สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 349 ไม่ทันรู้ตัว
บทที่ 349 ไม่ทันรู้ตัว
“ก็นอนหลับดีไม่ใช่หรือ” กู้เจียวเลิกคิ้วถาม
เว่ยกงกงอ้าปากพะงาบ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่เอ่ยสักคำ
เสียงหัวเราะของท่านป้าหลิวและลูกสะใภ้ของยายเฒ่าโจวดังมาจากโถงใหญ่เป็นระยะ ทั้งยังมีเสียงเล่นซนจากเด็กๆ ของบ้านนางและเสี่ยวจิ้งคงจากลานบ้าน
หากเป็นไม่กี่วันก่อน เพียงแค่เสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยในวังฮ่องเต้ก็นอนไม่หลับแล้ว แต่ตอนนี้ด้านนอกเสียงโหวกเหวกปานนี้ ฝ่าบาทกลับยังนอนหลับสนิท
ฮ่องเต้หลับตั้งแต่บ่ายไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น แม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่ได้กิน
กู้เจียวมองฮ่องเต้ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงวิ่งตาลีตาเหลือกขึ้นรถม้าเพื่อไปประชุมราชสำนักยามเข้า พลางคิดในใจว่าไม่เหมือนคนนอนไม่หลับสักนิด หลับสนิทกว่านางเสียด้วยซ้ำ!
เมื่อคืนวานนางปรุงดินปืน ทั้งบ้านสะดุ้งตื่นเพราะเสียงระเบิด มีแค่ฮ่องเต้เท่านั้นที่นอนกรนสั่นดั่งอย่างกับฟ้าผ่า เสียงมังกรคำรามเขาดังลั่นไปทั่วทั้งเรือน หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเสียงกรน
“อืม” กู้เจียวลูบคาง “ข้านึกว่าเขาสลบไปเพราะระเบิดเมื่อคืนเสียอีก”
“รีบออกรถสิ! มัวรออะไรอยู่!” ฮ่องเต้เพ่นกบาลสารถี พละกำลังล้นเหลือ ไม่ได้สลบไปเพราะแรงระเบิดแน่นอน
ฮ่องเต้นอนหลับอิ่ม อารมณ์แจ่มใส กลับมาถึงตำหนักฮว๋าชิงก็อาบน้ำ เปลี่ยนเป็นชุดมังกรแล้วมุ่งหน้าไปยังตำหนักจินหลวน
เกี้ยวหงส์ของจวงไทเฮาเองก็เคลื่อนมาถึงใกล้ตำหนักจินหลวน
ฉินกงกงเอ่ยเตือน “ไทเฮา ฝ่าบาทมาถึงแล้วเช่นกันขอรับ”
มาถึงแล้วก็ช่างปะไร จวงไทเฮากลอกตามองบน
จวงไทเฮาที่ยอมแพ้ให้กับผลไม้เชื่อมห้าลูกก็สั่งให้คนลดเกี้ยวลง ก่อนจะลงมาโดยมีฉินกงกงช่วยพยุง
ฮ่องเต้เองก็ลงจากเกี้ยวเช่นกัน หันไปมองไทเฮาด้วยแววตายิ้มแย้ม ทั้งยังไม่ลืมที่ยกมือประสานคำนับในฐานะลูกชาย “ลูกถวายบังคมเสด็จแม่”
เมื่อวานยังดูเหมือนผักกาดขาวแห้งเหี่ยวอยู่แล้ว แต่วันนี้กลับดูกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด ไทเฮาเหลือบมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยพลางเอ่ย “นี่ก็ได้เวลาแล้ว อย่าได้เสียเวลา รีบเข้าประชุมเถิด แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้มาถึงก่อนข้าเสมอ เหตุใดวันนี้ถึงได้มาสาย”
ฮ่องเต้ไม่กล้าบอกตนเองนอนตื่นสายที่ตรอกปี้สุ่ย แต่ยามตอนเองอยู่ในห้องบรรทมอันหรูหราโอ่อ่ากลับหลับไม่ลงแม้สักนิด ขืนพูดออกไปก็ยิ่งแม้ตัวเขายังหัวเราะเยาะตัวเอง
เขาไม่มีทางยอมรับหรอกว่าห้องนั้นหลับสบาย เพราะเขานั้นเหนื่อยล้าไม่ได้นอนมานานหลายวันต่างหาก
ฮ่องเต้ครุ่นคิด ก่อนจะหันไปเห็นตะเกียงอุ่นมือแสนประณีตในมือจวงไทเฮาอย่างไม่ตั้งใจ
ตะเกียงอุ่นมือนี้ใช้ประโยชน์ได้สองแบบ ฤดูหนาวใส่ถ่านไฟได้ ฤดูร้อนก็ใส่น้ำแข็งได้ ถือไว้ในมือก็เย็นสบาย คลายร้อนได้อย่างดี
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็หัวเราะขึ้นมา เขาเดินเข้าไปพลางยกมือปัดตะเกียงอุ่นมือของไทเฮา
ตะเกียงอุ่นมือตกกระแทกพื้นหินสีครามเสียงดังลั่น
ทว่าผิวตะเกียงนั้นแข็งมากจึงไม่แตกแม้จะกระแทกแรง
แววตาของไทเฮาที่มองไปยังฮ่องเต้นั้นเย็นเยียบ ขณะกำลังจะระเบิดความโกรธออกมานั้น ก็เห็นเหล่าขุนนางมีมาประชุมเช้าเดินมาแต่ไกล
“เว่ยกงกง ตะเกียงอุ่นมือของไทเฮาตกน่ะ ยังไม่รีบเก็บขึ้นมาให้ไทเฮาอีก”
“…พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงเก็บตะเกียงอุ่นมือขึ้นมา เพราะเปื้อนดินบนพื้นจึงไม่อาจส่งต่อให้ไทเฮาได้ เขาตั้งใจว่าจะใช้แขนเสื้อของตนเช็ด
ฮ่องเต้ยื่นมือออกไปคว้าตะเกียงอุ่นมือ “เราทำเอง” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเช็ดตะเกียงอุ่นมืออย่างพิถีพิถัน ราวกับจะขัดจนเลื่อมก่อนจะเผยยิ้มแล้วส่งให้จวงไทเฮา “เสด็จแม่ ตะเกียงของท่าน”
เหล่าขุนนางที่ได้เห็นภาพนั้นก็แอบตกใจอย่างอดไม่ได้ ฝ่าบาทช่างกตัญญูต่อไทเฮาเหลือเกิน ทั้งยังเช็ดตะเกียงอุ่นมือให้นางอีก
มุมปากจวงไทเฮากระตุก
นางคว้าตะเกียงกลับมาด้วยใบหน้าเย็นชา
ฮ่องเต้ยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยเตือน “ยิ้ม เสด็จแม่ ยิ้ม คนมองอยู่นะ!”
ยิ้มบ้ายิ้มบออะไรเล่า!
จวงไทเฮาแสร้งหัวเราะ “เหอะๆๆ”
บรรดาขุนนางเหล่านั้นเดินไปไกลแล้ว จวงไทเฮาก็หุบยิ้มทันที ก่อนจะโยนตะเกียงอุ่นมือที่รับมาจากฮ่องเต้ให้ฉินกงกงอย่างรังเกียจ
ขณะที่ก้าวขึ้นบันไดของตำหนักจินหลวน จวงไทเฮาดึงชายกระโปรงชุดหงส์ลงมาคลุมเท้าก่อนจะย่ำเข้าบนหลังเท้าของฮ่องเต้อย่างจัง
ฮ่องเต้ ‘โอ๊ย…’
รอบตัวมีคนเต็มไปหมด เขางับปากแน่น กลืนเสียงโอดโอยอย่างสิ้นหวังนั้นลงท้องไป
เขาเจ็บจนใบหน้าเหยเก!
จวงไทเฮายิ้มบาง “ฮ่องเต้เป็นอะไรไปหรือ”
ฮ่องเต้แข็งทื่อไปทั้งร่าง จิกลงไปที่ต้นขา “เท้า…เท้า…”
ยกเท้าท่านออกไป!
“โอ้ ฮ่องเต้เท้าแพลงหรือ” ไทเฮาเลิกคิ้วขึ้น ก่อนขยี้ลงบนหลังเท้าเขาอีกครั้ง ฮ่องเต้เจ็บจนตาเหลือ เกือบจะหน้ามืดเป็นลมล้มไป
จวงไทเฮาเอื้อมมือออกไปประคองเขาด้วยท่าทางแสนสง่างาม ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม “ข้าพยุงฝ่าบาทเอง” หลังจากนั้นรอยยิ้มยังคงอยู่ ก่อนจะเค้นเสียงออกมาตามไรฟัน “ทุกคนมองอยู่ ฮ่องเต้ ยิ้มสิ”
ฮ่องเต้ยิ้มแบบนี้สู้ร้องไห้เสียจะดีกว่า
เหล่าขุนนางเองก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างอดไม่ได้…ไทเฮาเองก็รักลูกชายคนนี้มากเหมือนกันนะเนี่ย!
ดูท่าแล้วหลังจากเรื่องเข้าใจผิดที่ว่าจวงไทเฮาเป็นคนวางยาท่านโหวได้คลี่คลาย ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกก็แน่นแฟ้นขึ้นไม่น้อย!
กู้เจียวไม่รู้เรื่องในวังหลวงแม้แต่น้อย หลังจากนางไปส่งจิ้งคงที่ชั้นเรียนปฐมวัยของกั๋วจื่อเจียนก็ไปที่โรงหมอต่อ
นางสังเกตว่าช่วงเช้าจะมีคนไข้ค่อนข้างเยอะ ส่วนช่วงบ่ายนั้นคนจะบางตาลงมาหน่อย แต่ก่อนสาวน้อยจากสำนักบัณฑิตสตรีที่ก็มักจะดิดฉินอยู่ริมรั้วเป็นประจำ ทว่ายามนี้กลับไม่ได้ยินอีกแล้ว
นางเคยให้เสี่ยวเจียงหลีหัดดีดฉิน แต่ถึงกระนั้นสาวใช้ตัวน้อยกลับสนใจแค่ตำรับยา พอให้เรียนดีดฉินก็ท่าทางประดักประเดิดยิ่งกว่าตอนที่นางคัดอักษรด้วยซ้ำ
นางจึงล้มเลิกความคิดที่จะให้เสี่ยวเจียงหลีหัดดีนฉิน
กู้เจียวมองฉินฝูซีบนโต๊ะ ปลายนิ้วเคาะลงบนกล่องฉินสองสามที ก่อนจะเปิดกล่องออกแล้วยกฉินฝูซีที่ก้นดำไหม้นั้นขึ้นมา
เรียวนี้ของนางไล้ไปตามสายฉินอย่างแผ่วเบา แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ดีดแม้สักบทเพลง นางวางฉินฝูซีกลับลงที่เดิมแล้วปิดกล่อง จากนั้นลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกจากโรงหมอไป
นางไปที่โรงประลอง
หลังจากผ่านประสบการณ์ประลองยุทธ์มาหลายเดือน นางไต่เต้าจากนักประลองระดับต้นกลายเป็นระดับอาจารย์ของโรงประลองแล้ว หากเลื่อนชั้นขึ้นไปอีกก็คงเป็นระกับปรมาจารย์แล้ว
ได้ยินมาว่าทั้งเมืองหลวงมีปรมาจารย์รวมกันแล้วไม่ถึงหยิบมือ หากตัวจบได้ยากมาก
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่เล่าลือกันในวงการ แต่สำหรับชาวเมืองทั่วไปแล้วก็คือฝีมือในยุทธภพกลุ่มหนึ่ง
เมื่อมาถึงระดับปรมาจารย์แล้วน้อยนักที่จะปรากฏตัวในโรงประลอง โรงประลองไท่เหอมีปรมาจารย์คนหนึ่งประจำอยู่ ทว่ามีเพียงแค่ชื่อที่แขวนไว้เท่านั้น กู้เจียวมาโรงประลองหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นมาแต่ไรผมเขา
วันนี้ท่านเหล่าโหวเองก็มาที่โรงประลอง เขาไม่ได้มาดูเพื่อดูการประลองของกู้เจียวเพียงอย่างเดียว แต่เขาอยากเห็นเหมือนกันว่าที่นี่มีเมล็ดพันธุ์ชั้นดี ที่มีแววจะเติบโตหรือไม่
คงเป็นการยากนักที่จะหาคนที่ทั้งหนุ่ม ทั้งมีพรสวรรค์ ทั้งยังสามารถควบคุมจิตสังหารของตนได้
เขาคือขุนศึกในสนามรบ ชีวิตนี้ฆ่าคนศัตรูมาแล้วนับไม่ถ้วน เหตุถึงจะสัมผัสถึงจิตสังหารจากตัวคนไม่ได้
ท่านเหล่าโหวไม่รู้เหมือนกันว่าพี่น้องร่วมสาบานของเขานั้นผ่านอดีตอันใดมา จิตสังหารถึงได้แรงกล้าเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขากำลังกดจิตสังหารในการตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นปีศาจที่คร่าชีวิตคน
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ท่านเหล่าโหวชื่นชมกู้เจียว
กู้เจียวลงมาจากสังเวียนประลอง ท่านเหล่าโหวเองก็ออกมาจากห้องส่วนตัวบนชั้นสอง ทั้งพบกันที่โถงใหญ่
ท่านเหล่าโหวยิ้มให้กู้เจียว “การประลองวันนี้จบแล้วหรือ”
กู้เจียวพยักหน้า
“ช่วงนี้ฝีมือเจ้าก้าวหน้ามาก” เหนือความคาดหมายของเขา หากไม่ใช่เพราะเขาคอยจับตาการต่อสู้ของสหายร่วมสาบานคนนี้ทุกสังเวียน คงคิดว่าสหายผู้นี้เดิมคงเคยเป็นยอดฝีมือมาก่อน แต่เพราะเหตุผลบางอย่างทำให้สูญเสียพลังไป และตอนนี้กำลังใช้วิธีการบางอย่างค่อยๆ ฟื้นพลังให้กลับมาก็เท่านั้น
ท่านเหล่าโหวถามต่อ “ว่าแต่ชวงนี้เจ้ายังฝึกเพลงทวนอยู่หรือไม่ได้”
พอเอ่ยถึงเรื่องนั้น กู้เจียวก็กะพริบตาปริบๆ
ท่านเหล่าโหวชะงักไป “เจ้าได้พกหอกพู่แดงมาด้วยไหม”
กู้เจียวส่ายหน้า
ท่านเหล่าโหวไม่รู้ว่าหอกพู่แดงของนางนั้นหายไปตั้งแต่คืนที่ช่วยชีวิตฝ่าบาทแล้ว คิดว่านางลืมไว้ที่บ้านก็เท่านั้น เขายิ้มพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร ข้านำหอกพู่แดงเล่มให้มาให้เจ้าพอดี”
กู้เจียวตามเขาไปยังด้านหลังโรงประลอง
รถม้าของท่านเหล่าโหวจอดอยู่ที่หน้าประตูหลัง เขาขึ้นไปบนรถม้าแล้วคว้าหอกที่ถูกพันด้วยผ้าสีแดงลงมา แล้วเดินมายื่นให้ตรงหน้ากู้เจียว “ลองดู”
กู้เจียวรับมา ก่อนจะคลี่ผ้าแดงออกเพื่อดู
ว้าว!
คือหอกเล่มนั้นที่เห็นในค่ายทหาร
หอกพู่แดงเล่มนี้ยาวกว่าหอกพู่แดงทั่วไปสองฉื่อ น้ำหนักเองก็หนักมาก ปลายหอกคมกริบส่องประกายแวววาว กู้เจียวลองใช้สองสามกระบวนท่า ท่วงท่าสง่างามทั้งยังว่องไว ดุดันเหลือหลาย
ความพอใจเผยขึ้นในแววตาของท่านเหล่าโหวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ สายตาของเขานั้นเฉียบแหลมเหลือ รู้ว่าได้ว่าหอกพู่แดงของแม่ทัพชื่อดังจากแคว้นเจียงนั้นเหมาะกับสหายของเขามาก
“ไม่รู้สึกว่าหนักหรือ” เขาถาม
กู้เจียวส่ายหน้า
นางชอบน้ำหนักของมัน ให้ความรู้สึกทรงพลานุภาพทำลายล้าง ยิ่งหนักยิ่งทรงพลัง
นางลองใช้อีกกระบวนท่า ยิ่งได้ลองก็ยิ่งพึงพอใจ
แต่ก่อนนางไม่ชอบอาวุธสังหารของทหารสักเท่าไหร่ แต่หอกพู่แดงนี้ช่างถูกใจนางเหลือเกิน
ท่านเหล่าโหวสังเกตุกระบวนท่าของนางโดยตลอด เป็นชุดกระบวนท่าที่ตัวเขาสอนนาง
เอง แต่กระบวนท่าเหล่านั้นเหมาะกับหอกพู่แดงทั่วไปมากกว่า ไม่สามารถดึงเอาพลังสูงสุดของหอกพู่แดงเล่มนี้ออกมาได้
“น้องกู้ เจ้ารอเดี๋ยว” เขาเดินเข้ามาใกล้ “ส่งหอกพู่แดงมาให้ข้าที”
กู้เจียวกำลังเล่นอย่างเมามัน ก็ได้แต่เบะปากแล้วยื่นหอกพู่แดงให้เขา
ท่านเหล่าโหวรับมา ไม่ได้ใช้กระบวนท่าพิสดารแต่อย่างใด เขาออกกระบวนท่าหนึ่ง สองเขาของเขาย่อลงเล็กน้อย มือขวาจับที่ปลายของหอกพู่แดง ระยะใกล้กับเอวฝั่งขวาของตัวเขา ส่วนมือซ้ายก็กำที่ตรงกลางของด้ามหอก หันปลายหอกชี้ไปข้างหน้า ก่อนจะแทงออกไปอย่างแรง!
กระบวนที่ที่ดูแสนง่ายไป ทว่าวินาทีนั้นแฝงไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า แม้แต่พายุทรายยังต้องตื่นกลัว แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้ายังพ่ากันส่งเสียงเซ็งแซ่
หน้ากากของกู้เจียวถูกแรงลมพัดไหวจนเคลื่อนลงมาเล็กน้อย
นางอ้าปากตาค้างในทันใด แววตาเป็นประกายสุกใส ล้วงสมุดจดของตัวเองออก ก่อนจะขีดเขียนลงไป “นี่คือกระบวนท่าอะไรหรือ”
ท่านเหล่าโหวอดีตอย่างใจเย็น “เรียกว่ากระบวนท่าสี่กลาง เป็นเพลงทวนระดับกลาง เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้วิชาหกประสาน จากบรรดาหอกทวนยาวยี่สิบสี่ชนิด หอกนี้พลานุภาพอยู่ลำดับต้นๆ มองดูเหมือนหอกธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลิกแพลงใช้ได้ไร้ขีดจำกัด เจ้าอย่ายังไม่ต้องฝึกกระบวนท่าอื่น ลองกระบวนท่านี้ก่อน เอานี่ ลองดู”
กู้เจียวรับหอกพู่แดงมาลอง
…และแน่นอนว่ายังไม่ถูกท่าถูกทางสักเท่าไหร่
ท่านเหล่าโหวเอ่ย “ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ฝึก”
คิดถึงแต่ก่อนตอนนั้นอาจารย์ของเขาให้เขาฝึกท่านนี้อยู่ห้าปีเต็ม เขาเคยสงสัยในเจตนาของอาจารย์ หลายปีต่อมาถึงได้เข้าใจว่าความจริงแล้วเพลงสุดยอดกระบวนท่าเพลงทวนต่างรวมกันอยู่ในท่านี้
กู้เจียวฝึกอยู่พักใหญ่ ฝึกจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว
ท่านเหล่าโหวเห็นว่าวันนี้ฝึกมาได้พอประมาณแล้วจึงเอ่ยกับกู้เจียว “วันหลังค่อยมาฝึกต่อเถอะ นี่ก็ได้เวลาแล้ว น้องกู้หิวหรือไม่ ข้าจะเลี้ยงเนื้อลาเจ้าสักหน่อย ใกล้ๆ นี้มีร้านขายเนื้อลาย่าง น้องกู้คงจะชอบ”
กู้เจียวตั้งหอกพู่แดงไว้กับพื้นแล้วกอดไว้แน่น ก่อนจะหยิบสมุดเล่มน้อยออกมา “เย็นนี้ข้ามีธุระ ไว้วันหลังจะไปกินเนื้อลาย่างกับท่าน”
“เช่นนั้นหรอกหรือ” ความผิดหวังฉาบแววตาของท่านเหล่าโหว
กู้เจียวมองเขาแล้วเขียน “ดูเหมือนท่านมีเรื่องไม่สบายใจ”
“มะ…ไม่มีหรอก” แค่อยากหาเพื่อนดื่มเหล้าสักคนก็เท่านั้น
กู้เจียวขีดเขียนต่อ “พวกเราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน พี่น้องกันย่อมคุยได้ทุกเรื่อง”
น้องกู้เป็นคนที่ไว้ใจได้ บวกกับช่วงนี้ท่านเหล่าโหวนั้นมีเรื่องว้าวุ่นใจมากมายจริงๆ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมออกมาแล้วเอ่ยกับกู้เจียว “น้องกู้ หากเจ้ามีเพื่อนคนหนึ่ง”
เอาอีกแล้ว เรื่องของเพื่อนคนหนึ่ง
มีหรือกู้เจียวจะไม่เข้าใจ
ท่านเหล่าโหวอ้าปากเล่าต่อ “หากข้าทำเรื่องผิดศีลธรรมประเพณี เจ้าจะสนับสนุนข้าหรือไม่”
กู้เจียวเขียน “ต้องดูว่าเรื่องผิดศีลธรรมนั้นเป็นเรื่องอะไร”
ท่านเหล่าโหวกระแอม “อย่างเช่นว่า..พาใครคนหนึ่งหนีไป”
เอ๋อ ตาเฒ่านี่จะหนีไปกับผู้หญิงสินะ!
กู้เจียวเขียนอย่างไม่ลังเล “สนับสนุน!”
ท่านเหล่าโหวสีหน้าตกตะลึง
ไม่สิ นี่เจ้าไม่ลังเลสักนิดเลยหรือ เหตุใดถึงได้มั่นใจนัก
กู้เจียวเขียนคำที่ได้มาจากการแอบดูสมุดบันทึกของอาจารย์ในภพชาติก่อน “ความรู้สึกเป็นเรื่องของคนสองคน หากต่างฝ่ายต่างชอบพอกัน ก็ย่อมออกไปแสวงหาอิสระเสรีด้วยกันได้”
เพราะภายในองค์กรนั้นไร้ซึ่งอิสระ แล้วก็ห้ามหลงรักใครเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกอาจารย์ลงโทษเอา
เพราะอย่างนั้นเหตุใดในสมุดบันทึกของอาจารย์ถึงได้มีคำพูดเช่นนี้ กู้เจียวเองก็สงสัยมาตลอด
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรนางก็ตายแล้ว ไม่มีวันได้พบอาจารย์อีกแล้ว
กู้เจียวเขียนต่อ “ชอบ ก็ ต้อง กล้า จีบ! ไม่ ต้อง กลัว สาย ตา คน อื่น!”
ท่านเหล่าโหวลมหายใจสะดุดกึก “หากถูกปฏิเสธเล่า…”
กู้เจียวเขียน “ปฏิเสธก็แปลว่านางไม่ชอบท่าน ท่านก็จะได้ตัดใจ!”
เหตุใดถึงพูดเหมือนกู้เหยี่ยนไม่มีผิดเพี้ยน!
เด็กหนุ่มสมัยนี้ล้วนแต่คิดเช่นนี้หรือ
ท่านเหล่าโหวหน้านิ่ง “ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย!”
กู้เจียว ‘อ๋อ’
เมื่อความคิดถูกใครคนหนึ่งตอกย้ำ บางทีตัวเองก็ยังไม่อาจแน่ใจ แต่พอมีคนที่สองมาตอกย้ำอีก ความคิดนั้นก็เหมือนได้ชูกิ่งก้านหัวใจ
อย่าว่าแต่สุ่มถามใครก็ได้สักสองคนเลย คำตอบที่ได้ก็เหมือนกันอยู่แล้ว แสดงว่าแต่ก่อนนั้นเขาคิดมากเกินไป แท้จริงเรื่องราวนั้นแสนง่ายดาย
เขาจะพานางหนีออกจากวังหลวง!