สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 341 พรสวรรค์ (1)
บทที่ 341 พรสวรรค์ (1)
ขอทานชราแทบจะกระอักเลือดออกมา
เด็กสมัยนี้อารมณ์ร้อนเหมือนกันหมดหรือไร
ขอทานชราถลกแขนเสื้อขึ้น “มีปัญญาเจ้าก็มาเล่นกับข้าสักตาสิ! ข้าจะอ่อนข้อให้เจ้าเล่นก่อนเก้าตาเลย! หากเจ้าชนะข้าได้…ช่างเถอะ ไม่ต้องชนะข้าหรอก เสมอกันกับข้าได้จะนับว่าเจ้าชนะ! แล้วข้าจะให้เจ้าสิบตำลึงเลย!”
“ตกลง” กู้เจียวขานรับโดยไม่คิดเลยสักนิด
ขอทานชรามองกู้เจียวอย่างฉงน “ตอบรับง่ายๆ เช่นนี้เชียวรึ ไม่กลัวข้าบิดพลิ้วรึ”
ไม่ต้องพูดถึงว่ามีความมั่นใจหรือไม่ นางหนูนี่กล้าเอ่ยปากใจใหญ่ย่อมถือดีอยู่แล้ว แต่เขาที่เป็นขอทานชรา นางไม่กลัวเขาบิดพลิ้วเลยหรือไร
“ไม่กลัว” กู้เจียวส่ายหน้าพลางบอก
ขอทานชรามองนางอย่างลุ่มลึก ก่อนพยักหน้าเงียบๆ
แม้ว่านางหนูนี่จะหยิ่งผยอง แต่จิตใจใสซื่อดีงาม ยินดีจะเชื่อใจผู้อื่น
กู้เจียว เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว หากเจ้ากล้าบิดพลิ้ว ข้าก็จะชกเจ้าก็แค่นั้นแหละ!
ขอทานชราเก็บก้อนหินบนกระดานหมากจนเกลี้ยง แล้ววางลงในชามเก่าๆ สองใบตามสี ก่อนจะวางชามที่มีลูกหินสีดำไว้ข้างกายกู้เจียว “เจ้าเล่นสีดำ”
สีดำจะเดินก่อน
เขาเคยบอกว่าจะอ่อนข้อให้นางเล่นก่อนเก้าตา
กู้เจียวไม่เกรงใจสักนิด เขาต้องการอ่อนข้อให้เอง ไม่ใช่นางบังคับเสียหน่อย ใช่หรือไม่
ขอทานชรามองกู้เจียววางหมากตัวแรกเป็นไปตามกฎดี ลงอยู่ตรงมุม หากตนลงช่องบรรทัดที่สามก็จะสามารถพ้นเส้นอันตรายไปได้ แต่รับปากนางแล้วว่าจะอ่อนข้อให้นางเก้าตา จากนี้ก็ดูนางว่าจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์อย่างไรดีกว่า
เก้าตาแรกกู้เจียวเดินอย่างเรียบง่าย ไม่ได้พิสดารอะไร ทำเอาขอทานชรารู้สึกว่านางใช้เก้าตานี้ไปโดยเปล่าประโยชน์
นางเล่นหมากรุกเป็นไหมน่ะ เมื่อครู่แก้กลหมากเขาได้คงไม่ใช่แค่โชคช่วยหรอกกระมัง
“เสร็จแล้ว ตาเจ้า” กู้เจียวบอกขอทานชรา
ขอทานชราเดินหมากขาวเม็ดหนึ่งลงบนกระดาน….อันที่จริงเป็นแค่หินก้อนเล็กๆ เท่านั้น
ชายชราคนหนึ่งและเด็กสาวอีกคนหนึ่งนั่งยองลง เล่นหมากรุกกันอยู่บนถนน คนหนึ่งศีรษะมีตำราที่เปิดอ้าวางเทินอยู่ อีกคนสวมหน้ากากแปลกประหลาด ทิศทางการเดินหมากบนกระดานยุ่งเหยิงและพิสดาร
มีคนเดินผ่านไปมาเป็นระยะ หยุดฝีเท้าดูอยู่ครู่หนึ่งอย่างสนใจใคร่รู้ แต่พวกเขามองไม่ออกเลยสักนิดว่าทั้งคู่กำลังเล่นอะไรกันอยู่
“เล่นหมากรุกแบบนี้ได้ด้วยรึ” บัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้น เขารู้ศิลปะหมากรุก แต่วิธีการเล่นเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันช่างเหลวไหลเกินไปแล้ว ที่ที่ควรโจมตีไม่โจมตี ที่ที่ควรเฝ้าระวังไม่เฝ้าไว้
“ขอทานชราเสียสติคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าเขาจะเล่นหมากรุกเป็นหรือไร ไอ้เด็กหนุ่มนี่สมองพังไปแล้วกระมัง นึกไม่ถึงว่าจะเล่นกับเขา”
“ข้าว่าทั้งคู่ล้วนเสียสติกันไปแล้ว หากไม่บ้าแล้วนี่เล่นอะไรกันอยู่!”
“ไปเถอะ ไปเถอะ! คนบ้าสองคนเล่นหมากรุกมีอะไรน่าดูกัน! ไม่สู้ไปสมาคมหมากรุกชิงฮวนดีกว่า ได้ยินว่าที่นั่นมียอดฝีมือมาหลายคนเลย วันนี้มียอดฝีมือปะทะกันสามตาแหน่ะ! เคยได้ยินนักพรตเขาเม่าซานหรือไม่”
“ไม่เห็นเคยได้ยินนักพรตเขาเม่าซานมาก่อนอย่างนั้นรึ นั่นน่ะเป็นปรมาจารย์แคว้นเจาของพวกเราเชียวนะ! เขาก็อยู่ที่สมาคมหมากรุกชิงฮวนเช่นกันรึ”
“ใช่แล้ว”
“เช่นนั้นต้องรีบไปดูแล้ว!”
ฝูงชนที่เดิมทีรุมล้อมอยู่พอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนักพรตเขาเม่าซานก็พากันแตกฮือแยกย้ายไปหมด เหลือเพียงเด็กน้อยสามขวบที่แทะลูกอมน้ำเต้าอยู่คนเดียว เขาเล่นหมากรุกไม่เป็น เขาแค่หาที่มาแอบกินลูกอมน้ำเต้าเท่านั้น
ขอทานชรากับกู้เจียวต่างไม่ใช่คนที่สนใจความเห็นคนอื่นอยู่แล้ว จะมีหรือไม่มีคนดู จะมีหรือไม่มีคนคอยปรบมือหรือพูดฉีกหน้าทั้งคู่ก็ไม่สะทกสะท้านอะไรอยู่แล้ว
ทั้งคู่ตั้งอกตั้งใจลงหมาก
หากนักพรตเขาเม่าซานผู้นั้นมาที่นี่ เกรงว่าคงจะมองกลหมากยุ่งเหยิงกระดานนี้ออกว่าแท้จริงแล้วซุกซ่อนไอสังหารและทะเลพายุอันพลุ่งพล่านเอาไว้อย่างไร
เริ่มแรกขอทานชรา ไม่ได้ตั้งใจอะไร แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ
ช่างเป็นการเดินที่เจ้าเล่ห์นัก!
เก้าตาที่อ่อนข้อให้เจ้า ไปตะวันออกเม็ดหนึ่ง ตะวันตกเม็ดหนึ่ง ไร้กระบวนยิ่งนัก แต่ความจริงแล้วกลับวางตาข่ายขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นทุกทางออกของเขาอย่างแน่นหนา
ครึ่งตาหลังเขาตั้งอกตั้งใจเล่นจริงๆ แล้ว สุดท้ายก็เสมอกันกับกู้เจียว
ขอทานชราหัวเราะขึ้นอย่างตกใจ “ยัยหนู เจ้าเป็นคนแรกที่เสมอกับข้าด้วยอายุเพียงนี้ อาจารย์เจ้าอยู่ที่ใดรึ”
“ไม่มีอาจารย์” ชาติก่อนนางเคยไปดูคนเล่นหมากรุกกันในสวนสาธารณะ จากนั้นก็เรียนรู้เอง ได้เล่นหมากรุกกับอาจารย์พ่อบางครั้งบางคราว
เจ้าพ่อเป็นคนที่ยุ่งมาก แต่เพื่อเป็นรางวัลที่นางเสร็จสิ้นภารกิจในทุกๆ ครั้ง เขาจึงหาเวลาว่างมาเล่นกับนาง
ขอทานชรามองกู้เจียวอย่างจริงจัง นางไม่ได้โกหกจริงๆ ยามนี้เขาจึงตกใจมาก
วันนี้ที่เสมอกับตนได้เป็นเพราะตนประมาทเลินเล่อไป คิดว่าเด็กสาวนางนี้เล่นไม่เป็น เขาจึงเดินมั่วซั่วไปหมด หากเขาตั้งใจเล่นตั้งแต่แรก เกรงว่าอ่อนข้อให้เก้าตาเขาก็ยังคงชนะนางได้
ทว่านึกไม่ถึงว่าเด็กสาวนางนี้จะไม่ได้ไปร่ำเรียนหมากรุกเป็นจริงเป็นจังกับใคร อีกนัยหนึ่งคือนางเรียนรู้ด้วยตัวเอง
พรสวรรค์นี้ช่างน่าตกใจนัก
ขอทานชราเอ่ยต่อ “เช่นนั้นเจ้าเคยปะทะกับยอดฝีมือมาบ้างหรือไม่”
กู้เจียวครุ่นคิด “อืม…เคยกระมัง”
น่าจะเรียกอาจารย์พ่อได้ว่ายอดฝีมือกระมัง อย่างไรเสียนางก็ไม่เคยชนะเขาเลย
ขอทานชราลอบถอนหายใจ ต้องอย่างนี้สิ มิฉะนั้นหากนางเคยเล่นแค่กับเขาแล้วฝีมือขนาดนี้ เช่นนั้นก็น่าหวาดกลัวนัก
ทว่าต่อให้มีประสบการณ์ปะทะกับยอดฝีมือมาก่อน สามารถเรียนรู้ได้เช่นนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ แล้ว
ช่างเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์นัก
ขอทานชรามองกู้เจียวอย่างชื่นชม กำลังจะถามนางว่าชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน กู้เจียวกลับชิงเอ่ยตัดหน้าขึ้นมาก่อน “เจ้าบอกเองว่าเสมอกันก็ถือว่าชนะ เงินล่ะ!”
ขอทานชรามุมปากกระตุก
อย่าเพิ่งทำลายบรรยากาศในช่วงสำคัญจะได้ไหม
ขอทานชราล้วงเอาเศษเงินออกมาจากถุงเงินยับย่นของตัวเองด้วยสีหน้าหน้าบึ้งตึง รวมๆ กันแล้วราวๆ สิบตำลึงพอดี นี่เป็นเงินทั้งหมดของเขาแล้ว
เขายื่นให้ตรงหน้ากู้เจียว “เอาไป เอาไป ให้เจ้าหมดเลย!”
กู้เจียวนับๆ ดู ก่อนจะลองกะน้ำหนักดู แล้วเลือกเหรียญที่เล็กที่สุดคืนให้เขา “บอกแล้วว่าเอาแค่สิบตำลึง”
ไม่มีการหลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา!
กู้เจียวรับเงินแล้วก็ลุกขึ้นจากไป
ขอทานชราเรียกนางไว้ “นี่! ช้าก่อน! ยังไม่ได้บอกชื่อแซ่เจ้ามาเลย! พรุ่งนี้เจ้าจะมาอีกหรือไม่”
กู้เจียวเดินออกไปไกลแล้ว
“ตาละสิบตำลึงรึ!”
กู้เจียวกลับมาอีกแล้ว
ขอทานชรา “…”
…
กู้เจียวกลับมาที่โรงหมอเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังเข้ามาในเรือนเล็กของนาง “เจียวเจียว เจียวเจียว!”
วิ่งเร็วเกินไป เขาจึงไถลลื่นล้มอีกแล้ว
โชคดีที่ชื่อเสียงของการต่อสู้ของเณรน้อยไม่ได้มาโดยเปล่าประโยชน์ เขากุมศีรษะเอาไว้ แล้วกลิ้งไปครึ่งลานจนถึงหน้าบันไดเหมือนน้ำเต้าน้อย
จากนั้นก็ลุกขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างอาจหาญ ไร้ซึ่งความอ่อนแอแม้แต่น้อย!
“เจียวเจียว!”
เขาถือจดหมายฉบับหนึ่งเข้าไปในห้องกู้เจียว
กู้เจียวเพิ่งเก็บหน้ากากเสร็จ หันมามองเขา “วันนี้เลิกเรียนเร็วเสียจริง ใครมาส่งเจ้ารึ”
“พี่เหยี่ยน” เสี่ยวจิ้งคงบอก
ไม่ได้มาส่งเฉยๆ นะ เขาให้ค่ามาส่งด้วย!
ถูกต้อง เพื่อขยายธุรกิจรับชำระหนี้ของตัวเอง กู้เหยี่ยนจึงเปิดรายการส่งเจ้าเด็กน้อยมาที่โรงหมอหลังเลิกเรียน เป็นเงินยี่สิบทองแดง
“แล้วเขาล่ะ” กู้เจียวจูงมือเจ้าเด็กน้อยมาตรงหน้ากะละมังล้างหน้า แล้วตักน้ำมาเช็ดเหงื่อให้เขา
เสี่ยวจิ้งคงยื่นหน้าน้อยๆ ของตัวเองไปให้แต่โดยดี ปล่อยให้เจียวเจียวเช็ดหน้าให้เขา “เขาเจอเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองหน้าโรงหมอ กำลังคุยกันอยู่!”
“เจ้าล้มอีกแล้วหรือ” กู้เจียวเช็ดหน้าเขาเสร็จก็พบเศษหญ้าบนตัวเขาไม่น้อย
“อื้ม” เสี่ยวจิ้งคงจู่ๆ ก็งอแงขึ้นมา เขาดึงขากางเกงน้อยๆ ของตัวเองขึ้น ก่อนเอ่ยทั้งน้ำตา “เจ็บๆ!”
กู้เจียวมองเขา…ไม่มีแผล แล้วล้างหน้าล้างมือให้เขาอีกหน “เอาละ ข้าเช็ดๆ ให้นะ”
เสี่ยวจิ้งคงหรี่ตาลงพลางซึมซับที่นางทำให้อย่างเพลิดเพลิน
กู้เจียวเช็ดขาน้อยๆ ของเขาเสร็จก็มองไปยังจดหมายในมือเขา “เจ้าถืออะไรอยู่รึ”
“จดหมาย!” เสี่ยวจิ้งคงบอก “ข้าได้รับจดหมายของพี่หมิงเอ๋อร์ล่ะ!”
หมิงเอ๋อร์ ลูกชายของอวี้ชินอ๋อง ทูตน้อยแห่งแคว้นเหลียง ตอนจากไปเด็กน้อยทั้งสองนัดแนะกันว่าจะส่งจดหมายหากัน
คิดไม่ถึงว่าจดหมายของหมิงเอ๋อร์จะมาถึงไวปานนี้
“ข้าอยากอ่านกับเจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงบอกอย่างจริงจัง
กู้เจียวหยักยิ้ม “เอาสิ”
เสี่ยวจิ้งคงปีนมานั่งบนตักกู้เจียว หาท่าที่สบายนั่งลงไป ศีรษะน้อยๆ พิงแขนกู้เจียว ก่อนส่งจดหมายให้นาง “เจียวเจียว อ่าน”