปดู
ก็เห็นว่าเสี่ยวจิ้งคงกำลังกระโดดลงจากรถม้าคันใหญ่คันหนึ่ง พลางกระทืบเท้ากับพื้นด้วยความโมโห!
“เสี่ยวจิ้งคง” กู้เจียวเอ่ยเรียก
เมื่อเสี่ยวจิ้งคงเห็นกู้เจียวเดินออกจากเรือนของจี้จิ่วอาวุโส เขาก็เม้มปากด้วยความเศร้าโศกและวิ่งเข้าไปกอดกู้เจียว
กู้เจียวย่อตัวลงเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เจ้าตัวเล็ก ลูบไปตามลำคอก็พบว่าเสื้อผ้านั้นชุ่มเหงื่อไปหมด
เซวียนผิงโหวเดินลงจากรถม้า ก่อนจะหันไปมองเจ้าตัวเล็กพลางหรี่ตา “อุตส่าห์พาไปกินร้านอาหารหรูหรา ยังไม่รู้จักขอบคุณอีก”
“ท่านโหว” กู้ฉังชิงคำนับให้เซวียนผิงโหว
“อืม” เซวียนผิงโหวรับคำทักทายเสียงเรียบ
คราวนี้ เสี่ยวจิ้งคงเริ่มบ่นอีกครั้ง “ดูสิ ยังจะมีหน้ามาพูดอีก! ร้านอาหารใหญ่ขนาดนั้น อาหารก็มีให้เลือกตั้งเยอะแยะ แต่กลับสั่งไข่ให้ข้าแค่ฟองเดียวเนี่ยนะ!”
เซวียนผิงโหวกระแอมในลำคอหนึ่งทีก่อนเอ่ยแย้ง “นั่นมันไข่ตุ๋นกับเปาฮื้อเชียวนะ ราคาแพงมาก ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้จะกินอะไรมากมาย แล้วข้าก็พาไปนั่งเรือด้วยไม่ใช่หรือยังไง”
“เรือนั่นน่ะก็ผุพังยิ่งนัก! แถมยังรัวอีก! ข้าต้องคอยวิดน้ำตลอดทางเลย! ฮือๆๆ” เสี่ยวจิ้งคงน้อยใจโชคชะตา “เจียวเจียว ข้าปวดแขน”
มีเรือหลายราคาให้เช่าตั้งแต่ยี่สิบสลึง ห้าสิบสลึง ไปจนถึงหนึ่งตำลึง
เซวียนผิงโหวกลับเลือกเช่าเรือที่ราคาถูกที่สุดให้ นอกจากจะไม่มีที่บังแดดแล้วยังมีรอยรั่วจนน้ำเข้าเรืออีกด้วย
ไม่รู้ว่าคนพายเรือหรือเรือพายคนกันแน่
กู้เจียวโผกอดเสี่ยวเสี่วจิ้งคงผู้น่าสงสาร จิ้งคงตะกายเข้าหาอ้อมกอของนาง สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
นี่มันวันบ้าบออะไรกันนี่!
เขาไม่อยากออกไปกับตาลุงลิงโหวอะไรนี่อีกแล้ว!
“ข้าพาเสี่ยวจิ้งคงเข้าไปด้านในก่อนแล้วกัน” กู้เจียวเอ่ย ก่อนจะเดินเข้าเรือนไป
ปล่อยให้กู้ฉังชิงและจี้จิ่วอาวุโสอาวุโสยืนจ้องเซวียนผิงโหวราวกับกำลังมองตัวประหลาด
พอรู้มาบางว่าเขาขี้เหนียว แต่ไม่คิดว่าจะงกขนาดนี้!!
เซวียนผิงโหวกระแอมหนึ่งทีแก้เขิน “พวกเจ้ามองข้าแบบนี้หมายความว่าอย่างไร พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเองก็ลำบาก! ตอนเซียวเหิงเป็นเด็ก ข้ายังไม่เคยพาเขาไปเที่ยวแบบนี้เลยด้วยซ้ำ ข้าน่ะเหนื่อยทั้งวัน เรียกข้าว่าท่านอาจารย์สักคำก็ไม่มี”
“เจ้าอยากให้เสี่ยวจิ้งคงเป็นศิษย์ของเจ้ารึ” จี้จิ่วอาวุโสอาวุโสเอ่ยพลางใช้สายตามองเซวียนผิงโหวหัวจรดเท้า ก่อนจะนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ “ง่ายจะตาย ขอแค่เจ้ามาช่วยธุระของข้า ข้าจะให้เจ้าตัวเล็กถวายตัวเป็นศิษย์ของเจ้าให้ได้!”
เซวียนผิงโหวมองทางจี้จิ่วอาวุโสอย่างชั่งใจ
ฝนที่ตกหนักในยามค่ำคืนช่วยคลายความร้อนที่ของยามกลางวัน ท้องฟ้าสดใส ฝนที่ตกหนักก็หยุดลง วังหลวงก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไอดินและกลิ่นฝนชวนให้คนผ่อนคลาย
เซียวฮองเฮาตื่นขึ้นในเช้าตรู่
ตามกฎของวังหลวง เซียวฮองเฮาควรไปที่ตำหนักเหรินโซ่วเพื่อแสดงความเคารพต่อจวงไทเฮา แต่ใครใช้ให้จวงไทเฮาไม่เหมือนไทเฮาคนอื่น จวงไทเฮาออกไปทรงงานตั้งแต่เช้าตรู่ เซียวฮองเฮาจึงไม่ต้องเปลืองแรงออกไปหานาง
ทว่าการที่นางไม่ได้ไปหาจวงไทเฮา ไม่ได้แปลว่านางจะไม่ไปหาจิ้งไท่เฟยแต่อย่างใด
“ไทเฮา ปิ่นหยกเขียวช่างงามนักเพคะ” นางกำนัลตัวน้อยที่กำลังหวีผมให้เซียวฮองเฮาเอ่ย
เซียวไทเฮามองดูเงาตัวเองในกระจก ก่อนจะถอนหายใจยาว “คนเราแก่เฒ่าตามกาลเวลา ความงามก็พลอยเสื่อมคลายตามไป ปิ่นปักผมงามก็เท่านั้น คนแก่แล้ว ใส่อะไรก็ไม่งามหรอก”
นางกำนัลรีบแก้คำ “ไทเฮาไม่เป็นเช่นนั้นเลยนะเพคะ ถ้าจะให้เปรียบแล้ว พระองค์ก็คือดอกโบตั๋นในดงดอกไม้ คือหน้าตาของคนทั้งแคว้น กาลเวลามิอาจทำอะไรท่านได้เลยนะเพคะ!”
เซียวฮองเฮาเมื่อได้ยินคำเยินยอก็คลี่ยิ้มออกมา “ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่ปากหวาน” จากนั้นก็ชี้นิ้วเพื่อบอกให้นางกำนัลนำปิ่นปักผมมาติดให้
นางกำนัลเสียบปิ่นปักผมลงไป ก่อนจะเลือกดอกไม้สีขาวให้พระองค์
“ท่านเป็นถึงไทเฮา ใยจึงทรงกลัวกาลเวลาด้วยเล่าเพคะ”
เป็นเสียงของแม่นมเหลียวที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับกะละมังน้ำแช่กลีบดอกไม้
ฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ “แม่นมพูดได้ถูกต้องแล้ว”
ตนคือไทเฮาและพระมเหสีของพระองค์ ไม่เหมือนสนมเหล่านั้น นางคือคนที่แต่งงาน สาบานกับฟ้าดินร่วมกับฝ่าบาท คือภรรยาที่แท้จริง
ผู้ชายนะ ต่อให้สนอกสนใจสตรีอื่น แต่ท้ายที่สุด ภรรยาก็ยังเป็นภรรยาอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจพรากตำแหน่งนี้ไปได้
เซียวฮองเฮายื่นมือลงไปแช่ในกะละมัง
“เซวียนผิงโหวทรงขอพบเพคะ” แม่นมเหลียวเอ่ยขึ้น
“ท่านพี่มาแล้วรึ” แววตาของเซียวฮองเฮาเปล่งประกายทันใดเมื่อได้ยินชื่อเซวียนผิงโหว
แม่นมเหลียวแอบถอนหายใจ ต่อหน้าเซวียนผิงโฮ่วเท่านั้นที่เซียวฮองเฮาจะแสดงด้านที่เป็นเด็กสาวออกมา
“รีบไปเชิญมาสิ!”
ไม่ใช่รีบแจ้งข่าว แต่เป็นรีบให้พาตัวเขาเข้ามาเลย