สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 343 พ่อลูก (1)
บทที่ 343 พ่อลูก (1)
ฮ่องเต้ระเบิดความเกี้ยวกราดออกมา!
เพราะพระองค์ทรงเกลียดนางงูพิษผู้นั้นเข้าไส้ แต่เหตุใดคนที่อยู่รอบๆ ตัวพระองค์ถึงค่อยๆ หนีไปหานางกันหมด กู้เจียวกับจิ้งคงยังไม่เท่าไหร่ เพราะพวกเขารู้จักกันมาก่อน
แต่เหตุใดถึงได้พ่วงเอาบุตรชายของตนไปด้วย
เด็กน่ะหลอกง่ายจะตายใครก็รู้ โดยเฉพาะเด็กเห็นแก่กินอย่างฉินฉู่อวี้ แค่พุทราเม็ดเดียวก็ซื้อใจเขาได้แล้ว
ฮ่องเต้แทบมองไม่เห็นว่าตัวเขาไปนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเพียงใด แต่กระนั้นฮ่องเต้เองก็ไม่ได้เห็นความดีงามอะไรจากตัวไทเฮาเช่นกัน คิดว่าจวงไทเฮาจะต้องยอมทำทุกออย่างเพื่อดึงบริวารรอบตัวเขาให้ได้มากที่สุด
ส่วนฉินฉู่อวี้นั้นก็เอาแต่บ่นอุบอิบให้จิ้งไท่เฟยฟัง
“ไม่ต้องกลัวไป เจ้าไปที่ตำหนักของข้าก่อนสิ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยพลางเอามือลูบไล้ใบหน้าอ้วนกลมของฉินฉู่อวี้อย่างอ่อนโยน
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินฉู่อวี้อยู่ในอ้อมอกของจิ้งไท่เฟยไม่ขยับไปไหน
ฮ่องเต้เองก็ไม่กล้าจะลากบุตรชายตัวอ้วนออกมาจากอ้อมอกพระมารดา “ยกเกี้ยวขึ้น กลับวัง!”
ขบวนเสด็จมุ่งหน้าไปยังตำหนักหวาชิง ฉินฉู่อวี้กลัวว่าตัวเองจะถูกเสด็จพ่อทำโทษ วินาทีที่เท้าเหยียบตำหนักหวาชิงก็รีบพุ่งตัวเข้าไปที่ห้องของจิ้งไท่เฟยอย่างไม่ลังเล
ฮ่องเต้มองดูบุตรชายตัวแสบที่วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่าย พลางยกมุมปาก
“องค์ชายเจ็ดยังเด็กนัก เจ้าก็อย่าได้เข้มงวดกับเขามากเลย เดี๋ยวจะพาลใจเสียเอา” จิ้งไท่เฟยเอ่ย
ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ใจเสียก็ยังดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยง!”
“ฝ่าบาท ข้าว่าฝ่าบาทมองจวงไทเฮาผิดไปหลายขุมเลยเชียวล่ะ ตำหนักเหรินโซ่วไม่ใช่ถ้ำเสือสักหน่อย อีกทั้งไทเฮาเองก็มีศักดิ์เป็นเสด็จย่าขององค์ชายเจ็ด แล้วนางจะไปทำร้ายองค์ชายเจ็ดลงได้อย่างไรเล่า”
“เราเกรงว่าเสด็จแม่จะลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเซียวเหิง เด็กสี่ขวบคนหนึ่งทำผิดอะไรถึงได้ถูกวางยาพิษเช่นนั้น” ฮ่องเต้เอ่ยพลางมองออกไปที่จวนร้าง
จิ้งไท่เฟยเอ่ยตอบ “อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หันมาทางจิ้งไท่เฟยด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่เข้าใจผิดกันบ่อยเกินไปหน่อยหรือ เสด็จแม่มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว อีกทั้งยึดมั่นว่าความดีจะชนะทุกสิ่ง แต่หารู้ไม่ว่ากับบางคนนั้นวิธีนี้ไม่ได้ผลเลย”
“เช่นนั้น ฝ่าบาทก็อย่าได้ถือโทษองค์ชายเจ็ดเลย เขายังเด็ก ยังไม่รู้เรื่องอะไร”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “แต่เขาเป็นองค์ชาย ไม่จักรักตัวกลัวตายบ้างเลยหรือ”
จิ้งไท่เฟยเอ่ยตอบด้วยเสียงหนักแน่น “เรื่องแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป ห้ามใจร้อนเด็ดขาด ตอนฝ่าบาทอายุเท่าองค์ชายเจ็ด ฝ่าบาทเองก็เป็นเด็กไร้เดียงสามิใช่หรือ”
พอคิดถึงเรื่องในอดีต ความรู้สึกผิดก็พลันปรากฏขึ้นที่แววตาของฮ่องเต้ “เพราะว่าข้าเติบโตช้าไป เลยไม่มีโอกาสได้ปกป้องท่านแม่กับหนิงอัน พวกท่านเลยต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในวัง”
จิ้งไท่เฟยส่ายหัว “อย่าได้กล่าวเช่นนี้เลยฝ่าบาท พวกเราไม่ได้ลำบากขนาดนั้น เมื่อก่อนไทเฮา…เคยออกตัวปกป้องพวกเราสามแม่ลูกกันตั้งหลายครา”
พอเอ่ยถึงไทเฮา ฮ่องเต้ก็เริ่มบันดาลโทสะอีกครั้ง “แบบนั้นไม่เรียกว่าปกป้องหรอก เรียกว่าวางแผนแทงข้างหลังดีกว่า”
จิ้งไท่เฟยรีบโบกมือให้ฮ่องเต้ใจเย็นลง “พอเถิดฝ่าบาท พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ฝ่าบาทไปทรงงานก่อนเถิด ส่วนเรื่ององค์ชายเจ็ดก็ค่อยเป็นค่อยไป”
พอได้ยินผู้เป็นแม่เอ่ยเช่นนี้ ก็ถึงเวลาที่ฮ่องเต้ต้องปล่อยวางเรื่องนี้ “เช่นนั้น เราฝากองค์ชายเจ็ดกับเสด็จแม่ด้วย”
จิ้งไท่เฟยหัวเราะ “เข้าใจแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะวานให้คนไปส่งเขาที่ตำหนักฮองเฮา”
ในห้องทรงงานยังมีเอกสารและจดหมายกองเต็มไปหมด จึงรีบมาทรงงานต่อ ส่วนจิ้งไท่เฟยก็กลับที่พักของตัวเอง
ฉินฉู่อวี้ยืนหลบอยู่หลังชั้นวางของ ก่อนจะค่อยๆ โผล่หัวกลมๆ ของเขาออกมาเพื่อสังเกตุการณ์
จิ้งไท่เฟยเห็นดังนั้นก็อดขำไม่ได้ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ และกวักมือเรียกฉินฉู่อวี้ “มานี่เร็ว เสด็จพ่อของเจ้าออกไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะ”
ฉินฉู่อวี้ถามด้วยความไม่แน่ใจ “เสด็จพ่อออกไปแล้วหรือ”
จิ้งไท่เฟยยิ้มอ่อนให้ “ไปแล้วจริงๆ ข้าเป็นแม่ชีนะ ไม่โกหกองค์ชายหรอก”
“อ๋อ” จิ้งคงเคยบอกกับฉินฉู่อวี้ไว้ว่าคนที่บำเพ็ญศีลจะไม่พูดโกหก พอได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจโล่งแล้วเดินไปนั่งข้างๆ จิ้งไท่เฟย
“เฮ้อ ตกใจแทบแย่” ฉินฉู่อวี้ถอนหายใจเฮือกยาว
จิ้งไท่เฟยหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อให้ฉินฉู่อวี้ พลางเอ่ย “เสด็จพ่อเจ้าไม่กินหัวเจ้าหรอก”
“แต่เสด็จพ่อตีข้าได้นี่นา!” ฉินฉู่อวี้เบะปาก
จิ้งไท่เฟยเมื่อได้ยินดังนั้นก็นิ่งไป “เสด็จพ่อตีเจ้าบ่อยรึ”
“อืม…” ฉินฉู่อวี้ครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าเคยโดนทำโทษบางครั้ง จะเรียกว่าบ่อยก็ไม่เชิง”
เช็ดหน้าผากเสร็จ ก็ไล่ลงมาที่ใบหน้าต่อ “ที่เสด็จพ่อของเจ้าเข้มงวดก็เพราะมองเจ้าเป็นคนสำคัญ เจ้าเป็นทายาทโดยชอบธรรม ไม่เหมือนกับองค์ชายคนอื่นๆ ”
“ข้าทราบดี” ตั้งแต่จำความได้ฉินฉู่อวี้และท่านพี่ไท่จื่อคือทายาททางสายเลือดโดยชอบธรรมของฝ่าบาท มียศสูงกว่าองค์ชายคนอื่นๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ได้มีโอกาสเดินฉุยฉายในวังไปทั่วได้หรอก
อย่างที่โบราณกล่าวไว้ เด็กอายุเจ็ดแปดเก้าขวบคือวัยที่น่าปวดหัวที่สุดขนาดแม้แต่สุนัขยังไม่กล้าเข้าไปเล่นด้วย เพราะซนยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก
“ฝ่าบาททำไปก็เพราะหวังดีกับเจ้านั่นแหละ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหอะ ถ้าเสด็จพ่อเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่เห็นต้องโกหกข้าเลย” ฉินฉู่อวี้ทำหน้าบึ้งตึง
“เสด็จพ่อโกหกอะไรเจ้าอย่างนั่นรึ” จิ้งไท่เฟยเอ่ยถาม
“บอกว่าเสด็จย่าไม่ใช่คนดี!” ฉินฉู่อวี้ตอบด้วยความเคือง
เจ้าประคุณเอ๋ย ฝ่าบาทไม่เคยพูดต่อหน้าเขาเลยสักคำว่าไทเฮาไม่ดีอย่างไร นี่เป็นเพียงความเข้าใจของฉินฉู่อวี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เด็ก แม้จะไร้เดียงสา แต่บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับเขา
ยกตัวอย่างเช่น ยามที่ฮ่องเต้เจอกับจวงไทเฮา สายตาของฮ่องเต้ที่มองไปทางจวงไทเฮานั้นราวกับกำลังมองผู้ร้ายคนหนึ่ง และการที่ฮ่องเต้กีดกันไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งกับจวงไทเฮานั้นก็ดูจะสมเหตุสมผลกับการกระทำนั้น
รวมถึงท่าทีของฮองเฮาและคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติกับจวงไทเฮาอย่างไม่เหมือนใคร
จึงไม่แปลกที่ฉินฉู่อวี้จะสรุปไปแบบนั้น
จิ้งไท่เฟยเอามือลูบหัวเขา “องค์ชายเจ็ดว่าอย่างไรล่ะ คิดว่าเสด็จย่าเป็นคนดีหรือไม่”
“อืม…” ฉินฉู่อวี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ข้ามองว่าเสด็จย่าไม่ใช่คนไม่ดี! วันนี้ตอนที่ข้ากินข้าวที่ตำหนักของเสด็จย่า ข้าเผลอทำน้ำแกงหกราดเสด็จย่า เสด็จย่าก็ไม่เห็นจะลงโทษหรือต่อว่าข้าเลย”
จิ้งไท่เฟยยิ้มให้องค์ชายน้อยอย่างอ่อนโยน พลางเอ่ย “ก็เพราะองค์ชายเป็นองค์รัชทายาท ไม่มีใครกล้าต่อว่าหรอก”
ฉินฉู่อวี้ทำหน้าไม่เห็นด้วย “ขนาดเสด็จพ่อ เสด็จย่ายังเคยต่อว่ามาแล้วเลย! ข้าเคยได้ยินมากับหู!”
“เช่นนั้นเองรึ” จิ้งไท่เฟยหัวเราะ แต่สายตากลับนิ่งลง ก่อนจะวางผ้าเช็ดหน้าในมือลง
…
ฮ่องเต้กำลังอ่านม้วนฎีกาที่ห้องทรงอักษร พออ่านไปได้ครึ่งกองก็เริ่มวางมือลง
เว่ยกงกงเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง “ฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือว่าห้องนี้จะร้อนไปขอรับ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ฮ่องเต้เอ่ยพลางเอามือนวดขมับ
เว่ยกงกงถามต่อ “ล้าแล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ ฎีกาพวกนี้ค่อยอ่านต่อในวันรุ่งขึ้นก็ได้ขอรับ พรุ่งนี้ฝ่าบาทเองก็ไม่ต้องเข้าวังตอนเช้าด้วย”
ที่แคว้นเจาไม่ได้มีประชุมวังในตอนเช้าของทุกวันเสมอไป
ฮ่องเต้ทรงจิบชาหนึ่งจอก ก่อนเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ง่วง”
“เช่นนั้น มีเรื่องอันใดไม่สบายพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเอ่ยถาม
ฮ่องเต้ไม่ให้คำตอบแต่อย่างใด แต่ถามกลับ “แล้วเหอกงกงล่ะ ไปตามเหอกงกงมาที”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยกงกงเดินออกไปตามเหอกงกงมาที่ห้องทรงอักษร