สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 358 ชาดแต้มตีตรา
บทที่ 358 ชาดแต้มตีตรา
หากคิดว่าทิ้งท่านโหวกู้ไว้ที่นั่นแล้วพวกเขาจะสามารถกลับเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย พวกเขาก็คงจะไร้เดียงสาเกินไป
เซวียนผิงโหวดักรอกลางทาง ถอดล้อรถพวกเขาทีละล้อจนหมดทุกคัน
ตรงนั้นห่างไกลจากหมู่บ้าน ไร้วี่แววร้านรวงใดๆ ต่อให้ร้องตะโกนลั่นฟ้าก็ไม่มีเสียงตอบรับ!
แน่นอนว่า ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รังแกเซียวลิ่วหลัง แต่ก็ถูกเซวียนผิงโหวถอดล้อรถเหมือนกัน
เซวียนผิงโหวกำลังช่วยพวกเขา ไม่ได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด
นับแต่นี้เป็นต้นไปเซวียนผิงโหวจะไม่ระรานพวกเขาแล้ว แต่หากเซวียนผิงโหวปล่อยพวกเขาไป คนที่เหม็นขี้หน้าเซียวลิ่วหลังก็อาจจะกลั่นแกล้งพวกเขาแทน
เพราะอย่างนั้น หากจะถอดก็ต้องถอดให้หมด
เซียวลิ่วหลังไม่รู้เลยสักนิดว่าเซวียนผิงโหวนั้นรังแกคนสารพัดระหว่างเดินทาง เมื่อคืนเขาหลับไม่สนิทสักเท่าไหร่ วันนี้ตื่นมาจึงวิงเวียนเล็กน้อย ขึ้นรถม้ามาได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
เป็นเพราะหลับลึกมาก พอตื่นขึ้นมาก็ถึงเมืองหลวงแล้ว
เขาลืมตาขึ้น นอนอยู่บนในห้องอันแสนคุ้นเคย
เขาลุกพรวดขึ้นในทันใด จ้องมองม่านมุ้งโปร่งแสง ก่อนจะหันมองฉากกั้นลมหกพับวาดลวดลายม่านหมอกของเจียงหนาน เขาถึงกับเหลียวกลับไปมองหมอนที่ตัวเองหนุนเมื่อครู่
ล้วนแต่เป็นสิ่งของในความทรงจำ แม้แต่กลิ่นหอมของผลไม้และบุหงาภายในห้องยังเหมือนในความทรงจำไม่มีผิดเพี้ยน
นี่คือตำหนักองค์หญิง
องค์หญิงซิ่นหยางกับเหล่าฮูหยินเซียวไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่ เหล่าฮูหยินเซียวรังเกียจเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์หญิงซิ่นหยาง จึงเย็นชากับเด็กน้อยเซียวเหิงยิ่งนัก องค์หญิงซิ่นหยางจึงพาลูกชายมาพำนักที่ตำหนักองค์หญิงเพื่อตัดรำคาญ
แม้จะเชื่อมต่อกับจวนโหว แต่เซียวเหิงกลับไม่เคยไปหาเหล่าฮูหยินเซียวเลย
เซียวลิ่วหลังเลิกผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง
“ท่านโหวน้อย ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” สาวใช้หอบเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามา
เขาจำสาวใช้นางนี้ได้ ชื่อว่าซื่อฮว่า
เพียงแต่ นางดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเมื่อสี่ปีก่อนยิ่งนัก มองครั้งแรกอาจไม่คุ้นหน้า แต่พอมองอีกครั้งก็เริ่มคลับคล้ายคลับคลาใบหน้าในยามนี้ของนาง
สีหน้าและรอยยิ้มของนางยังคงเหมือนเมื่อสี่ปีก่อน
“พี่ซื่อฮว่า พี่ซื่อฮว่า”
สาวใช้อีกคนวิ่งตึงตังเข้ามา นั่นคือสี่เชวี่ยสาวใช้ที่เกิดในจวน สี่ปีก่อนเพิ่งจะอายุได้แปดปี ยามนี้ก็อายุได้สิบสองปีแล้ว
นางเห็นเซียวลิ่วหลัง ก็ยิ้มร่าพลางคำนับให้ “ท่านโหวน้อย! ท่านตื่นแล้วหรือ! ท่านโหวรอกินข้าวกับท่านอยู่เจ้าค่ะ”
หากเซียวลิ่วหลังไม่เคยผ่านประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาก่อน คงคิดว่าภาพที่ได้เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา
เขาหันไปมองทั้งสองคนช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าไม่ใช่ท่านโหวน้อย พวกเจ้าจำคนผิดแล้ว เสื้อผ้าของข้าอยู่ที่ใดหรือ”
ความตื่นตระหนกฉายในแววตาของสาวใช้ทั้งสอง
เป็นไปตามที่คาดไว้ เขาไม่ได้ฝันไป แต่พวกนางต่างหากที่กำลังเล่นละคร
เซียวลิ่วหลังถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทุกสิ่งทุกอย่างช่างรู้สึกคุ้นเคยไปหมด มีแวบหนึ่งที่เขาเกือบเผลอคิดไปเองว่าสี่ปีที่เขาต้องร่อนเร่ไปตามหมู่บ้านนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน เหตุเพลิงไหม้อันแสนน่ากลัวนั้นก็เป็นเพียงแค่ฝันร้าย
หากทั้งหมดคือความฝัน เช่นนั้นเรื่องที่ชนบทและตรอกปี้สุ่ยก็คงเป็นความฝันอันงดงามเช่นกัน
เขาค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ตกผลึกความหวาดกลัวในจิตใจของตนเอง
สี่เชวี่ยรีบเข้ามารินชาให้เขา
“ข้าจัดการเอง” เขาปฏิเสธ
สี่เชวี่ยก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้า มองไปทางซื่อฮว่าอย่างลังเล
ซื่อฮว่าส่ายหน้าให้นาง บ่งบอกว่าอย่าพูดมากไปกว่านี้
“เสื้อผ้าของข้าเล่า” เซียวลิ่วหลังเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ก่อนจะเปิดประตูตู้แล้วหยิบกระเป๋าสัมภาระของเซียวลิ่วหลังออกมา
นางลอบมองเซียวลิ่วหลังอยู่ครู่ใหญ่ แม้จะหน้าตาเหมือนกัน แต่นิสัยต่างกันลิบลับ
ท่านโหวน้อยไม่เคยทำหน้าบูดบึ้งกับพวกนาง ยิ้มแย้มชวนหัวอยู่เสมอ เป็นนายน้อยที่ใครต่อใครต้องเอ็นดู
ทว่าขาของนายน้อยไม่ได้พิการ
“พวกเจ้าออกไปเถิด”
เซวียนผิงโหวที่ฟังอยู่ด้านนอกนานสองนานเห็นว่าแผนการของตนเองไม่ได้ผล จึงต้องปรากฏตัวขึ้นอย่างจนใจ
สองสาวใช้โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอกแล้วออกจากห้องไป
วันนี้เขาไม่ต้องไปเข้าเวรที่สำนักฮั่นหลิน เขาเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดา จากนั้นก็เอ่ยกับเซวียนผิงโหว “ท่านไม่จำเป็นต้องทดสอบข้าอีกแล้ว ข้าไม่ใช่เซียวเหิง”
เซวียนผิงโหวเอ่ย “ไม่ได้ทดสอบ…”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยตัดบทเขา “อย่าคิดว่าหากข้าคือเซียวเหิง แล้วจะชดเชยความรู้สึกผิดในใจของท่านได้ ต่อให้ท่านทดสอบข้าอีกร้อยหนพันหน ข้าก็ยังเป็นเซียวลิ่วหลังเช่นเดิม เป็นลูกนอกสมรสของเฉินอวิ๋นเหนียง ไม่ใช่ลูกชายคนโตของเซวียนผิงโหว”
แววตาของเซวียนผิงโหวหม่นหมอง “เช่นนั้นเจ้าบอกข้าที ว่าบนโลกนี้มีคนที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะด้วยหรือ”
“เหมือนอย่างกับแกะจริงๆ หรือ” เซียวลิ่วหลังถามย้อน
สายตาของเซวียนผิงโหวหยุดอยู่ใต้ตาข้างขวาของเขา
เดิมทีตรงนั้นมีไฝอยู่หนึ่งเม็ด ทว่าวันนี้กลับไม่เห็นแล้ว
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “แน่นอน หากท่านต้องการให้ข้าเป็นตัวแทนของท่านโหวน้อย ก็สุดแล้วแต่ท่าน”
ไม่มีใครแทนที่เซียวเหิงได้!
เขาไม่ต้องการตัวแทนของเซียวเหิง!
เขาต้องการเพียงเซียวเหิง! เซียวเหิงลูกชายของเขา!
คำพูดนั้นแทงใจของเซวียนผิงโหวจบเลือดไหลอาบ หากไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา จะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดนั้นจะทิ่มแทงเขา
เซียวลิ่วหลังไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนจะเก็บสัมภาระของตัวเอง “ยาของข้าเล่า”
“อยู่ที่ลานบ้าน” เซวียนผิงโหวตอบ
เซียวลิ่วหลังเดินออกไป ไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง
เซวียนผิงโหวทอดสายตามองแผ่นหลังอันมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวของเขา จู่ๆ ก็พลันเอ่ยขึ้นมา “เจ้าไม่อยากเจอแม่เจ้าหน่อยหรือ”
ฝีเท้าของเซียวลิ่วหลังชะงักลง
มือที่ถือสัมภาระของเขากำแน่น
เขาอยากเจอนาง…แต่นางอยากเจอเขาหรือไม่
เซียวลิ่วหลังเดินต่อไปอย่างไม่ลังเล
“เหอะ! ไอ้ลูกหมา!”
เซวียนผิงโหวกัดฟันกรอด
พ่อบ้านหลิวเดินมาจากโถงทางเดินอีกฝั่ง เข้ามาในห้องพลางถาม “ท่านโหว ท่านชายยังไม่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอีกหรือ”
เซวียนผิงโหวกำหมัดทุบโต๊ะ มุมปากกระตุกเกร็ง “ดื้อด้านนัก”
“เขาคือท่านโหวน้อยจริงๆ หรือขอรับ ไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่” พ่อบ้านหลิวถามอย่างเป็นกังวล ชะงักไปก่อนจะเอ่ยพึมพำ “ถึงจะผิดตัวก็ไม่ต้องกังวลไป อย่างไรเสียก็เป็นไข่ของท่านโหวทั้งนั้น…”
เซวียนผิงโหวถลึงตาใส่เขา
พ่อบ้านหลิวหัวเราะเจื่อน “ข้าล้อเล่นขอรับ ล้อเล่น…”
ตั้งแต่สมัยโบราณลูกของเมียแต่งกับลูกของอนุก็ศักดิ์ต่างกันอยู่แล้ว ยิ่งเป็นลูกนอกสมรสยิ่งไม่ต้องพูดถึง เหตุใดจะยอมให้ลูกนอกสมรสมาแปดเปื้อนสายเลือดของตระกูลได้
เซวียนผิงโหวลูบคางครุ่นคิด “หรือว่าเขาจะฟังเพียงแม่ของเขา”
“เฉินอวิ๋นเหนียงตายแล้วนะขอรับ” พ่อบ้านหลิวเตือนด้วยความหวังดี
เซวียนผิงโหวจ้องเขาอย่างหงุดหงิด “เงินเดือนเดือนนี้เจ้าคงไม่อยากได้แล้วสินะ”
พ่อบ้านหลิวใช้ไหวพริบ “เอ่อ ท่านโหว ท่านหมายถึงองค์หญิงสินะของรับ แต่ข้าว่าองค์หญิงเองก็คงจนปัญญาเช่นกัน…”
เซวียนผิงโหวมองแผ่นหลังที่ลับตาไปจากลานบ้าน เอ่ยด้วยแววตาลุ่มลึก “เช่นนั้นข้าก็จะเชื่อว่าเขาไม่ใช่อาเหิง”
เซียวลิ่วหลังนั่งรถม้าของเซวียนผิงโหวกลับมาที่ตรอกปี้สุ่ย ยามมาถึงฟ้าก็มืดแล้ว
คนที่บ้านไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาวันนี้ ต่างคนต่างออกไปทำธุระของตัวเอง มีเพียงแม่นางเหยาที่กำลังเดินย่อยอาหาร
“ท่านแม่” เขาเดินเข้ามาเอ่ยทักทาย
แม่นางเหยาเอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ลิ่วหลังกลับมาแล้วหรือ ยังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่ อวี้หยาร์”
“เจ้าค่ะ!” อวี้หยาร์วางงานในมือแล้วเดินเข้ามา “เอ๊ะ ท่านชาย!”
แม่นางเหยาสั่งการ “ไปทำอาหารให้ท่านชายหน่อย”
“เจ้าค่ะ” อวี้หยาร์รับคำแล้วไปที่ห้องครัว
ไปชนบทครั้งนี้ก็เพื่อบรรเทาภัยพิบัติ จึงไม่มีของฝากติดไม้ติดมือมา นอกจากยาหนึ่งตะกร้าแล้วก็มีเพียงปลาแห้งที่ชาวบ้านมอบให้
เซียวลิ่วหลังหยิบปลาแห้งออกมา
“นี่คืออะไรหรือ” ผงยากลิ่นประหลาดห่อหนึ่งร่วงลงมาจากปลาแห้ง
“เป็นแป้งที่บดมาจากดอกไม้แห้งชนิดหนึ่ง ท่านป้าคนหนึ่งมอบให้มา บอกว่าใช้เป็นชาดแต้มขอรับ”
คือภรรยาของท่านลุงจาง พอรู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว จึงให้แป้งดอกไม้กับเขามาห่อหนึ่ง
แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับผงชาดที่ซื้อจากร้านค้า แต่เพราะเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากชาวบ้าน เขาจึงรับไว้
แม่นางเหยาเอ่ย “จนถึงตอนนี้แล้วเจียวเจียวก็คงไม่ได้ใช้”
แม่นางเหยาหมายความว่าบนใบหน้าของกู้เจียวมีตำหนิ จึงไม่คิดจะแต่งแต้ม หากวันหน้ารอยนั้นจางหายไป นางอาจจะรักสวยรักงามขึ้นมาก็เป็นได้
ทว่าเซียวลิ่วหลังกลับเข้าใจผิดไป นึกว่าแม่นางเหยาบอกว่ากู้เจียวนั้นอัปลักษณ์ เขาจึงเอ่ยขึ้น “นางไม่ใช้ก็งามอยู่แล้ว”
แม่นางเหยาชะงักไป
ลูกเขยกำลังชมลูกสาวว่างามอย่างนั้นหรือ
แม้นางเองจะคิดว่าลูกสาวก็งามเช่นกัน แต่นางเป็นแม่แท้ๆ ของเจียวเจียว คนเป็นแม่ย่อมเห็นลูกตัวเองน่ารักอยู่แล้ว
ท่าทางจริงจังของเซียวลิ่วหลัง ทำเอาแม่นางเหยาหัวเราะออกมา
สองคนนี้แต่งงานกันมาตั้งนาน แม้จะแยกห้องกันมาตลอด แต่ทั้งสองก็ไม่เคยบอกว่าไม่เคยเข้าห้องหอด้วยกัน
สามีภรรยาในตระกูลใหญ่ล้วนแต่แยกห้องกันทั้งนั้น ในตระกูลบัณฑิตก็เช่นกัน เพื่อจะได้ไม่รบกวนผู้ชายเวลาอ่านตำรา หลายคู่เองก็แยกห้องนอน หากไม่ใช่เพราะ ‘ปาน’ นั้น คงไม่มีผู้ใดสงสัยในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง
ตอนแรกแม่นางเหยาตั้งใจว่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป แต่ในเมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนั้น แม่นางเหยาจึงรู้สึกว่าแม้จะบอกให้ลูกเขยได้รู้ก็คงไม่เป็นไร
อย่างน้อยท่าทางแสนจริงจังยามลูกเขยเอ่ยแย้งนางนั้น ก็บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้รังเกียจใบหน้าของลูกสาวตน
เขาจริงใจกับเจียวเจียว แล้วเหตุใดจะเชื่อใจเขาไม่ได้เล่า
“อันที่จริง…” แม่นางเหยากระแอม ก่อนจะพยายามหักห้ามความประหม่าแล้วพูดออกไป “บนหน้าของเจียวเจียวไม่ใช่ปานหรอก…แต่เป็นชาดแต้มของสาวพรหมจรรย์”
โครม!
เงาร่างของใครคนหนึ่งตกลงมาจากกำแพง
ตุบ!
ใครอีกคนหนึ่งสะดุดธรณีประจูจนล้มหน้าทิ่ม
คนแรกคือกู้เฉิงเฟิง คนที่สองคือกู้ฉังชิง
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น
เสียงเพล้งดังขึ้นที่หน้าประตู ตามมาด้วยลูกชิดที่กลิ้งหลุนๆ กล่องผลไม้เชื่อมที่ทำจากทองแดงในมือของจวงไทเฮาร่วงตกกระแทกพื้น
จี้จิ่วอาวุโสก้าวขาค้างเติ่งอยู่ที่ประตูเล็กที่เจาะใหม่เพื่อเชื่อมต่อระหว่างเรือนสองหลัง จะก้าวต่อไปก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ทันแล้ว เขาแค่จะเอาขนมฉือปาราดน้ำตาลแดงมาให้จวงจิ่นเซ่อ เหตุใดต้องมาได้ยินเรื่องเช่นนี้ด้วย