สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 337-2 เล่นงานนาง (2)
บทที่ 337 เล่นงานนาง (2)
จิ้งไท่เฟยก้มหน้าลง ชักมือกลับก่อนแย้มยิ้มขื่น “ข้า…สร้างปัญหาให้ฝ่าบาทใช่หรือไม่ หากจู่ๆ ข้าไม่กลับวังก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายเพียงนี้หรอก”
ฮ่องเต้กุมมือนางไว้แน่น “เสด็จแม่อย่าพูดเช่นนี้! ท่านกลับวังมาเป็นเจตนาของเรา! มีคนทนเห็นท่านกลับวังไม่ได้ ใช้แผนถึงสองครั้งสองคราภายในวันเดียว ซ้ำยังเกือบจะเอาชีวิตเสด็จแม่ไปด้วย! เสด็จแม่โปรดวางพระทัย เราจะกระชากตัวการหลังม่านออกมาให้ได้ เราจะทุ่มสุดชีวิตจับนางเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม! เพื่อทวงความเป็นธรรมให้เสด็จแม่เอง!”
ประโยคนี้เหลือแค่บอกชื่อว่าเป็นจวงไทเฮาเท่านั้นแล้ว
จิ้งไท่เฟยหยิบผ้ามาปิดปาก ก่อนจะไอโขลกออกมาอย่างทรมาน
“เสด็จแม่!” ฮ่องเต้หันไปมองหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างเย็นชา “ร่างกายของเสด็จแม่เป็นอย่างไรกันแน่!”
หมอหลวงตอบตามตรง “ทูลฝ่าบาท ไท่เฟยบาดเจ็บหนัก ทั้งตกน้ำจนเสียขวัญ เกรงว่าคงต้องพักรักษาตัวสักระยะจึงจะแข็งแรง”
ฮ่องเต้ตวาด “แล้วเจ้ายังจะอยู่ที่นี่ทำไมอีก ยังไม่รีบไปต้มยาให้เสด็จแม่อีกรึ!”
“พ่ะย่ะค่ะ! พ่ะย่ะค่ะ!”
หมอหลวงออกไปพร้อมกับเหงื่อเย็นทั่วร่าง
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!” เว่ยกงกงสาวเท้าซอยถี่เข้ามาหา
“อะไร” ฮ่องเต้ถาม
เว่ยกงกงเอ่ย “กระหม่อมพบเซียวซิวจ้วนสลบอยู่ใกล้ๆ สระไท่เยี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาน่ะรึ”
ฮ่องเต้ไปยังสวนดอกไม้เล็กๆ ในตำหนักฮว๋าชิง
เว่ยกงกงเรียกหมอหลวงมาเมื่อครู่ หมอหลวงจึงกำลังฝังเข็มให้เซียวลิ่วหลังอยู่ เซียวลิ่วหลังค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เขาเปิดเปลือกตาที่ดูหนักอึ้งขึ้นก่อนจะเอ๋ยถาม “ที่นี่ที่ไหนรึ”
เว่ยกงกงรีบตอบ “ที่นี่คือตำหนักฮว๋าชิง! เซียวซิวจ้วน เมื่อครู่นี้ท่านสลบไปที่สระไท่เยี่ย! เหตุใดท่านจึงสลบไปได้”
เซียวลิ่วหลังสีหน้ามึนงง “ข้า…เหมือนว่าเมื่อครู่นี้…จะเห็นคนน่าสงสัย เหมือนว่าจะเป็นเจียวเจียว…ข้าเรียกนางไว้ สุดท้ายนางก็ฟาดข้าจนสลบ”
“ว่าอย่างไรนะ หมอเทวดาน้อยฟาดเจ้าสลบอย่างนั้นรึ” เว่ยกงกงหันมองฮ่องเต้อย่างตื่นตะลึง เขาเห็นความตกใจได้จากแววตาฮ่องเต้
อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นประมุขที่ผ่านการแก่งแย่งชิงดีมาก่อน พระองค์ถามสถานที่และเวลาที่เกิดเรื่องกับเซียวลิ่วหลังอย่างละเอียด เพียงไม่นานก็ตรวจสอบเจอคนร้ายที่ลอบสังหารจิ้งไท่เฟยได้แล้ว
แววตาของเซียวลิ่วหลังมีแต่ความตกใจ “ฝ่าบาท ท่านหมายความว่า…จิ้งไท่เฟยโดนทำร้าย…คนร้ายคือเจียวเจียวอย่างนั้นรึ เป็นไปได้อย่างไร”
ฝีมือการแสดงของเขาก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว เรื่องไร้ยางอายเช่นนี้เขาเพิ่งเคยทำแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง เหตุใดจึงได้ชำนิชำนาญนักได้เล่า
เขานี่มันช่างมีพรสวรรค์เสียจริง
เว่ยกงกงเอ่ยอย่างฉงน “แต่เมื่อครู่นี้ข้าถามนางกำนัลแล้ว ตอนนั้นนอกจากนางก็ไม่มีใครอยู่ในละแวกนี้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “วันนี้เจียวเจียวไม่ได้เข้าวังเลย แม้ว่านางจะมีฝีมือการต่อสู้บ้าง แต่ก็ใช้วิชาตัวเบาไม่เป็น หากไม่เข้ามาประตูใหญ่นางก็เข้าไม่ได้หรอก”
นี่คือความจริง
กู้เจียวไม่มีวิชาตัวเบาเลยสักนิด ฮ่องเต้เคยมีประสบการณ์มาก่อน คืนที่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ กู้เจียวพาพระองค์หนีตายก็ใช้เท้าเปล่าๆ วิ่งไปทั้งทาง
ฮ่องเต้วิ่งเสียจนแทบขาขาดอยู่รอมร่อแล้ว
หากนางมีวิชาตัวเบา พอถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้จะไม่ใช้ได้อย่างไร
ครานี้ก็ไม่รอให้ฮ่องเต้สั่ง เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่หมอเทวดาน้อย เว่ยกงกงไปยังประตูวังด้วยตัวเอง แล้วถามองครักษ์ว่ากู้เจียวได้เข้าวังมาหรือไม่
“ไม่ขอรับ!” องครักษ์ตอบอย่างหนักแน่นยิ่ง
เว่ยกงกง “เซียวซิวจ้วนเข้าวังมาเองอย่างนั้นรึ”
องครักษ์ “มากับขันทีน้อยตำหนักเหรินโซ่วขอรับ”
ขันทีน้อยคนนี้ไม่ได้เรียกความสงสัยจากเว่ยกงกงเลย เพราะจวงไทเฮามักจะส่งคนไปที่ตรอกปี้สุ่ยเพื่อให้เอาของไปให้บ้าง รับตัวคนจากตรอกปี้สุ่ยเข้าวังบ้างเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว
เว่ยกงกงกลับมารายงานที่ตำหนักฮว๋าชิง “วันนี้หมอเทวดาน้อยไม่ได้เข้าวังจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เซียวลิ่วหลังคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ “หรือว่า…จะมีคนสวมรอยเป็นเจียวเจียว”
ฮ่องเต้กัดฟัน “เจ้าเห็นลักษณะของนางชัดเจนหรือไม่”
เซียวลิ่วหลังส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ค่อยชัดพ่ะย่ะค่ะ แต่ข้างหลังเหมือนมาก เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับเหมือนกันทุกประการ ซ้ำยังมีตะกร้าสะพายหลังใบน้อยนั่นอีก”
ในวังหลวงไม่มีนางกำนัลคนไหนสวมชุดสีครามสะพายตะกร้าน้อยไว้เอาที่หลังแล้ว เห็นได้ชัดว่าแต่งตัวเป็นกู้เจียวชัดๆ
แววตาฮ่องเต้เย็นเยียบแล้วตรัส “ดูท่าแล้วจะมีคนสวมรอยเป็นหมอเทวดาน้อยจริงๆ!”
เซียวลิ่วหลังสีหน้ากระจ่างแจ้ง “ที่นางไม่ฆ่าปิดปากกระหม่อม อาจเพราะอยากใช้คำบอกกล่าวจากกระหม่อมว่าเป็นกู้เจียว น่าเสียดาย นางกลับไม่รู้ว่าเจียวเจียวไม่มีวิชาตัวเบา ตรงกันข้ามนางดันเผยตัวความลับออกมาเอง”
ความสมดุลนี้ช่างล้ำลึกนัก
เรื่องที่กู้เจียวไม่มีวิชาตัวเบาแม้แต่เว่ยกงกงยังไม่รู้เลย เขานึกว่าหมอเทวดาน้อยมีฝีมือเพียงนี้จะต้องเหาะเหินเดินหลังคาได้เหมือนยอดฝีมือของวังหลวงแน่
เพราะแม้แต่เขายังไม่รู้เลย ฮ่องเต้จึงได้เชื่อว่าคนร้ายก็ไม่รู้เช่นกัน
ดูท่าแล้วเรียกได้ว่าคนร้ายจะพลาดท่าเสียแล้ว
ในเมื่อคนร้ายกะจะใส่ร้ายกู้เจียว เช่นนั้นตัวการเบื้องหลังก็ไม่มีทางเป็นจวงไทเฮาได้
ต่อให้ฮ่องเต้อคติต่อจวงไทเฮาเพียงใดก็ไม่อาจเชื่อว่านางยัดเยียดให้กู้เจียวไปทำ ช่วงที่พระองค์พักรักษาตัวที่ตรอกปี้สุ่ยเห็นนางดีกับกู้เจียวมากับตา พระองค์รู้ว่านางรักทะนุถนอมกู้เจียวเหมือนกับที่พระองค์เป็น
ความสงสัยที่มีต่อจวงไทเฮาคลายลง
“แต่ถ้าหากไม่ใช่นาง จะเป็นใครที่ไม่ลงรอยกับจิ้งไท่เฟยเช่นนี้ได้…” ฮ่องเต้พึมพำเบาๆ
เสียงพระองค์ไม่ได้ดังนัก แต่เว่ยกงกงยังคงได้ยิน
เว่ยกงกงมองเซียวลิ่วหลังอย่างระแวดระวัง คิดในใจว่าคำพูดเช่นนี้ไม่ควรเอ่ยต่อหน้าเซียวซิวจ้วงหรอกกระมัง ได้แต่ภาวนาให้เซียวซิวจ้วนไม่ได้ยิน
สีหน้าเซียวลิ่วหลังยังคงไร้การเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรจริงๆ เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ในเมื่อคนผู้นั้นสวมรอยเป็นเจียวเจียว คงคิดจะก่อความขัดแย้งระหว่างตำหนักเหรินโซ่วและตำหนักฮว๋าชิงขึ้นแน่”
เรื่องที่กู้เจียวกับตำหนักเหรินโซ่วสนิทสนมกันไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว หากวันนี้ไม่ได้แน่ใจว่าคนร้ายไม่ใช่กู้เจียว เพลิงโทสะนี้คงได้เผาใส่ร่างจวงไทเฮาแน่แล้ว
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาท กระหม่อมขอทูลตามตรงว่าแบบนี้ต้องมีคนอยากให้ฝ่าบาท ไท่เฟยและไทเฮาสู้กันเองแล้วหาประโยชน์ใส่ตัวเป็นแน่ กระหม่อมรู้ว่าความเคืองขุ่นที่ฝ่าบาทมีต่อไทเฮาไม่อาจคลายลงได้ แต่ต่อหน้าศัตรูอย่าได้ตกหลุมพรางเขาจะดีกว่า”
ถ้อยคำเหล่านี้หากเป็นฮ่องเต้พระองค์ก่อนคงไม่ยอมฟังแน่
ทว่าเรื่องในวันนี้มีหลักฐานแน่ชัด พระองค์ไม่อยากเชื่อก็คงจะยาก
หลังจากเซียวลิ่วหลังออกจากวังไป ฮ่องเต้ก็นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องทรงอักษรเนิ่นนาน จนกระทั่งหมอหลวงมารายงานอาการของจิ้งไทเฟย พระองค์จึงได้ลุกขึ้นไปห้องบรรทมจิ้งไท่เฟย
“สืบเจอคนร้ายหรือยัง” จิ้งไท่เฟยถามเสียงอ่อนระโหย
ฮ่องเต้ลังเลครู่หนึ่งสุดท้ายไม่ได้บอกว่าคนร้ายสวมรอยเป็นกู้เจียวถูกเซียวลิ่วหลังบังเอิญเจอเข้า “ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าใดนัก เสด็จแม่โปรดวางใจ เราจะตามสืบต่อเป็นแน่”
จิ้งไท่เฟยแย้มยิ้ม “อืม”