สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 364 ป้อนยา
บทที่ 364 ป้อนยา
ผูกเชือกข้อมือเรียบร้อยแล้ว ทว่าเซียวลิ่วหลังยังคงไม่คลายมือนาง
ข้อมือขาวนวลของนางตกอยู่ในฝ่ามือตน สัมผัสเนียนนุ่มยากจะอธิบาย ทำเอาเขาทนไม่ไหวอยากจะลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา
ข้อมือเล็กขาวนวลเรียวบางดุจหิมะจุดไฟในทรวงของเขาให้ลุกโชน แผดเผาเสียจนเขาเลือดลมพลุ่งพล่านไปหมด
หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน เซียวลิ่วหลังคงจะรีบปล่อยมือทันที ทว่ายามนี้เขากลับทำใจไม่ลง
เขาไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มาก่อน และไม่เคยไปสถานที่ที่ไม่ควรไปพรรค์นั้นมาก่อนเช่นกัน แต่เฝิงหลินมักจะคุยเรื่องของผู้ชายๆ กับหลินเฉิงเย่ต่อหน้าเขาเป็นบางคราว
เขารู้ว่าเป็นเรื่องปกติยิ่งนักที่บุรุษจะมีความคิดเช่นนี้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าความคิดที่ตัวเองมีต่อนางนั้นมาจากสัญชาตญาณของบุรุษ หรือว่าเขารู้สึกกับนางจริงๆ…
“งามหรือไม่” กู้เจียวโคลงศีรษะมองเขา
เผลอสบตาเข้ากับเขาโดยไม่ทันตั้งตัว เซียวลิ่วหลังประหม่าเพราะรู้สึกเหมือนถูกอ่านใจจนทะลุปรุโปร่ง ลูกกระเดือกเขาขยับขึ้นลง ก่อนรีบปล่อยมือนาง “งาม!”
กู้เจียวยกข้อมือซ้ายของตัวเองขึ้นมา มือขวาเกี่ยวเล่นหยกบนเชือกแดงอย่างแผ่วเบา “ข้าก็ว่างามเหมือนกัน!”
เซียวลิ่วหลังเห็นว่านางชอบจริงๆ มุมปากจึงหยักยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
จากนั้นเซียวลิ่วหลังก็เห็นนางหันหลังไป เก็บเครื่องประดับบนโต๊ะขึ้นมา หากเลือกเครื่องประดับพวกนั้นมาสักชิ้นหนึ่งล้วนมีค่าราคาสูงกว่าด้ายแดงเส้นนี้ทั้งสิ้น แต่นางกลับสวมแต่ของที่เขามอบให้แก่นาง
ประกายบางอย่างที่แม้แต่เซียวลิ่วหลังไม่ทันได้สังเกตฉายวาบผ่านแววตา
หลังจากที่กู้เจียวปิดฝากล่องแล้วก็ดึงประตูตู้ให้เปิดออก กะว่าจะเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักชั้นบนสุด สุดท้ายกลับพบว่าตัวเองเตี้ยเกินไป
เซียวลิ่วหลังจึงเดินเข้ามา ตั้งใจว่าจะช่วยนางวางบนชั้น คิดไม่ถึงว่านางจะกระโดดขึ้นแล้ววางกล่องได้เอง
กู้เจียววางเสร็จ ถึงได้เห็นมือของเซียวลิ่วหลังที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ดวงตานางขยับไหวไปมา ก่อนจะกระโดดขึ้นปัดกล่องลงมา “ไอ้หยา ข้าวางไว้ไม่ดี!”
เซียวลิ่วหลัง “…”
เซียวลิ่วหลังวางกล่องคืนที่เดิม
เขารูปร่างสูงโปร่ง แขนขายาว จึงเก็บกล่องไว้ในชั้นที่อยู่ลึกเข้าไปได้โดยไม่เปลืองแรงเลยสักนิด
สิ่งที่เซียวลิ่วหลังไม่รู้ก็คือ ขณะที่กู้เจียวเงยหน้าขึ้นมองการกระทำของเขานั้น ภายในใจของนางก็รู้สึกประหลาดขึ้นมา
นางจำได้แท้ๆ ว่าตอนที่เพิ่งย้ายมาที่ตรอกปี้สุ่ย เขายังไม่สูงถึงเพียงนี้เลย บนร่างก็ยังมีแต่กลิ่นอายเด็กหนุ่มที่ไม่ประสีประสาอยู่เลย
ทว่าเมื่อครู่นี้ นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีกลิ่นอายและเสน่ห์ของบุรุษ
อันที่จริงไม่ได้มีแค่เซียวลิ่วหลังที่คิดเช่นนี้ แม้แต่กู้เจียวยังตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าลูกหมาป่าที่ ‘ตัวนางเอง’ คาบกลับมานั้นโตเต็มวัยแล้ว
เตียงในห้องตะวันตกยังซ่อมไม่เสร็จ คืนนี้เซียวลิ่วหลังจึงยังคงพักอยู่ในห้องฝั่งตะวันออก
กู้เจียวยังคงหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยเหมือนเคย ทว่าเซียวลิ่วหลังไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทราเร็วเช่นนั้น เขานอนอยู่ข้างกายกู้เจียว นับจำนวนบรรพบุรุษอยู่ในหัว
ทันใดนั้น แขนน้อยๆ ข้างหนึ่งก็พาดมาทับบนหน้าอกเขาไว้ ขัดจังหวะความคิดในหัวของเขา
อากาศแห้ง ข้าวของติดไฟง่าย ระวังไฟจากเทียนด้วย เพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ ทางที่ดีพวกเขาควรนอนห่างๆ กันไว้ดีกว่า
เขายกแขนน้อยๆ ของนางออก
ทว่าครู่ต่อมา ขานางก็พาดกลับมาอีกครั้ง
เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนวางขานางลงอย่างเบามือด้วยความจนใจ
ทว่าเพียงไม่นาน ร่างทั้งร่างของนางก็กดทับลงมา นางตะแคงตัว ศีรษะน้อยหนุนอยู่ในอ้อมอกเขา
“สามี”
นางเอ่ยเรียกเสียงสะลึมสะลือ
มือเซียวลิ่วหลังพลันชะงัก หยุดผลักนางในทันใด เขาก้มหน้าลงมองนาง พบว่านางหลับฝันหวานอยู่ คำว่าสามีเมื่อครู่นี้ก็แค่ละเมอเท่านั้น
เซียวลิ่วหลังไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ทว่ากระทั่งในฝันนางก็กำลังเรียกเขาอยู่ หมายความว่าเด็กสาวนางนี้มีความรู้สึกต่อเขาอยู่ไม่น้อยใช่หรือไม่
ก็นางไม่เคยเรียกจิ้งคงในฝันเลยนี่นา
“จิ้งคง”
กู้เจียวเอ่ยเรียกขึ้นอย่างสะลึมสะลือ
เซียวลิ่วหลังพลัน “…”
…
ราตรีดึกสงัด ลมพัดแรง ทั่วทั้งเขตพระราชฐานล้วนตกสู่ห้วงนิทรา
ทว่าฮ่องเต้ในตำหนักหวาชิงนั้นกลับพลิกตัวไปมายากจะหลับได้
“ฝ่าบาท” เว่ยกงกงจุดโคมไฟเดินมาหา “ฝ่าบาทนอนไม่หลับอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ให้ข้าไปตามหมอหลวงหรือไม่”
ฮ่องเต้หลับอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยมาหนึ่งคืน จากนั้นก็หลับสบายติดต่อกันมาหลายวัน ทว่าคืนนี้พระองค์ยากจะข่มตาหลับอีกแล้ว
ฮ่องเต้ลุกขึ้นมานั่ง ก่อนโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอก ยาของหมอหลวงกินไปก็ไร้ผล”
เว่ยกงกงเอ่ย “เช่นนั้น…บ่าวให้ห้องเครื่องทำอะไรให้เสวยดีหรือไม่”
“เรากินไม่ลง” ฮ่องเต้ลงจากแท่นบรรทม “เราอ่านฎีกาสักหน่อยแล้วกัน”
เว่ยกงกงเอ่ยด้วยความหวังดี “ฝ่าบาทอย่าอ่านเลยพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้นอนไม่หลับก็นอนลงเสียดีกว่า ดีร้ายอย่างไรก็ได้พักผ่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้นั่งลงหลังโต๊ะทรงอักษร “นอนไปก็นอนไม่หลับจะไปมีประโยชน์อะไร ไม่ต้องพูดมากร่ำไรแล้ว ไปเอาฎีกามาให้”
“…พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงขานรับอย่างจนใจ แล้วไปหอบฎีกามาจากห้องทรงอักษร
ฮ่องเต้นวดหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่น ก่อนจะหยิบฎีกาฉบับหนึ่งมาเปิดอ่าน
เว่ยกงกงเห็นสีหน้าฮ่องเต้ไม่ค่อยดีนัก สุดท้ายก็ยังคงให้คนไปตามหมอหลวงมาอยู่ดี
โชคดีที่เขาเชิญหมอมา เพราะในขณะที่ฮ่องเต้ตรวจฎีกาฉบับที่สามเสร็จก็หมดแรงล้มพับไปเลย
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ฝ่าบาท…”
เสียงเว่ยกงกงแว่วไกลออกไปเรื่อยๆ ฮ่องเต้ปิดเปลือกตาลง ก่อนจะหมดสติไป
ฮ่องเต้สะดุ้งตื่นเพราะเสียงกระดิ่งลมใสละเอียด พระองค์ลืมตาขึ้นก็รู้สึกถึงแสงตะวันแยงตา จึงยกมือขึ้นบัง เมื่อปรับตัวกับแสงได้แล้วจึงสังเกตได้ว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนแท่นบรรทมของตำหนักชิงหวา
“นี่คือ…” พระองค์ลุกขึ้นนั่ง “ใครก็ได้!”
“ฝ่าบาท”
ผู้มาใหม่ไม่ใช่เว่ยกงกง แต่เป็นจิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยเปลี่ยนอาภรณ์ของภิกษุเป็นอาภรณ์หรูหรางดงาม ผมที่เคยปล่อยยาวสยายก็มวยขึ้นเป็นทรงสวยงามประดับประดาด้วยปิ่นมุกและก้วน
“ฝ่าบาทฟื้นแล้ว” จิ้งไท่เฟยนั่งลงข้างเตียง ก่อนมองพระองค์ด้วยความห่วงใย
“เสด็จแม่จิ้ง…” ฮ่องเต้มองนางด้วยความตกใจ “ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
จิ้งไท่เฟยแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย “ฝ่าบาทสลบไปนานเพียงนี้ คงจะเลอะเลือนกระมัง นี่ตำหนักฮว๋าชิงน่ะสิ”
ตำหนักหวาชิงกลายสภาพเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
เกิดอะไรขึ้น
ฮ่องเต้มองจิ้งไท่เฟยอย่างฉงน จิ้งไทเฟยกวักมือเรียกนางกำนัล นางกำนัลจึงยกยาต้มมาชามหนึ่ง
จิ้งไท่เฟยยกถ้วยยาขึ้นมา ตักมาชิดริมฝีปากของฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ได้เวลายาแล้ว”
ฮ่องเต้มองยาน้ำดำปี๋ถ้วยนั้น จู่ๆ ก็เหมือนเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในถ้วย!
ความหวาดผวาอันรุนแรงพลันผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจในทันที!
“เป็นอะไรไปรึ ฝ่าบาท ดื่มยาสิเพคะ” จิ้งไทเฟยมองพระองค์ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
ฮ่องเต้มองจิ้งไท่เฟย แล้วมองยาต้มถ้วยนั้นที่มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ ก่อนจะสะอิดสะเอียนจนคลื่นไส้ พระองค์ปัดถ้วยยาออก แล้วเลิกผ้าห่มลงจากเตียง
ทว่าพระองค์ไม่ได้มีเรี่ยวแรงมากมายนัก สองขาจึงอ่อนยวบลงกับพื้น
จิ้งไท่เฟยกดตาลงมองพระองค์จากมุมสูง บีบคางพระองค์ไว้ แล้วกรอกยาต้มน่าหวาดกลัวนั่นใส่ปากพระองค์…
“ไม่เอา…”
ฮ่องเต้ตัวสั่นเทาไปหมด พลันเบิกตาโพลงขึ้น!
พระองค์มองเพดานอันคุ้นเคยทั้งๆ ที่มีเหงื่อเย็นผุดซึม แล้วมองไปยังเตียงอันคุ้นเคย
เป็นแท่นบรรทมของพระองค์
เป็นตำหนักฮว๋าชิง
พระองค์ลุกขึ้นนั่ง ปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก
นึกไม่ถึงว่าเมื่อครู่นี้จะฝันร้ายอีกแล้ว…
ทว่าพระองค์กำลังอ่านฎีกาอยู่ไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมานอนบนเตียงได้เล่า
“ฝ่าบาท!” เว่ยกงกงเลิกม่านมุ้งสีทองอร่ามขึ้นมาเกี่ยวไว้กับตะขอ ก่อนเอ่ยกับฮ่องเต้ “เมื่อครู่ท่านสลบไปตอนที่อ่านฎีกาพ่ะย่ะค่ะ บ่าวตกอกตกใจขวัญหายหมด”
ฮ่องเต้ลูบหน้าอกด้วยความหวาดกลัวที่ยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
สีหน้าเว่ยกงกงซับซ้อน เขามองฮ่องเต้แวบหนึ่ง “ฝ่าบาท ท่านฝันร้ายอีกแล้วหรือ”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงเรียบ “เราไม่เป็นไร กี่ยามแล้ว ควรไปประชุมเช้าหรือยัง”
ท่าทางแบบนี้มันไม่เป็นไรเสียที่ไหนกัน เหงื่อเย็นเปียกชุ่มทั่วร่างเช่นนี้
เว่ยกงกงเอ่ยอย่างสงสาร “ฝ่าบาท ท่านจะทรมานร่างกายตัวเองเช่นนี้ไม่ได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่หมอหลวงจับชีพจรบอกว่าร่างกายของท่านเสียหายหนัก ต้องพักรักษากายให้มากๆ เรื่องประชุมเช้าท่านอย่าเพิ่งไปกังวลเลยดีกว่า”
“ไม่ได้…แค่ก แค่ก แค่ก!” ฮ่องเต้เอ่ยถึงเพียงเท่านั้นก็ไอโขลกออกมา
“ยาล่ะ ยาเสร็จหรือยัง” เว่ยกงกงรีบเร่งขันทีน้อยในตำหนักบรรทม
ขันทีน้อยรีบเอ่ย “บ่าวจะไปดูให้เดี๋ยวนี้ขอรับ!”
“ยามาแล้ว!”
ยาต้มควันฉุยถ้วยหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าฮ่องเต้พร้อมๆ กับเสียงอันคุ้นหู
ฮ่องเต้ไอหนัก พลางยื่นมือไปรับยามา ทว่าเมื่อพระองค์เห็นมือที่ถือถ้วยยาอยู่นั้น ร่างกายพลันชะงักทันที
พระองค์มองขึ้นไปตามมือจนถึงใบหน้าของอีกฝ่าย สีหน้าห่วงใยนั้นซ้อนทับกับใบหน้าในความฝันทุกกระเบียดนิ้ว
ยาต้มดำปี๋คล้ายขยับไหว
ฮ่องเต้พลันหน้าเปลี่ยนสี ปัดถ้วยยาออกเช่นเดียวกับในฝัน
ยาต้มร้อนๆ กระเด็นใส่ร่างจิ้งไท่เฟย จิ้งไท่เฟยถูกน้ำร้อนลวกจึงร้องออกมา หลังมือกับข้อมือพลันแดงเห่อขึ้น
“ไท่เฟยเพคะ…” แม่นมไช่ตกใจจนหน้าถอดสี
ฮ่องเต้ลุกพรวดขึ้นจากเตียง ถอยห่างจากจิ้งไท่เฟยสิบกว่าก้าว เหมือนกำลังหลบเทพแห่งโรคภัยอย่างไรอย่างนั้น
จิ้งไท่เฟยกุมหลังมือที่บวมแดงพลางมองฮ่องเต้ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ฝ่าบาท…ข้าเอง…”
ฮ่องเต้พลันแยกไม่ออกว่านี่เป็นความจริงหรือความฝัน พระองค์หอบหายใจหนัก มองจิ้งไท่เฟยอย่างหวาดระแวง
เว่ยกงกงมึนงงกับภาพนี้ไม่น้อย เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทก็ทำเช่นนี้กับไท่เฟยเล่า
“ฝ่าบาท…” เว่ยกงกงเดินไปหาอย่างระมัดระวัง
จิ้งไท่เฟยก็ลุกขึ้นเช่นกัน ขอบตานางแดงก่ำเดินไปหาฮ่องเต้
“อย่าให้นางเข้ามา!” ฮ่องเต้ตะโกนขึ้น
เว่ยกงกงกับนางกำนัลและขันทีในตำหนักพากันมองหน้ากัน ทุกคนต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น
ในขณะนั้นเอง เสียงรายงานของฉินกงกงก็ลอยมาจากนอกตำหนัก “ไทเฮาเสด็จ…”
พวกนางกำนัลและขันทีพากันคุกเข่าลงกับพื้น
เว่ยกงกงก็รีบคุกเข่าเช่นกัน
ยามจวงไทเฮาในอาภรณ์หงส์เดินเข้ามาในห้องบรรทมของตำหนักหวาชิงอย่างน่าเกรงขาม ฮ่องเต้แทบจะโผไปหาโดยไม่ต้องคิด “เสด็จแม่…ช่วยข้าด้วย…”
พระองค์โผเข้าสู่อ้อมอกจวงไทเฮาต่อหน้าทุกคน
จวงไทเฮาโดนพระองค์ชนจนแทบจะล้ม
อายุอานามปูนนี้แล้วดูทำตัวเข้า!
คิดว่าตัวเองเป็นเสี่ยวจิ้งคงรึ ตัวเองหนักเท่าใดไม่รู้เลยหรือไร!
จวงไทเฮายกนิ้วชี้จิ้มหน้าผากฮ่องเต้ดันฮ่องเต้ให้ออกจากอ้อมอกตน ทว่าฮ่องเต้กลับกอดนางไว้ไม่ปล่อย “เสด็จแม่…เสด็จแม่…”
จวงไทเฮากลอกตาใส่อย่างรำคาญ
จิ้งไท่เฟยมองภาพตรงหน้าพร้อมกับบีบมือเล็กน้อย
ไม่มีใครกล้าเข้าไปดึงฮ่องเต้ ซ้ำจวงไทเฮาเองก็ผลักออกไม่ได้ โดนฮ่องเต้กอดเอาไว้แบบนั้นอยู่นานสองนาน
ไม่รู้เหมือนกันว่าบนร่างจวงไทเฮามีกลิ่นอายที่ทำจิตใจให้สงบหรืออย่างไร อารมณ์ของฮ่องเต้จึงได้ค่อยๆ กลับมาเป็นดังเดิม ความหวาดกลัวในในเริ่มคลายลง ก่อนจะได้สติกลับมาตามลำดับ
ในที่สุดพระองค์ก็นึกได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป พระองค์รีบผละจวงไทเฮาทันที ถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันจะยืนมั่นก็ก้นจ้ำเบ้ากับพื้นแล้ว โชคดีที่เว่ยกงกงตาไวมือเร็ว ประคองพระองค์ไว้ได้ทัน
พระองค์คว้ามือเว่ยกงกงพยุงตัวลุกขึ้นมาอย่างอเนจอนาถ ปรับสีหน้าอย่างกระอักกระอ่วนใจ
นึกไม่ถึงว่าพระองค์จะเรียกยายเฒ่าสารพัดพิษนั่นว่าเสด็จแม่
จวงไทเฮามองพระองค์เหนื่อยหน่ายพลางเอ่ย “เช้านี้ฮ่องเต้เกิดเป็นลมบ้าหมูอะไรเข้าล่ะ”
ฮ่องเต้สำลักอย่างแรง
สมกับที่เป็นนายเฒ่าสารพัดพิษ วาจาถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้!
เมื่อครู่นี้พระองค์เสียสติไปแล้วจึงได้โผไปหาอ้อมอกของยายเฒ่าสารพัดพิษนี่!
ขายหน้าชะมัด!
จิ้งไท่เฟยเอ่ยอย่างเสียใจและเป็นห่วง “ฝ่าบาทฝันร้ายน่ะ ตกใจขวัญหนี คงไม่ได้ทำไทเฮาตกใจเข้าหรอกกระมัง”
เว่ยกงกงขมวดคิ้ว ไท่เฟยรู้ได้อย่างไรว่าฝ่าบาทฝันร้าย
จวงไทเฮากลอกตาใส่ฮ่องเต้ “ไม่ได้ตกใจอะไรหรอก แต่สะอิดสะเอียนนัก”
ฮ่องเต้โมโหกัดฟันกรอด
“ฝ่าบาท ไม่เป็นไรกระมัง” จิ้งไท่เฟยมองพระองค์อย่างไม่สบายใจ
ยามนี้ฮ่องเต้ได้สติคืนมาแล้ว ย่อมไม่มีทางเอาความจริงกับความฝันมาปะปนกันแน่ พระองค์มองไปยังหลังมือที่บวมแดงของจิ้งไท่เฟย เกิดความรู้สึกผิดขึ้นจากใจ จึงเดินไปแล้วตรัส “เราผิดเอง ทำเสด็จแม่บาดเจ็บเสียแล้ว”
จิ้งไท่เฟยส่ายหน้า “แผลแค่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เทียบกับร่างกายของฝ่าบาทแล้ว ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงสักนิด”
นางเอ่ยพลางมองแม่นมไช่ “ยาของฝ่าบาทหกหมดแล้ว เจ้าไปเทมาใหม่ไป จำไว้ว่าอย่าให้ร้อนมาก”
“เพคะ” แม่นมไช่ขานรับ
เว่ยกงกงครุ่นคิด “บ่าวไปเองดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาสิ” จิ้งไท่เฟยพยักหน้า
เว่ยกงกงไปยกยามาด้วยตัวเอง
“ข้าป้อนเอง” จิ้งไท่เฟยบอก
เว่ยกงกงนึกขึ้นได้ว่ายาถ้วยนี้ที่ตัวเองเป็นคนยกมา ตำหนักฮว๋าชิงเป็นคนต้ม ไม่ถือว่าเป็นอาหารจากข้างนอก จึงคิดว่าไม่เป็นอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นคนส่งให้ไท่เฟยกับมือเองด้วย ไม่มีใครมีโอกาสได้ลงมือแน่
จิ้งไท่เฟยพยุงฮ่องเต้ขึ้นเตียง ให้พระองค์นั่งพิงหมอนให้เรียบร้อย
เว่ยกงกงส่งยาให้จิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยรับถ้วยยามาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ใช้ช้อนคนด้านในอยู่ครู่หนึ่ง
ฮ่องเต้ตรัส “เราดื่มเอง”
“ข้าป้อนเองดีกว่า”
จิ้งไท่เฟยยิ้มพลางตักมาช้อนหนึ่ง ป้อนใส่ปากฮ่องเต้
อันที่จริงฮ่องเต้ไม่ค่อยอยากให้จิ้งไท่เฟยป้อนยาเท่าใดนัก แต่พระองค์ทำจิ้งไท่เฟยขายหน้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ไปแล้ว หากยามนี้ปฏิเสธอีก เกรงว่าทั้งหกตำหนักจะคิดว่าพระองค์รังเกียจจิ้งไท่เฟย
พระองค์จึงถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ แล้วอ้าปากดื่มยา
ทันใดนั้น จู่ๆ จวงไทเฮาก็เอ่ยขึ้น “ช้าก่อน!”