สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 367 ตีบทแตก (1)
บทที่ 367 ตีบทแตก (1)
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้ยินเรื่องนี้ ที่ผ่านมากู้เจียวมักจะได้ยินข่าวลือระหว่างฮ่องเต้องค์ก่อนกับไทเฮาจากรุ่ยอ๋องเฟย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รุ่ยอ๋องเฟยพูดถึงมากที่สุดนั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับจิ้งไท่เฟย เช่นเรื่องที่จิ้งไท่เฟยย้อมย้ายมาอยู่ที่สำนักชีด้วยตัวเอง
สิ่งที่รุ่ยอ๋องเฟยพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด อย่างน้อยเรื่องที่ว่าจิ้งไท่เฟยเต็มใจเข้าสำนักแม่ชีก็เป็นเท็จแล้วหนึ่งเรื่อง
ฉินกงกงเล่าให้กู้เจียวฟังแล้วว่าที่จิ้งไท่เฟยต้องไปอยู่ที่นั่นเป็นฝีมือของไทเฮา
และเหตุผลที่ว่าเหตุใดไทเฮาไม่กำจัดจิ้งไท่เฟยด้วยการฆ่าทิ้งไปตั้งแต่แรก กู้เจียวมองว่าหลักๆ แล้วเป็นเพราะฮ่องเต้ หากไทเฮาออกคำสั่งอย่างชัดเจน แน่นอนว่าฝ่าบาทย่อมไม่ลังเลที่จะฉีกหน้าของไทเฮาและออกพระราชโองการเพื่อหยุดยั้งนาง และถ้าไทเฮาไม่ยอม ฝ่าบาทคงจะต้องส่งองครักษ์หลงอิ่งไปจัดการอย่างแน่นอน
และหากที่กู้เฉิงเฟิงพูดเป็นเรื่องจริง ที่จิ้งไท่เฟยยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเผาพระราชโองการนั้นทิ้ง เช่นนั้นไทเฮาก็เป็นหนี้บุญคุณชีวิตจิ้งไท่เฟยน่ะสิ
แต่กู้เจียวมองว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
ในเมื่อจิ้งไท่เฟยวางยาไทเฮากับฮ่องเต้เสียขนาดนั้น แล้วจิ้งไท่เฟยจะเผาพระราชโองการนั้นไปเพื่ออะไร
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพระราชโองการนั้นไม่ได้ถูกเผาไปจริงๆ แต่ถูกจิ้งไท่เฟยเก็บไว้เพื่อใช้เป็นไม้ต่อ
ก่อนที่จะได้รับพระราชโองการ ไทเฮาไม่สามารถปล่อยให้จิ้งไท่เฟยตายได้ มิฉะนั้นจะไม่มีใครรับประกันได้ว่าจิ้งไท่เฟยจะส่งไม้ต่อให้ใคร หากจิ้งไท่เฟยตายจริงๆ พระราชโองการนั้นย่อมต้องถูกเปิดโปงแน่นอน
แต่ไม่นานกู้เจียวก็มองว่าไม่น่าเป็นไปได้
ในเมื่อจิ้งไท่เฟยทำทุกอย่างเพื่อกำจัดไทเฮาขนาดนี้ และในเมื่อนางมีพระราชโองการนี้อยู่ในมือ นางจะส่งไทเฮาไปยังนรกขุมไหนก็ได้ จะเก็บไว้เป็นข้ออ้างทำไม
และต่อให้ที่กู้เฉิงเฟิงพูดเป็นเรื่องจริง กระนั้นก็ไม่เคยมีใครได้เห็นเนื้อความที่แท้จริงในพระราชโองการ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเนื้อหาในนั้นเขียนว่าประหารไทเฮาจริงๆ
ฟังแต่ปากเปล่าอย่างเดียวไม่ได้หรอกจริงไหม
ขอแค่ไม่เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์และความรู้สึกของคน สมองของกู้เจียวก็แล่นได้เร็วนัก
แม้กู้เจียวจะพรั่งพรูความคิดออกมามากมาย แต่นั่นก็เพียงแค่ช่วงเสี้ยวแวบเดียวเท่านั้น
กู้เฉิงเฟิงหยิบพระราชโองการออกมา จากนั้นใช้แขนหนีบกล่องไว้แล้วใช้มือทั้งสองข้างกางกระดาษออก
และในตอนที่เขากำลังคลี่ม้วนกระดาษออก จิ้งไท่เฟยก็กลับมาที่สำนักพอดี พอจิ้งไท่เฟยเดินมาถึงโถงทางเดิน นางก็สัมผัสได้ทันทีถึงการเคลื่อนไหวบางอย่าง
จิ้งไท่เฟยเป็นคนหูดีมาก โดยเฉพาะกับเสียงบทสนทนา
“ใครน่ะ!” จิ้งไท่เฟยตะโกนถาม
กู้เฉิงเฟิงเกิดมือสั่นจนเผลอทำกล่องตกลงพื้น!
“ไปจับมันมา!”
สิ้นเสียงคำสั่งของจิ้งไท่เฟย องครักษ์หลงอิ่งก็เข้ามาแล้วมุ่งไปทางห้องที่กู้เฉิงเฟิงและกู้เจียวอยู่ในนั้น
“รีบหนีเร็ว!” กู้เฉิงเฟิงเอามือข้างหนึ่งคว้าข้อแขนกู้เจียว ส่วนมืออีกข้างก็กอดพระราชโองการไว้แน่น
ขณะที่องครักษ์หลงอิ่งกำลังเข้าใกล้พวกเขามาเรื่อยๆ กู้เจียวจึงรีบคว้าดินปืนออกมาแล้วเขวี้ยงใส่องครักษ์หลงอิ่ง!
พวกเขาเคยเจอกับอานุภาพของอาวุธนี้มาก่อนแล้ว รู้ว่าไม่สามารถรับมือได้ จึงทำได้แค่หลบไปอีกฝั่ง ดินปืนนั้นระเบิดลงตรงบริเวณโต๊ะที่อยู่ด้านข้างองครักษ์หลงอิ่ง จนโต๊ะนั้นระเบิดกระจาย
แค่ชั่วพริบตาเดียว กู้เฉิงเฟิงก็คว้าร่างของกู้เจียวออกมาจากสำนักชีได้
ด้วยความที่ทั้งสองใส่หน้ากาก จิ้งไท่เฟยจึงไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร
และในตอนนั้นเองที่จิ้งไท่เฟยพบว่าพระราชโองการถูกขโมยไป
สีหน้าของนางเริ่มเปลี่ยนพลางตะโกนสั่งองครักษ์หลงอิ่ง “นำพระราชโองการกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
องครักษ์หลงอิ่งรับคำสั่ง ก่อนจะพุ่งตัวไปทางที่กู้เฉิงเฟิงและกู้เจียวออกไป
ด้วยความที่องครักษ์หลงอิ่งนั้นแข็งแกร่งมากในทุกด้าน ไม่นานเขาก็ไล่ตามทั้งสองได้ทัน
องครักษ์หลงอิ่งเห็นแล้วว่าพระราชโองการอยู่ในมือของกู้เฉิงเฟิง จึงยื่นมือคว้าหัวไหล่ของกู้เฉิงเฟิงอย่างไม่รอช้า
มือที่เหมือนกรงเล็บนกอินทรีย์จิกแน่นเข้าเนื้อของกู้เฉิงเฟิง ใบหน้าของกู้เฉิงเฟิงบิดเบี้ยวเป็นก้อนกระดาษขยุ้มด้วยความเจ็บปวด เขาไม่ได้ขัดขืนในทันที แต่ผลักกู้เจียวออกไปอย่างรุนแรงด้วยแรงทั้งหมดของเขา!
และในตอนนั้นเองที่เขาแอบสับเปลี่ยนพระราชโองการไปไว้ที่กู้เจียวแทน
เขาอาจเป็นคนเดียวที่สามารถใช้กลอุบายแบบนี้ได้ขณะที่องครักษ์หลงอิ่งอยู่ข้างๆ องครักษ์หลงอิ่งผู้ไม่รู้ว่าพระราชโองการถูกเปลี่ยนมือแล้วจึงเอื้อมมือเข้าไปคว้าที่ทรวงอกของกู้เฉิงเฟิง
องครักษ์หลงอิ่งมือหนักมากเสียจนกู้เฉิงเฟิงรู้สึกราวกับแผ่นอกของเขากำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
กู้เจียวที่ถูกทิ้งออกมาหันไปมองพวกเขาพลางตะโกน “พระราชโองการอยู่นี่ต่างหาก!”
องครักษ์หลงอิ่งจึงพุ่งเป้าไปทางกู้เจียวแทน
กู้เจียวเขวี้ยงพระราชโองการไปทางทิศของวังหลวง
ด้วยความที่เขาได้รับคำสั่งมาว่าต้องนำพระราชโองการกลับมา เขาจึงพุ่งตัวไปตามนั้น
กู้เฉิงเฟิงเอามือกุมหัวไหล่ตัวเองก่อนจะทรุดลงไปบนพื้น
“ยังเดินไหวไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม
กู้เฉิงเฟิงส่ายหน้าซีดเผือดของเขา “หมดกันวิชาตัวเบาของข้า…”
องครักษ์หลงอิ่งน่ากลัวชะมัด แค่คว้าหัวไหล่นิดเดียวก็ทำเอากู้เฉิงเฟิงหมดแรงไปเลยหรือเนี่ย
“เจ้ารีบไปเถอะ” กู้เฉิงเฟิงแบกร่างอันบอบช้ำเอ่ยกับกู้เจียว
พระราชโองการอันนั้นคือกุญแจสำคัญสินะ ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น แต่จิ้งไท่เฟยกลับห่วงแค่กระดาษม้วนนั้น เกรงว่าถ้าพวกเขาได้มันไป มีหวังต้องถูกจิ้งไท่เฟยฆ่าปิดปากแน่ๆ
กู้เจียวคว้าร่างกู้เฉิงเฟิงขึ้นมา “มากับข้า!”
หลังจากที่องครักษ์หลงอิ่งคว้าพระราชโองการมาได้ก็รีบนำไปคืนให้จิ้งไท่เฟย
จิ้งไท่เฟยรับมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“ไท่เฟยเพคะ!” แม่นมไช่รีบวิ่งเข้ามา สายตาพลันจ้องไปที่ม้วนกระดาษในมือจิ้งไท่เฟย “มีคนมาขโมยพระราชโองการหรือเพคะ ใครกันหรือเจ้าคะที่ล่วงรู้เรื่องนี้ได้”
จิ้งไท่เฟยจ้องมองไปที่กำแพงวัง ไม่เอ่ยอะไร
ณ ตำหนักเหรินโซ่ว
เว่ยกงกงกำลังป้อนอาหารให้กับเจ้าตะพาบที่กำลังว่ายน้ำในสระ ทันใดนั้นมีเงาปริศนาเข้ามาเหยียบลงบนกระดองเต่าของฉินกงกง
“ไอ้หยา! ตะพาบน้อยของข้า!”
ฉินกงกงตกใจจนผักใบในมือกระจายไปทั่วพื้น
ขณะที่ฉินกงกงกำลังจะเรียกทหารให้เข้ามาช่วย แต่พอเห็นหนึ่งในสองกำลังถอดหน้ากากออก ก็ถึงกับเบิกตาโต “แม่นางกู้รึ”
กู้เฉิงเฟิงเองก็ถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นสีหน้าอันซีดเผือดของเขา
ฉินกงกงถึงกับสะดุ้ง “ท่านชายรองกู้”
“ฝ่าบาทเสด็จ”
กู้เจียวคิดในใจ แหม รีบมาเชียวนะ !
จวงไทเฮาไม่อยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่ว นางไปที่ตำหนักจินหลวนเพื่อประชุมกับขุนนางคนอื่นๆ ฉินกงกงจึงพากู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงไปที่ตำหนักบรรทมของไทเฮา
จากนั้นฉินกงกงก็ออกไปต้อนรับฮ่องเต้ที่หน้าตำหนัก “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านหลังฮ่องเต้มีแม่นมไช่ตามมาด้วย
ฉินกงกงหันไปมองแม่นมไช่แวบหนึ่งด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะหันกลับมาทักทายฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทมาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะไทเฮากำลังทรงงานอยู่ที่ตำหนักจินหลวนพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่นมไช่บอกว่าเมื่อครู่นี้มีโจรบุกเข้าไปปองร้ายจิ้งไท่เฟย เลยถูกทหารฝีมือดีคนสนิทของจิ้งไท่เฟยทำร้ายจนบาดเจ็บ จากนั้นโจรก็มุ่งหน้ามายังตำหนักเหรินโซ่วแห่งนี้”
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงทำหน้าตกใจ “จิ้งไท่เฟยเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
แม่นมไช่เอ่ยตอบด้วยความเกรงใจ ”ไท่เฟยมีอาการผวาเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก ทรงเป็นห่วงเพราะเห็นว่าโจรมุ่งหน้ามาทางนี้ ก็เลยรีบมาทูลฝ่าบาท”
“แต่กระหม่อมไม่เจอโจรเลยสักคนพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงหันหน้าไปทางเหล่านางในและขันที “พวกเจ้าเห็นโจรผ่านมาแถวนี้หรือไม่”
เหล่านางในและขันทีตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่มีขอรับ ไม่มีเจ้าค่ะ”
ฉินกงกงยิ้มให้หนึ่งที ก่อนจะเอ่ย “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ บางทีแม่นมไช่อาจเข้าใจผิดก็เป็นได้ขอรับ ที่นี่คือตำหนักเหรินโซ่วอันสูงส่งนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีโจรหน้าไหนกล้าเข้ามาที่ตำหนักแห่งนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
แม่นมไช่เอ่ยด้วยสีหน้าร้อนรน “แต่โจรผู้นั้นวิชาแก่กล้ามากเลยนะเจ้าคะ ถึงขนาดรอดจากเงื้อมมือขององครักษ์หลงอิ่งไปได้ ฉินกงกงอย่าได้ประมาทไปเลย”
หากเป็นเมื่อก่อน ฮ่องเต้คงไม่ได้มานั่งสนใจมากนักว่าไทเฮาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ในเมื่อพวกเขากำลังอยู่ในช่วงสมานฉันท์กัน เป้าหมายของพวกเขาคือคนคนเดียวกัน ซึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และเขามิอาจปล่อยให้อีกฝ่ายลออยนวลไปได้
“หลบไป!” ฮ่องเต้ตะโกนเสียงแข็ง
ฉินกงกงไม่หลบทางให้ ซ้ำพยายามเข้ามาห้าม “ฝ่าบาท ไทเฮาไม่อยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่วนะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้โจรจะบุกเข้ามาที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อันใดขอรับ”
ส่วนแม่นมไช่พอได้ยินดังนั้นจากที่ตอนแรกทำหน้ากังวลตอนนี้กลับกลายเป็นขมวดคิ้วแล้วพุ่งเป้าสงสัยไปที่ฉินกงกงแทน “บางทีโจรอาจแฝงตัวอยู่ในตำหนักแห่งนี้ก็เป็นได้เพื่อรอจังหวะทำร้ายไทเฮา! เหตุใดฉินกงกงถึงไม่ยอมให้ฝ่าบาทเข้าไปตรวจด้านใน หรือว่าท่าน…จะเป็นพวกเดียวกันกับโจรนั่น!”
“ใครมันบังอาจมาพูดจาไร้สาระในตำหนักของข้า”