สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 366-2 เจียวเจียวออกโรง (2)
บทที่ 366 เจียวเจียวออกโรง (2)
“ยารึ” กู้เฉิงเฟิงปราดตามองกู้เจียวขึ้นและลง “เจ้าเองก็เป็นหมอ แล้วยังจะมาขโมยยาของคนอื่นทำไมกัน”
“สรุปจะเข้าหรือไม่เข้า” กู้เจียวเริ่มรำคาญ
“ก็ข้าเองไม่เคยลอง….” กู้เฉิงเฟิงยังไม่เคยมาที่วังหลวงเลยสักครั้ง ไหนจะองครักษ์หลงอิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในนี้
ไม่มีใครสู้พวกนั้นได้หรอก
แต่ถ้าจะให้ล่อพวกนั้น
กู้เฉิงเฟิงมองหน้ากู้เจียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้า พลางถอนหายใจยาว
ถ้าวันไหนเขาเกิดตายขึ้นมา ก็คงเป็นเพราะนางเนี่ยแหละ
กู้เฉิงเฟิงคว้าเอวบางของกู้เจียว”อย่าส่งเสียงหรือหายใจล่ะ”
กู้เจียวพยักหน้า
กู้เฉิงเฟิงมองไปที่สำนักชีซึ่งดูอันตรายเหมือนทะเลสาบมังกรและถ้ำเสือเสียมากกว่า สายตาของเขาหยุดนิ่งลง ก่อนจะแอบย่องเข้าไปข้างในพร้อมกับกู้เจียว
กู้เจียวไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถพาตัวเองเข้ามาด้านในโดยรอดพ้นจากสายตาขององครักษ์หลงอิ่งได้
เอาละ ต้องยอมรับว่าวิชาตัวเบาของกู้เฉิงเฟิงนั้นไม่เลวเลย
ด้วยความที่สำนักชีที่เพิ่งสร้างนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก พื้นที่รอบๆไม่ได้มีความซับซ้อนอันใด ใช้เวลาไม่นานก็เข้ามาถึงบริเวณห้องของจิ้งไท่เฟยแล้ว
อาจเป็นเพราะทั้งสองดวงดีที่ตอนนี้จิ้งไท่เฟยไม่อยู่ที่ห้องเพราะออกไปสวดมนต์
กู้เฉิงเฟิงพากู้เจียวเข้าไปในห้อง
“ยาที่เจ้าตามหาหน้าตาเป็นอย่างไร” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถาม
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่านางไม่ใช่หมอ ยาที่นางมีอยู่น่าจะไม่เยอะนัก เอาออกมาดูให้หมดเลยแล้วกัน”
ทั้งสองจึงเริ่มการค้นหา
อย่างไรก็ตาม เขาพบขี้ผึ้งและยารักษาบาดแผลอย่างรวดเร็ว หรือยาเม็ดสำหรับบำรุงพลังชี่และเลือด และไม่มียาแปลกๆ ที่กู้เจียวไม่เคยเห็นมาก่อน
“หรือว่านางจะพกติดตัวไว้” กู้เจียวบ่นพึมพำ
ทันทีที่พูดจบ กู้เฉิงเฟิงก็ตบไหล่กู้เจียวและชี้ให้นางมองไปที่ตู้เสื้อผ้า
สายตาของกู้เจียวจับจ้องไปที่ตู้เสื้อผ้า แม้จะเป็นตู้ธรรมดา แต่เวลามองกลับให้ความรู้สึกพิลึกชอบกล
กู้เฉิงเฟิงกระซิบ “เจ้าก็รู้สึกว่าตู้นี้มันแปลกๆ ใช่ไหม”
กู้เจียวพยักหน้า
กู้เจียวยืนจ้องตู้นั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เดินถอยห่างออกมาเพื่อเห็นให้ชัดขึ้น
“ข้ารู้แล้วว่าทำไมมันถึงดูขัดตา รูปตรงบานประตูถูกติดสลับฝั่งอย่างไรเล่า”
ตรงบานประตูทั้งสองฝั่งของตู้มีรูปติดไว้ เดิมทีรูปนี้ควรจะเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง แต่ที่พวกเขาเห็นอยู่ตอนนี้คือรูปพระจันทร์ที่ถูกแบ่งครึ่งแถมยังไม่ประกบเข้าหากันอีกด้วย
ยิ่งดูยิ่งขัดใจจนไม่อยากมองมันอีก
กู้เจียวเดินเข้าไปใกล้ๆ จากนั้นใช้สองมือแตะภาพดวงจันทร์ครึ่งซีกทั้งสองดวงตามลำดับ บิดมือเล็กน้อย และแล้วภาพทั้งสองก็กลับมาประกบกันเหมือนเดิม
สิ้นเสียงดังกึก ประตูตู้ก็ถูกเปิดออก
ตู้เสื้อผ้านี้กู้เฉิงเฟิงลองเปิดแล้ว ในนั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่ตอนนี้ตู้ที่ว่ามันกลับดูแตกต่างออกไป
และพบว่าด้านในสุดของตู้มีช่องมืดฝังอยู่ในผนัง
กู้เฉิงเฟิงยื่นมือเข้าไปข้างใน แล้วคว้ากล่องปริศนากล่องหนึ่งออกมา
“มีคนมา!” กู้เจียวเอ่ยเตือน!
กู้เฉิงเฟิงไม่มีเวลาเปิดกล่อง อีกทั้งไม่สามารถเอามันออกไปได้ มิฉะนั้น ถ้ามีคนพบว่ามันหายไป เกรงว่าจะเป็นการทำให้องครักษ์หลงอิ่งตื่นตระหนก แล้วความซวยก็จะตกมาอยู่ที่พวกเขา
กู้เฉิงเฟิงวางกล่องนั้นคืนที่เดิม ปิดประตูตู้ แล้วพาร่างกู้เจียวกระโดดขึ้นไปหลบบนคานห้อง
ประตูห้องถูกเปิดออก
แม่นมไช่เดินเข้ามาในห้อง
“เอาละ เสื้อผ้าของไท่เฟยเอามาให้ข้า พวกเจ้าไปดูทีว่าโอสถต้มเสร็จแล้วหรือยัง”
“เจ้าค่ะ!”
แม่ชีตัวน้อยสองคนที่ติดตามมาด้วยยื่นกองผ้าที่เพิ่งตากเสร็จให้กับแม่นมไช่ ก่อนจะเดินออกไป
แม่นมไช่ปิดบานประตูลง ก่อนจะมาหยุดยืนที่หน้าตู้ แล้วเก็บเสื้อผ้าเข้าไปในตู้
ก่อนจะปิดตู้ลงเตรียมจะเดินออกไป
แต่พอเดินออกไปได้แค่สองก้าวแม่นมไช่ก็ทำหน้าขมวดคิ้วแล้วหันกลับมาทางตู้อีกครั้ง
กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงกำลังกลั้นหายใจอยู่บนคานห้อง
พลางนึก แค่นี้ก็รู้แล้วหรือว่ามีคนมาขยับตู้นะ
กู้เจียวค่อยๆ หยิบเข็มเงินอาบพิษออกมา
แม่นมไช่ขยับภาพกลับมาอีกครั้ง แล้วเปิดตู้ตรงช่องลับ จากนั้นก็หยิบเก้าอี้ตัวเล็กออกมา ยืนขึ้นบนนนั้น แล้วหยิบกล่องปริศนาเมื่อครู่นี้ออกมาเพื่อตรวจของข้างใน
ในกล่องนั้นมีขวดยาสีดำและสีขาวจริงๆ !
อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!
แม่นมไช่หยิบขวดยาทั้งสองขวดออกมา ก่อนจะวางกล่องกลับที่เดิม
นี่นางจะหยิบขวดยาออกไปรึ
แม่นมไช่เดินมาที่หน้าประตูห้อง
กู้เจียวเตรียมเล็งเข็มอาบยาพิษ
กู้เฉิงเฟิงเห็นดังนั้นจึงรีบคว้าข้อมือกู้เจียวไว้ พลางส่งสายตา เดี๋ยวก็ถูกจับได้หรอก!
ถ้ากู้เจียวลงมือละก็ พวกองครักษ์หลงอิ่งจะต้องกรูกันเข้ามาแน่ๆ !
ระหว่างขวดยากับชีวิตตัวเองเจ้าจะเลือกอะไร!
ระดับกู้เจียวแล้วสามารถปลิดชีวิตคนได้ง่ายๆ โดยไร้ซึ่งสุ้มเสียง แต่กับองครักษ์หลงอิ่งแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนทั่วไป พวกเขามีจิตสังหารและสามารถรับรู้มันได้อย่างรวดเร็ว!
ในตอนนั้นเองที่แม่นมไช่เกิดลังเลขึ้นมา จากนั้นก็ทำท่าส่ายหัวและถอนหายใจ ก่อนจะวางขวดยาทั้งสองใส่กลับไปในกล่องเหมือนเดิม
พอแม่นมไช่เดินออกไป กู้เฉิงเฟิงและกู้เจียวก็ลงมาจากคาน
กู้เจียวกระโดดลงมาเองได้ก็จริง แต่วิชาตัวเบาของนางยังเก่งไม่เท่ากู้เฉิงเฟิง อาจถูกพวกองครักษ์หลงอิ่งจับได้
กู้เฉิงเฟิงหยิบกล่องนั้นออกมา แล้วเปิดให้กู้เจียวดู “นี่หรือของที่เจ้าตามหา”
กู้เจียวเปิดขวดยาออกแล้วเทยาในแต่ละขวดออกมาอย่างละเม็ด
กู้เฉิงเฟิงทำหน้ามึนงง “หน้าตาเหมือนกันเลยนี่ ทำไมต้องแยกบรรจุด้วย”
ยาสองเม็ดนี้รูปร่างและลักษณะเป็นยาเม็ดกลมๆ สีน้ำตาลเหมือนกันจริงๆ
“เจ้าลองดมดูสิ”
กูเฉิงเฟิงยื่นหน้าเข้าไปดมใกล้ๆ “ก็กลิ่นยานี่”
“เจ้าดมความต่างออกไหม” กู้เจียวถาม
“ก็ไม่นะ”
ที่จริงแล้วยาสองตัวนี้แตกต่างกัน แต่เป็นความแตกต่างที่เล็กน้อยจนยากที่จะแยกแยะออก ต้องเป็นคนที่มีความรู้ด้านยาเท่านั้นจึงจะดูออก
กู้เฉิงเฟิงแยกไม่ออก เกรงว่าจิ้งไท่เฟยเองก็เช่นกัน
กู้เจียวยิ้มมุมปาก เดิมนางคิดจะขโมยยานี้ออกไป แต่ตอนนี้ นางคิดแผนการใหม่ออกแล้ว
กู้เฉิงเฟิงมองมาที่กู้เจียว พลางนึก แน่ล่ะ นางเด็กนี่คิดจะทำอะไรอีกแล้ว
เขาส่ายหน้า พลางสำรวจกล่องปริศนานี้ต่อ และทันใดนั้นเขาก็เจอกับอะไรบางอย่างเข้าให้ “ในกล่องนี้มีของอย่างอื่นอีก”
เขาเปิดชั้นไม้ที่ซ้อนอยู่ในกล่องออก ในนั้นปรากฏม้วนกระดาษสีเหลืองที่ดูเหมือนเป็นพระราชโองการของจักรพรรดิ
กู้เฉิงเฟิงเบิกตาโต “เหตุใดจิ้งไท่เฟยถึงมีพระราชโองการอยู่ในมือล่ะ”
เพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าฝ่าบาทเคยมอบพระราชโองการอะไรไว้ให้กับจิ้งไท่เฟย
พระราชโองการแผ่นนี้ดูสภาพแล้วมีอายุไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้าพอนึกอะไรออกบ้างแล้วล่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ สำหรับสามัญชนแล้วเป็นเพียงแค่เรื่องปรัมปราเท่านั้น” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย
“มันคือเรื่องอันใดล่ะ” กู้เจียวถาม
เฮ้อ ช่างไม่มีความอดทนเอาเสียเลย
กู้เฉิงเฟิงเบะปากใส่กู้เจียว “เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนที่ฮ่องเต้พระอง์ก่อนจะสิ้นพระชนม์ ได้รับสั่งให้กำจัดไทเฮา ในตอนนั้นเอง จิ้งไท่เฟยก็ได้ขโมยพระราชโองการมาและเผามันทิ้ง ไทเฮาจึงรอดชีวิตมาได้”
จู่ๆ กู้เฉิงเฟิงก็หัวเราะออกมา “เจ้าว่าพระราชโองการในกล่องนี้…คืออันที่ควรจะต้องถูกเผาไปแล้วใช่หรือไม่”