สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 355 พ่อหนุ่มผู้แสนโชคร้าย
บทที่ 355 พ่อหนุ่มผู้แสนโชคร้าย
มือเย็นวันนี้แม่นมฝางเป็นคนเข้าครัว อวี้หยาร์ไม่ทันได้ระวังจึงเติมฟืนเยอะเกินไป จนอาหารของสองสามจานของเสี่ยวจิ้งคงไหม้เกรียมไปนิดหน่อย
ทว่าเสี่ยวจิ้งคงนั้นไม่ใช่คนเลือกกิน เขากินหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เขาอยากโตไวๆ พอโตแล้วก็จะได้แต่งงานกับเจียวเจียว!
อีกฟากหนึ่ง เซียวลิ่วหลังที่อยู่ที่หมู่บ้านผิงซานจึงไม่รู้ว่าภรรยาของตัวเองถูกเจ้าเด็กน้อยหมายปอง เขากำลังช่วยเหล่าชาวบ้านขนไม้บนคันนา
คนที่มาช่วยเขาคนยังมีขุนนางตำรวจจากกรมพระคลังอีกคน
คนหลายสิบคนยืนเป็นแถวเรียงราย ไม่จำเป็นต้องขยับตัวไปไหน ท่อนไม้ก็ถูกส่งต่อลำเลียงจากมือของหัวแถวมาเรื่อยๆ
ในเพิงที่ตั้งอยู่ไม่ไกล อันจวิ้นอ๋องกำลังช่วยซ่างซูหรือรองเสนาบดีกรมพระคลังจัดการบัญชีรายจ่ายของการมาเยือนชนบทครั้งนี้
กรมพระคลังของรัชสมัยนี้ดูแลตั้งแต่ที่ดิน ที่นา ทะเบียนราษฎร์ อากร เงินเดือนขุนนาง เสบียงกองทัพตลอดจนทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการคลัง หนึ่งในนั้นรวมถึงจัดสรรที่ดินทำไร่ทำนาด้วย
ที่พวกเขามายังชนบทครั้งนี้เพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยเป็นอย่างแรก อย่างที่สองมาเพื่อช่วยชาวพวกเขาขุดคูทดน้ำ ช่วยฟื้นสภาพท้องนาหลังภัยพิบัติ
เพราะกำลังคนไม่พอ เรื่องบางเรื่องเหล่าขุนนางจึงต้องลงมาทำเอง
อันจวิ้นอ๋องปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหมู่คณะในวันเดินทาง ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้ข่าวเลยว่าเขาจะไปที่ชนบทด้วย
อาการบาดเจ็บที่ขาของอันจวิ้นอ๋องดีขึ้นมากแล้ว ว่ากันตามหลักเขาสามารถลงท้องที่ได้แล้ว แต่ราชครูจวงส่งคนมากำชับซ่างซูกรมพระคลังไว้ก่อนหน้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกซ่างซูกรมพระคลังรั้งไว้ให้ทำงานสบายไม่ต้องแบกหาม
เขาจดบัญชีไปพลาง หันไปมองเซียวลิ่วหลังที่ฝั่งคันนาไปพลางโดยไม่รู้ตัว
เพราะอากาศร้อนอบอ้าว เหล่าชาวบ้านจึงพากันถอดเสื้อ แม้แต่ตำรวจจากกรมพระคลังเองก็เปลือยท่อนบนเช่นกัน เซียวลิ่วหลังในชุดขาวทั้งร่างจึงดูสะดุดตายิ่งนัก
เสื้อของเขาชุ่มเหงื่อจนเห็นทะลุปรุโปร่ง แนบไปเนื้อไปกับเนื้อตัว วันนี้ทำให้เห็นว่าร่างกายของเขากำยำกว่าที่คิดไว้
แขนเสื้อของเขาถูกถลกสูงขึ้น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ท่อนแขนอย่างชัดเจน
อันจวิ้นอ๋องบีบแขนของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้กำยำเท่าอีกฝ่าย
อีกอย่างอันจวิ้นอ๋องคลับคล้ายคลับคลายว่า หนึ่งปีก่อนตอนที่เขาไปยังชนบท เซียวลิ่วหลังยังตัวสูงไม่เท่าเขาเลย แต่ทำไมตอนนี้ดูเหมือนจะสูงขึ้นเป็นกอง
“จวงเปียนซิว ทำเสร็จแล้วหรือไม่” ซ่างซูกรมพระคลังถาม
“ใกล้แล้วขอรับ” อันจวิ้นอ๋องได้สติกลับคืนมา ก่อนจะคำนวณบัญชีหน้าสุดท้ายแล้วยื่นให้ซ่างซูกรมพระคลัง “เสร็จแล้วขอรับ ใต้เท้าโปรดตรวจสอบ”
เซียวลิ่วหลังและเหล่าชาวบ้านทำงานกันจนตะวันตกดิน
ชาวบ้านปิ้งแผ่นแป้งชิ้นใหญ่ นึ่งซาลาเปาธัญพืช ทั้งยังมียำผักดองมาให้ทุกคน เดิมทีตั้งใจว่าจะเชือดไก่ แต่ถูกซ่างซูห้ามไว้ก่อน ‘ราชสำนักไม่ต้องการทรัพย์สินที่แลกมาด้วยเลือดเนื้อของปวงประชา ไม่รับแม้เงินหนึ่งอีแปะจากไพร่ฟ้า ไม่กินแม้ข้าวสารเมล็ดเดียวของปวงชน’
บรรดาข้าวและแป้งทั้งหลายที่ได้รับมานั้น เขาจ่ายเงินให้ชาวบ้านแล้ว
อันจวิ้นอ๋องไม่คุ้นเคยกับอาหารการกินที่นี่นัก แม้จะเคยตกระกำลำบากที่แคว้นเฉินมาก่อน แต่ก็ไม่เคยกินของเหล่านี้ พอหันไปมองเซียวลิ่วหลัง เขากลับกินอย่างเอร็ดอร่อย
เซียวลิ่วหลังนั่งอยู่กับชาวบ้านที่คันนา ไม่ได้วางท่าเป็นขุนนางฮั่นหลินแต่อย่างใด
ชายสูงวัยคนหนึ่งในหมู่บ้านเดินเข้ามา นั่งลงข้างเซียวลิ่วหลังพลางเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ “ใต้เท้าเซียว พอกินได้หรือไม่”
“อร่อยมาก” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
ยามอยู่กับผู้อื่นเซียวลิ่วหลังนั้นแสนเย็นชา ท่าทางเคร่งขรึมอยู่ตลอด ไม่เหมือนอันจวิ้นอ๋องที่แสนอ่อนโยน ทว่าเขานั้นเอาการเอางานและไม่เจ้ายศเจ้าอย่างที่สุดแล้ว เหล่าชาวบ้านจึงสนิทใจที่ใกล้ชิดกับเซียวลิ่วหลังมากกว่าผู้อื่น
ชายสูงวัยคนนั้นฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครเห็น ล้วงไข่ต้มสองสามใบออกมาให้เขา “ยังร้อนๆ อยู่เลย รีบกินเร็ว! ข้าเห็นท่านเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ออกแรงเยอะกว่าพวกที่ทำไร่ทำนาเสียอีก! ป้าเขาต้มไข่มาให้ท่านน่ะ”
เซียวลิ่วหลังปฏิเสธ “ไม่เป็นไรขอรับ ข้ากินอิ่มแล้ว ท่านลุงจางเก็บไว้กินเองเถิด”
ชราสูงวัยพยายามยัดไข่ไก่ใส่ในมือของเขา “ไอ้หยา ให้ท่านกินก็กินเสียเถอะ! คราวก่อนโก่วตั้นมวนท้อง หากไม่ได้ยาของท่าน เขาคงไม่หายดีเร็วขนาดนี้! แล้วก็คราวก่อนหน้านั้นอีก นายอากรถูกแมลงพิษกัดเข้า ก็ได้ท่านช่วยรักษา ยาพวกนั้นไม่ใช่ของราชสำนักหรอกใช่ไหม ล้วนแต่เป็นยาส่วนตัวของท่านทั้งนั้น”
โก่วตั้นคือลูกชายคนเล็กของลุงป้าทั้งสอง
ต่อให้ชายสูงวัยผู้นี้จะไม่รู้ว่ายานั้นราคาแพงมากเท่าใด แต่ใต้เท้าเซียวผู้นี้รักษาชาวบ้านจนยาที่ตัวเองพกมาหมดห่อ คิดเป็นเงินเท่าไหร่เขาเองก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าไข่ไก่เพียงแต่สองสามฟองนั้นไม่มีทางชดเชยได้แน่นอน
ชราสูงวัยเอ่ย “หากท่านไม่กิน ประเดี๋ยวท่านป้าของท่านก็บ่นข้าจนหูชาอีก ท่านไม่รู้หรอกว่ายายแก่คนนั้นน่ะบ่นเก่งขนาดไหน…”
สุดท้ายเซียวลิ่วหลังก็รับไข่นั้นไว้
ชราสูงวัยปลื้มปริ่มเหลือเกิน จากนั้นก็เล่าเรื่องราวในหมู่บ้านให้เขาฟังอย่างออกรสออกชาติ จนกระทั่งเจ้าโก่วตั้นมาเรียกเขา เขาถึงได้กลับไปอย่างแสนเสียดาย ทั้งยังบอกว่าวันพรุ่งนี้จะมาหาเซียวลิ่วหลังอีก
เซียวลิ่วหลังเองก็กลับไปในกระท่อมที่พักชั่วคราว
กระท่อมนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นการชั่วคราว ภายในมีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว ตู้หนึ่งหลัง และตั่งสองตัวที่เอามาชิดกันเพื่อทำเป็นเตียงไม้ หลังหนึ่งเป็นของเขา อีกหลังหนึ่งเป็นของอันจวิ้นอ๋อง
อันจวิ้นอ๋องนั้นพิถีพิถันกว่าเขานัก มีมุ้งกันยุงกางครอบทับ
ส่วนเข้านั้นไม่มีมุ้งกันยุง เพราะเขามีธูปไล่ยุงที่กู้เจียวทำแล้ว จึงไม่ทำเป็นต้องใช้มุ้งกันยุง
ยามนี้ท้องฟ้ายังไม่มืดสักเท่าไร เขาตั้งใจว่าจะเข้าไปในป่าละแวกนี้เพื่อเก็บวัตถุดิบยาไปให้กู้เจียว
วัตถุดิบยานั้นชื่ออะไรเขาเองก็เรียกไม่ถูก แต่เคยเห็นกู้เจียวนำมาตากแห้งที่ลานบ้านอยู่หลายหน
เขาคว้าตะกร้าและไม้เท้า เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงรถม้าควบเข้ามา ก่อนจะหยุดลง จากนั้นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดขุนนางที่เดินลงมา
หากไม่ใช่ท่านโหวกู้แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้อีก
ท่านโหวกู้ซ่อมถนนเสร็จก็มาที่นี่เพื่อรายงานพวกเขาเป็นอันดับแรก เขาเข้าพบกับรองเสนาบดีกรมพระคลังเพื่อเอ่ยทักทาย
ในตอนนั้นอันจวิ้นอ๋องเองก็อยู่ด้วย
ครั้นนึกขึ้นได้ว่าทั้งสองตระกูลเกี่ยวดองกันแล้ว อันจวิ้นอ๋องก็นับว่าเป็นลูกเขยของเขา ท่านโหวกู้มีน้ำจิตน้ำใจและเกรงใจอันจวิ้นอ๋องอย่างล้นเหลือ แต่พอเซียวลิ่วหลังสะพายตะกร้าเดินผ่านเขาไป เขากลับไม่แม้แต่ชายตามองเซียวลิ่วหลัง
อันจิ้นอ๋องเอ่ยเตือนเขา “ท่านโหวกู้ เมื่อครู่คือ…เซียวซิวจ้วน”
“ข้ารู้ขอรับ” ท่านโหวกู้เอ่ยอย่างไม่แยแส
เห็นหน้าค่าตากันมาตั้งแต่ยามอยู่ที่ชนบทแล้ว ต่อให้ขี้เถ้ามาทาหน้าเขาก็รู้!
ไม่มีมารยาทแม้แต่นิด เป็นแค่คนจนจากบ้านนอกคอกนาแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นพ่อตาอย่างเขาอยู่ในสายตา อันจิ้นอ๋องชาติกำเนิดสูงส่งเพียงนี้แต่ไม่เคยไม่เห็นหัวใครเหมือนเขา
อันจวิ้นอ๋องสัมผัสได้ว่าท่านโหวกูนั้นดูแคลนเซียวลิ่วหลัง ก่อนจะเอ่ยอย่างสงสัย “เขาเป็นลูกเขยของท่านโหวนะ”
ท่านโหวกูเอ่ยในใจ ‘ข้ายังไม่ยอมรับเด็กนั่นเลย จะมีลูกเขยได้อย่างไรเล่า! ต่อให้เขายอมรับเด็กนั่น เขาก็ไม่มีทางยอมรับคนจนจากบ้านนอกแบบนั้นมาเป็นลูกเขยของตัวเองหรอก!’
เป็นจอหงวนแล้วอย่างไรเล่า ได้เข้าสำนักฮั่นหลินแล้วอย่างไรเล่า ก็แค่คนบ้านนอกคนหนึ่ง
ลูกเขยของกู้ฉงน่ะหรือ ต้องเป็นอันจวิ้นอ๋องเท่านั้น!
“ได้ยินมาว่าพวกท่านไม่ถูกปากอาหารที่ชนบท ข้าเอาของอร่อยมาให้พวกท่าน!” ท่านโหวกู้ไม่อยากเอ่ยถึงเซียวลิ่วหลังมากไปกว่านี้ เขาลงมาจากรถม้าพร้อมกับเป็ดย่าง ไก่กรอบและเนื้อตากแห้ง หอบทั้งหมดให้กับอันจวิ้นอ๋อง ไม่เหลือให้เซียวลิ่วหลังแม้แต่นิด
เซียวลิ่วหลังไม่รับรู้เรื่องความลำเอียงของท่านโหวกู้ที่มีต่ออันจวิ้นอ๋อง เขาเข้าไปในป่า
เขามาเก็บยาหลายหนแล้ว นับว่าคุ้นเคยกับเส้นทางในป่าพอสมควร เดินมาได้ครึ่งชั่วยามก็ได้วัตถุยาที่ต้องการแล้ว
เขานั่งย่อตัวลงแล้วเริ่มเก็บยา
เขาเคยได้ยินกู้เจียวกำชับอวี้หยาร์ว่ายาชนิดนี้ในเมืองหลวงหาได้ยากนัก ต้องตากให้แห้งสนิท
เซียวลิ่วหลังยังบังเอิญเห็นหญ้าเขียวชนิดนี้ที่บ้านของโก่วตั้นยามที่ไปส่งยาให้ที่เรือนของพวกเขา พอเอ่ยถามถึงได้รู้ว่าเนินเขาฝั่งริมแม่น้ำฟากตะวันออกของป่ามีต้นหญ้าชนิดนี้ขึ้นเต็มไปหมด
ไม่นานเซียวลิ่วหลังก็เก็บได้เต็มตะกร้า สำหรับวันนี้คงพอสมควรแล้ว เขาเองก็ได้เวลากลับแล้ว
ขณะที่เขากำลังจะเดินกลับลงเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงสวบสาบดังขึ้นจากด้านหลังเขา เขาเสียวสันหลังวาบ หันขวับกลับไปมองข้างหลังในทันใด
นั่นคือหมาป่าหิวโซตาเขียวตัวหนึ่ง!
ชายขอบป่าเขาของที่นี่ เหล่าชาวบ้านไม่เคยพบเคยเจอหมาป่าออกมาก่อน ทว่าวันนี้กลับเป็นเขาที่บังเอิญเจอ
โชคชะตาของเขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง
หมาป่าเดียวดายที่พลัดหลงจากฝูง ท่าทางหิวโซ หมอบตัวลงจ้องมองไปที่เหยื่อตรงหน้า ลังเลเพียงไม่นานก็อ้าปากกระหายเลือดกระโจนเข้าหาเซียวลิ่วหลัง!
จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว เซียวลิ่วหลังก็ล้วงลูกแก้วกลมลูกหนึ่งออกมาแล้วปาไปที่หัวของเจ้าหมาป่า!
มีเพียงเสียงระเบิดกึกก้องที่ดังขึ้น หมาป่าหิวโซถูกแรงระเบิดจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทิศ ร้องเสียงโหยหวนก่อนจะล้มลงไป มันเหลียวกลับไปมองเซียวลิ่วหลัง จากนั้นก็สะบัดหางวิ่งหนีเตลิดไป!
เหงื่อเย็นผุดซึมไปทั้งร่างของเซียวลิ่วหลัง
เขาทอดสายตามองไปยังหมาป่าที่วิ่งเตลิดไป ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ดูท่าแล้วข้าคงไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น…”
กู้เจียวให้ดินปืนกับเซียวลิ่วหลังมาสามลูก เพราะหากให้มาเยอะกว่านั้นกลัวว่าจะเขาจะทำระเบิดใส่ตัวเอง
ก็เพราะเขาดวงซวยถึงขนาดนั้น ใช่ไหมล่ะ
เซียวลิ่วหลังมาถึงริมแม่น้ำ นั่งย่อตัวลงแล้วกวักน้ำล้างหน้า
ทว่าขณะที่เขากำลังล้างอยู่นั้น สัญชาตญาณก็บอกว่าอันตรายกำลังจะมาเยือน
หรือว่าหมาป่าตัวนั้นกลับมาอีกแล้ว
ไม่สิ
รังสีครั้งนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าหมาป่าเสียอีก
เขาขมวดคิ้วอย่างหวาดระแวง เหลียวกลับไปพลางล้วงมือเข้าไปหยิบดินปืนในถุง
ห่างออกไปไม่ไกลนัก สองชายชุดดำสวมหน้ากากถือกระบี่ยื่นตระหง่านอยู่ริมฝั่ง มองมาที่เขาด้วยสายตาดั่งสัตว์ร้าย
แววตาของทั้งสองเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
บังเอิญเลยทีเดียวเขาเหลือดินปืนอยู่สองลูก เขาบอกแล้วอย่างไรเล่า เขาไม่ได้ดวงซวยขนาดนั้น…
ความคิดเพิ่งจะแวบเข้ามาในหัว เชือกผูกถุงเงินก็คลายออก ดินปืนร่วงตกลงก่อนจะไหลไปพร้อมกับสายน้ำ
เซียวลิ่วหลัง “…”