สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 350 ลูกพี่จิ้งคง
บทที่ 350 ลูกพี่จิ้งคง
ท่านเหล่าโหวพูดจริงทำจริง เร่งวางแผนการของตัวเองในทันที
กู้เจียวยังไม่รู้ว่าบ่อน้ำที่ตัวเองกับกู้เหยี่ยนกวนนั้นคือน้ำโคลน นางบอกลาท่านเหล่าโหวแล้วกลับไปยังโรงหมอ ถอดหน้ากากออก เปลี่ยนเสื้อผ้าผืนใหม่ แล้วไปรับเสี่ยวจิ้งคงที่กั๋วจื่อเจียน
เพราะรู้ว่ากู้เจียวจะมารับตนเองหลังเลิกเรียน เสี่ยวจิ้งจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แม้แต่ตอนเรียนก็ตั้งใจเรียนกว่าเดิม ตลอดทั้งวันไม่เถียงกับอาจารย์ซุนเลย
วันนี้เป็นวันที่สบายที่สุดในรอบปีของอาจารย์ซุนก็ว่าได้ รู้สึกว่าเส้นผมของชายวัยกลางคนไม่ได้ได้บางเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“ไปเล่นที่เรือนข้ากัน” สวีโจวโจวที่เดินออกมาจากห้องเรียนพูดกับเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้าอย่างเย็นชา “วันนี้ไม่ไป ข้าจะกลับบ้านกับเจียวเจียว”
สวีโจวโจวครุ่นคิด “ก็ได้ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้เล่า”
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้าเหมือนเดิม “พรุ่งนี้ก็ไม่ไป พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านกับเจียวเจียว”
หลายวันมานี้ที่พี่เขยนิสัยเสียไม่อยู่ เจียวเจียวก็จะมารับเขากลับบ้านทุกวัน แค่คิดถึงก็มีความสุขแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงโคลงศีรษะน้อยไปมา เดินออกไปอย่างแจ่มใสไม่มีใครเกิน
ทิ้งให้สวีโจวโจวยืนมึนงงอยู่ที่เดิม สหาย… ที่แท้ก็เห็นข้าเป็นแค่ตัวสำรองอย่างนั้นรึ!
เสี่ยวจิ้งคงเดินออกมาจากกั๋วจื่อเจียน เจียวเจียวก็ถึงพอดี สองมือเล็กใหญ่จูงมือกันเดินกลับบ้าน
เสี่ยวจิ้งคอเอียงขอถามอย่างน่าเอ็นดู “เจียวเจียว ข้าคิดถึงเจ้าจังเลย วันนี้เจ้าสวยกว่าเมื่อวานอีก!”
กู้เจียวยิ้มกว้าง “ใช่หรือ”
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้ารัว “ใช่แล้ว ใช่แล้ว! คนออกบวชไม่พูดโกหกหรอกนะ”
เจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นคนออกบวชอยู่อีกหรือ
กู้เจียวมองตอผมสั้นที่โดนโกนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ก่อนจะคิดในว่าคราวนี้คงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือไม่ จะได้เป็นซาลาเปาน้อยผมดำสลวยเหมือนคนอื่นเขาเสียทีหรือยัง
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดโลดเต้น กลับไปยังตรอกปี้สุ่ยด้วยความดีใจ
กู้เจียวออกไปตักน้ำผ่าฟืน เสี่ยวจิ้งคงกลับเข้าห้องเพื่อทำการบ้าน เพราะเซียวลิ่วหลังไม่อยู่ จี้จิ่วอาวุโสจึงเป็นคนตรวจการบ้านให้เขา
วันนี้จี้จิ่วอาวุโสยังไม่ออกเวร
ไม่นานเสี่ยวจิ้งคงก็ทำการบ้านที่อาจารย์ซุนมอบหมายเสร็จ เขาออกมาจากห้อง เดินมาหยุดอยู่ข้างกายกู้เจียวที่กำลังผ่าฟืน ฝ่ามือน้อยไขว้กันอยู่ด้านหลัง ดวงตาเลิ่กลั่กพลางเอ่ย “เจียวเจียว ข้าจะไปเล่นกับจ้าวเสี่ยวเป่าข้างบ้าน”
จ้าวเสี่ยวเป่าเป็นหลานแท้ๆ ของท่านปู่จ้าว อายุน้อยกว่าจิ้งคงหนึ่งขวบ เป็นเพื่อนเล่นที่อายุใกล้เคียงกับเสี่ยวจิ้งคงที่สุดแล้ว
กู้เจียวไม่คัดค้าน “ไปสิ ประเดี๋ยวข้าวเย็นเสร็จแล้วจะไปเรียกเจ้า”
ดวงตาของเด็กน้อยยังคงดูลุกลี้ลุกลน “คือ…ข้าขอเอาของไปด้วยได้ไหม”
“ได้สิ” กู้เจียวไม่ติดใจ คงเป็นเพราะผ่าฟืนอยู่จึงไม่เห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเด็กน้อย
เสี่ยวจิ้งคงกลับมายังห้องของตัวเอง…ห้องฝั่งตะวันออก ใช่แล้ว ถึงพี่เขยจะอยู่ห้องฝั่งตะวันตกเหมือนกัน แต่เสี่ยวจิ้งคงคิดว่าตนเองต่างหากที่เป็นเจ้าของห้องฝั่งตะวันตกตัวจริง
เขาอุตส่าห์รับเลี้ยงพี่เขยนิสัยไม่ดีที่อาจตกกระป๋องได้ทุกเมื่อ เขาช่างเป็นเด็กน่ารักอะไรอย่างนี้!
ข้าวของกระจุกกระจิกของเสี่ยวจิ้งคงครึ่งหนึ่งอยู่ที่บ้าน อีกครึ่งหนึ่งขนไปไว้ที่เรือนเล็กในโรงหมอ
เขาเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วลากกล่องใบน้อยของตัวเองออกมา จากนั้นก็เทหนังสือออกจากถุงหนังสือ ต่อมาก็หยิบของที่ดูไม่ค่อยหน้าสนใจออกมาจากกล่องแล้วใส่เข้าไปในถุงที่ว่างเปล่า
“เจียวเจียว ข้าไปละนะ!”
เขาแบกถุงหนังสือขึ้นหลัง ก่อนจะวิ่งตึงตังออกไปจากลานบ้าน
ตอนกู้เจียวเหลียวไปมองเขา เจ้าตัวน้อยก็วิ่งไปไกลจนไม่เห็นเงาแล้ว
นางเผลอยิ้มออกมา
เด็กดื้อ
เสี่ยวจิ้งคงนับว่าเป็นเด็กรู้จักควบคุมตัวเอง ปกติแล้วจะไม่เถลไถล เพราะเหตุนี้กู้เจียวจึงไม่คิดว่าเสี่ยวจิ้งคงจะไปที่ไหนนอกเหนือจากข้างบ้าน ทว่าเสี่ยวจิ้งคงนั้นกลับแบกของพะรุงพะรังของตัวเองไปยังโรงจำนำบนถนนเสวียนอู่
เมื่อเจ้าของร้านเห็นว่าเป็นเด็กคนหนึ่ง ก็นึกว่าเข้ามาวิ่งเล่น จึงรีบโบกมือไล่ “ไปเล่นที่อื่น ไป!”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “ข้าไม่ได้มาเล่นนะ! ข้าเอาของมาจำนำ!”
เขาไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขากับสวีโจวโจวและพี่ฉู่อวี้ก็เคยมาที่นี่ รู้ว่าที่นี่ทำการอย่างหนึ่งเรียกว่าจำนำ
เถ้าแก่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ยามได้ยินเด็กพูดจาเหมือนผู้ใหญ่มักจะชวนขำอยู่เสมอ เถ้าแก่เองก็ไม่ได้เร่งเร้าให้เขาเอาของออกมา แต่กลับยิ้มพลางเอ่ยถาม “เจ้าจะจำนำอะไรล่ะ”
“อืม…ของพวกนี้น่ะ! ท่านลองดูว่าอันไหนถูกใจท่านบ้าง! หากท่านถูกใจอันไหน ข้าก็จะจำนำอันนั้น!” เสี่ยวจิ้งคงเขย่งปลายเท้าแต่ก็ยังสูงไม่พ้นตู้อยู่ดี เขาหงุดหงิด “ไอ้หยา ท่าน ท่าน ท่าน ท่านออกมาดูเองก็แล้วกัน!”
เถ้าแก่ขบขันเพราะเสี่ยวจิ้งคง เขาเปิดประตูบานหนึ่งแล้วเดินออกมา “เอาละ ไหนข้าดูซิว่าเจ้ามีของสิ่งใดบ้าง”
เขาไม่คิดเลยสักนิดว่าเด็กน้อยผู้นี้จะนำของมาจำนำจริงๆ คิดว่ามาเล่นซนเสียมากกว่า
เสี่ยวจิ้งคงยื่นถุงหนังสือให้เขา
เถ้าแก่หยิบของในถุงออกมาวางลงบนหลังตู้ แม่เจ้า ชิ้นแรกก็ทำเขาหัวเราะลั่นออกมาแล้ว
คนที่ค้าขายในแวดวงเดียวกันกับเขา คงเห็นของโบราณในราชวงศ์ก่อนมานักต่อนัก ตั้งแต่ภาพเขียนขงจื้อไปจนกระทั่งของหายากของทั้งหกแคว้นก็เคยผ่านมือแล้วทั้งนั้น
ไหนดูซิข้างในมีอะไร
โฉนดที่ดินแคว้นเหลียง ถ้วยสว่างราตรีของแคว้นเฉิน…หลังจากนั้นก็ยิ่งเด็ดเลย แม้แต่ลัญจกรหยกกับตราพยัคฆ์ก็มี
เถ้าแก่หัวเราะจนท้องแข็งไปหมด
ของเล่นเด็กสมัยนี้หลากหลายดีแท้ จะว่าไปแล้วก็เลียนแบบเสียเหมือนเชียว
เถ้าแก่ไม่เชื่อว่าของเหล่านี้จะเป็นของจริง
เถ้าแก่เก็บของกลับลงในถุง ยิ้มพลางยื่นตังเมแท่งหนึ่งในเสี่ยวจิ้งคง เพราะเห็นแก่ความน่ารักของเขาหรอกนะ “มีของเยอะแยะเพียงนี้ สุดยอดไปเลย เอาละ กลับบ้านเถิด”
เสี่ยวจิ้งคงกลืนน้ำลาย “ข้าไม่ต้องการตังเม ข้าต้องการจำนำ”
เถ้าแก่เอ่ย “จำนำไม่ได้หรอก”
เสี่ยวจิ้งคงตาเบิดโพลง “เพราะเหตุใดกัน ในนี้ไม่มีของที่ท่านอยากได้เลยหรือ ท่านยังเห็นไม่หมดนะ ข้างในยังมีอีก! หากท่านถูกใจ ข้าจะเรียกราคาถูกลงมาหน่อยก็ได้!”
เสี่ยวจิ้งคงมีเรื่องต้องใช้เงินเร่งด่วน ถึงแม้เข้าจะเป็นเจ้าของที่ดิน แต่ละเดือนมีเงินค่าเช่าเข้าบัญชีตั้งสองแห่ง แต่เงินของนั้นยกให้เจียวเจียวเป็นคนดูแล หากเขาต้องการใช้ก็ไปขอที่เจียวเจียว
แต่เขาไม่อยากให้เจียวเจียวรู้
เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้นึกถึงการจำนำ
เถ้าแก่มองดวงหน้าน้อยแสนน่ารัก สุดท้ายก็ไม่อาจทำใจบอกไปว่าของของเขาเป็นของปลอม หรือว่าจำนำไม่ได้ เพียงแต่เอ่ยกับเขา “จำนำไม่ได้ก็คือจำนำไม่ได้อย่างไรเล่า เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าได้วิ่งซนไปทั่ว รีบกลับบ้านไป!”
เสียวจิ้งคงที่ถูกปฏิเสธก็ได้แต่ถอนหายใจยาว
เขาหางลู่หูตก แบกถุงหนังสือเดินออกมาจากโรงจำนำ
บนถนนเสวียนอู่มีโรงจำนำทั้งหมดสามแห่ง เขาไปอีกสองแห่งที่เหลือ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้เข้าไปก็ถูกไล่ออกมา
เด็กน้อยสะเทือนใจเพราะถูกปฏิเสธติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า ยู่ปากเล็กนั้นด้วยความน้อยใจ
เขาเดินกลับอย่างเศร้าสร้อย
ทันใดนั้นชายคนหนึ่งในชุดยาวสีขาวนวลดั่งดวงจันทร์ คลุมทับด้วยเสื้อผ้าโปร่งสีหมึกคราม เอวคาดเข็มขัดหยก เขากำลังยืนขวางจิ้งคงเอาไว้
ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนโยน ในมือถือพัด ส่งยิ้มบางพลางมองไปทางเสี่ยวจิ้งคง “เจ้าหนู เจ้าอยากจำนำของรึ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เสี่ยวจิ้งคงมองเขาอย่างหวาดระแวง
ชายหนุ่มใช้พัดฟาดลงบนกลางฝ่ามือพลางเอ่ย “เมื่อครู่ข้ากำลังเลือกของอยู่ที่โรงจำนำ เห็นเจ้าถูกไล่ตะเพิดออกมาน่ะสิ”
“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงเข้าใจในทันใด “ที่แท้เจ้าเห็นแล้วสินะ”
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยน “บังเอิญนัก ข้าไม่เจอของถูกใจในร้านเมื่อครู่เลย ไม่รู้ว่าเจ้าจะมีของที่ข้าชอบหรือไม่”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด “ข้าให้เจ้าดูได้นะ!”
ชายหนุ่มย่อตัวนั่งลง แล้วล้วงมือเข้าไปข้างในถุงหนังสือของเสี่ยวจิ้งคง ยิ่งได้เห็นสีหน้าของเขาก็ยิ่งประหลาดใจ “น้องชาย เจ้ามีของดีเยอะไม่เบานี่”
เสี่ยวจิ้งคงยืดอก “ข้าบอกแล้ว! ข้ามีของดีเยอะแยะ! มีแต่ท่านที่รู้จักของ! ท่านของได้สิ่งใด ข้าจะคิคราคาถูกให้ท่าน! ไม่สิ ข้าไม่รู้จักท่าน หากก็คงไถ่คืนไม่ได้แล้ว เช่นนี้ก็แล้วกัน ขายให้ท่านราคาถูกๆ ไปเลย!”
เขาถามท่านปู่ว่าจำนำแปลว่าอะไร รู้ว่าแตกต่างจากการขาย
ชายหนุ่มหลบตาลงยิ้ม ก่อนจะหยิบลูกคิดทองคำออกมาจากถุงหนังสือของเสี่ยวจิ้งคง
เจ้าของโรงจำนำแห่งแรกไม่เห็นลูกคิดทองคำนี้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอน
ท่ามกลางของมากมาย เสี่ยวจิ้งคงกลับชอบเจ้าลูกคิดทองคำนี้มากที่สุด
เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายเลือกมันขึ้นมา ในใจก็รู้สึกปวดร้าว
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขายสิ่งนี้ให้ข้า เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เสี่ยวจิ้งคงอาลัยอาวรณ์ กัดปากกัดฟันพยักหน้า “สิ่งนี้ สิ่งนี้แพงนัก!”
“เท่าไหร่หรือ” ชายหนุ่มถาม
เสี่ยวจิ้งคงตอบอย่างปวดใจ “ห้า ห้าร้อยตำลึง!”
นั่นเป็นเลขในใจเขา หากราคาต่ำกว่านี้เขาก็จะไม่ขาย
“ได้เลย!” ชายหนุ่มหยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงห้าใบให้เขาด้วยใจหน้ายิ้มแย้ม
เสี่ยวจิ้งคงรับตั๋วเงินมา ตอนสุดท้ายยังแอบเหลือบมองลูกคิดทองคำชิ้นโปรดอีกหนึ่งครั้ง
เจ้าทอง ลาก่อนนะ
ขอโทษด้วย ข้าเองก็ไม่อยากขายเจ้าหรอก
แต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงรู้ว่าเป็นตั๋วเงินของจริง เพราะทุกเดือนต้องเก็บค่าเช่า
เขาถือตั๋วเงินไว้ในมือ แบกถุงหนังสือขึ้นหลัง ก่อนจะเดินจากไปด้วยน้ำตาคลอ
ชายหนุ่มมองแผ่นหลังเศร้าหมองของเสี่ยวจิ้งคง ก็เอ่ยขึ้นมาอยากอดไม่ได้ “น้องชาย! ข้าชื่อหมิงเย่ว์ เจ้าเรียกข้าว่าท่านชายหมิงเย่ว์ก็ได้! ไว้พบกันใหม่!”
เสี่ยวจิ้งคงยกมือขึ้นปาดน้ำตา
ฮือ
เจ้าทองจากไปแล้ว
ปวดใจเหลือเกิน
“ท่านชาย” องครักษ์หนุ่มชุดเทาเดินออกมาจากตรอก มองลูกคิดทองคำในมือของเขาพลางเอ่ย “ในมือเขามีของดีมากมาย เหตุใดท่านชายจึงเลือกของไม่มีราคาที่สุดเช่นนี้”
ใช่แล้ว ของกระจุกกระจิกในถุงหนังสือของเสี่ยวจิ้งคงนั้น แม้จะสุ่มหยิบมาสักอันก็มีราคายิ่งกว่าลูกคิดทองคำนั่น
ท่านชายถลึงตาใส่ “แม้แต่เจ้าก็คิดจะเอาเปรียบหรือ”
องครักษ์หนุ่มทำปากขมุมขมิม พูดอย่างกับท่านไม่เอาเปรียบเด็กอย่างนั้นล่ะ ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงแลกกับลูกคิดทองคำ ท่านชายคงขาดทุนแย่กระมัง!
“ว่าแต่” องครักษ์หนุ่มกลับเข้าประเด็น “เด็กคนนี้มีความสัมพันธ์คนผู้นั้นจริงๆ หรือ”
ท่ายชายแค่นหัวเราะ “นอกจากคนผู้นั้นแล้ว จะมีใครมีของล้ำค่ามากมายขนาดนี้”
องครักษ์หนุ่มชะงักไป “แล้ว…แล้วคนผู้นั้นจะปรากฏตัวหรือไม่”
ชายหนุ่มมองเงาร่างน้อยที่เดินจนลับหายไปจากถนนพลางเอ่ย “จับตาดูเณรน้อยนั่นไว้ สักวันหนึ่งคนผู้นั้นต้องปรากฏตัวขึ้นแน่นอน!”