สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 367-2 ตีบทแตก (2)
บทที่ 367 ตีบทแตก (2)
สิ้นเสียงกังวานเมื่อครู่ ก็ปรากฏร่างของจวงไทเฮาที่ด้านหน้าตำหนักเหรินโซ่ว
ทุกคนหันไปตามต้นเสียง ก่อนจะถวายบังคมกันอย่างพร้อมเพรียง
ส่วนฮ่องเต้ยังคงแสดงท่าทีไม่ต่างจากเดิม
ฉินกงกงเดินออกมารับไทเฮา แล้วยื่นมือให้
จวงไทเฮาคว้ามือของเขาแล้วค่อยๆ ลงจากเกี้ยว ก่อนจะกวาดสายตามองรอบทิศโดยไม่เอ่ยคำใด
ส่วนแม่นมไช่ที่ตอนแรกยังมีฝ่าบาทคอยคุ้มกันอยู่ ในตอนนี้กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
จวงไทเฮาเดินเข้าไปตรงหน้าแม่นมไช่ “ไหนพูดอีกทีสิ เป็นใบ้ไปแล้วรึ ตอนข้าไม่อยู่ทำเป็นปากเก่งเชียวนะ”
แม่นมไช่รู้สึกอับอายจนต้องก้มหัวลง แล้วเดินไปหลบยังด้านหลังของฮ่องเต้
ด้วยความที่แม่นมไช่เป็นคนสนิทของจิ้งไท่เฟย ฮ่องเต้จึงไม่อาจนิ่งดูดายได้ “แล้วแม่นมไช่นางผิดอันใด ในเมื่อมีโจรบุกวังย่อมต้องมีการตรวจให้ทั่ว แต่ขันทีผู้นี้กลับขัดขวางข้า ช่างทำตัวน่าสงสัยยิ่งนัก”
ฉินกงกงเอ่ยกับไทเฮา “แม่นางกู้กำลังพักผ่อนอยู่ด้านใน กระหม่อมกังวลว่านางจะถูกคนรบกวนก็เลยห้ามไว้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งกระหม่อมไม่เห็นพบเจอโจรที่ว่า หากไทเฮาไม่เชื่อ ทรงลองถามเหล่าขันทีนางในในตำหนักได้เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาก็ไม่…”
ฉินกงกงยังไม่ทันเอ่ยจบ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางห้องพักผ่อน “คิดจะหนีอย่างนั้นรึ!”
“ไอ้หยา! แม่นางกู้” ฉินกงกงสีหน้าเปลี่ยน ก่อนจะรีบสั่งให้ทหารประจำตำหนักรีบเข้าไปดู “รีบเข้าไป เร็วเข้า!”
ทหารสี่นายรีบพุ่งตัวไปทางห้องพักผ่อน แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงร้องโหยหวยดังออกมาอีกครั้ง “โอ๊ย”
คราวนี้เป็นเสียงของผู้ชาย!
เว่ยกงกงรีบเข้ามายืนบังร่างขอองฮ่องเต้ “โจร! มีโจรบุกเข้ามา! คุ้มกันฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”
ขณะที่ทหารของตำหนักหวาชิงกำลังจะเตรียมกำลังบุกเข้าไป จู่ๆ กู้เจียวก็เดินอออกมาพร้อมกับลากร่างของคนที่คาดว่าน่าจะเป็นโจรแล้วโยนลงไปที่พื้น “อ่ะนี่ เจ้าโจร!”
กู้เจียวเปลี่ยนชุดกลับและอยู่ในสภาพราวกับคนเพิ่งตื่น
แม่นมไช่มองดูโจรที่นอนกองบนพื้นด้วยสีหน้ามึนงง
พลางนึก ที่ไท่เฟยพูดไว้เป็นจริงอย่างนั้นรึ โจรเป็นคนของตำหนักเหรินโซ่วจริงๆ รึ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ ต้องมีสองคนไม่ใช่หรือ
แม่นมไช่มองดูกู้เจียวด้วยสายตาสงสัย “แม่นางกู้ โจรมีสองคนมิใช่หรือ”
“สองคนรึ ข้าจับได้แค่คนเดียวเอง” กู้เจียวเอ่ยพลางเอามือกอดอก
โจรผู้นี้ที่จับได้ใบหน้าของเขาเต็มไปโดนคราบโคลนดำ จึงดูไม่ออกว่ารูปลักษณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่ที่มุมปากของเขามีเลือดไหลราวกับโดนทำร้ายร่างกายอย่างหนักมา
ฮ่องเต้จ้องไปที่โจรด้วยสายตาเย็นชา “ใครส่งเจ้ามา ถ้าเจ้ายอมพูด ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ!”
สีหน้าของโจรแฝงไปด้วยความลังเล เขากวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะหยุดออยู่ที่ใบหน้าของแม่นมไช่
แม่นมไช่เห็นดังนั้นก็เกิดหวั่นใจ ราวกับรู้ว่าตัวเองแย่แล้ว!
“จิ้ง…จิ้งไท่…” โจรค่อยๆ เอ่ยปากอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” แม่นมไช่รีบรุดไปข้างหน้าราวกับรู้ว่าโจรผู้นี้จะพูดอะไรออกมา เดิมนางจะเข้าไปห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
โจรอยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง ใช้มือพยายามยันร่างของตัวเองไว้ แล้วกัดฟันพูดต่อให้จบ “จิ้งไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ! จิ้งไท่เฟยสั่งข้ามาให้ทำร้ายไทเฮา!”
แม่นมไช่ถึงกับพูดไม่ออก
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน
เหตุใดถึงกลายเป็นไท่เฟยไปได้!
แม่นมไช่รีบแย้งกลับ “เจ้าออย่าใส่ร้ายผู้อื่น! ไท่เฟยไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้ หากนางสั่งเช่นนั้นจริง เหตุใดนางถึงต้องสั่งให้ข้ามาตามหาตัวเจ้าด้วยล่ะ”
โจรไอกระอักเลือดหนึ่งที ก่อนจะทำหน้าแสยะยิ้ม “ข้าจะไปรู้ไหมล่ะ หรือว่า…ไท่เฟยคิดว่าข้าไปรู้ความลับอะไรบางอย่างเข้า….”
โจรยังไม่ทันจะเอ่ยจบ แม่นมไช่ก็รีบเข้าไปแล้วชักมีดออกมาแทงเข้าไปที่หน้าอกของโจร!
“พวกเจ้า…คิดว่า…ฆ่าปิดปากแล้วจะ…”
โจรที่โดนแทงเข้าที่หัวใจ พะงาบๆ พูดไม่กี่ประโยคก็ล้มลงไป
แม่นมไช่ตกใจจนรีบถอยหลัง ก่อนจะทรุดลงพื้น
“ข้า…ข้าไม่ได้…ไม่ใช่ข้า…ข้าไม่ได้ฆ่าใคร…”
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม่นมไช่ไม่ได้คิดจะฆ่าใคร
ที่จริงแม่นมไช่ไม่ได้จงใจจะเข้าไปเองด้วยซ้ำ นางรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามากระแทกที่ข้อขา ทำให้ร่างของนางพุ่งไปข้างหน้า อีกทั้งจู่ๆ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าในมือของตัวเองมีมีดเพิ่มขึ้นมาจากไหนไม่รู้หนึ่งเล่ม
มีดนั้นทะลุเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
กู้เจียวรีบย่อตัวลงไปวัดชีพจรที่ลำคอของโจร “เขาไม่มีลมหายใจแล้ว”
จวงไทเฮาขมวดคิ้ว “มัวนิ่งอะไรอยู่! รีบจัดการเร็วเข้าสิ! ข้าไม่อยากให้ตำหนักข้าต้องมีกลิ่นคาวเลือดนะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินกงกงรีบสั่งให้ขันทีลากร่างไร้วิญญาณของโจรออกจากตำหนัก จากนั้นเรียกให้นางกำนัลมาทำความสะอาด
ตอนนี้คนที่สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สุดคงหนีไม่พ้นแม่นมไช่ นางไม่เคยเจอแผนการที่ไร้ยางอายแบบนี้มาก่อน จึงได้แต่แก้ต่างให้ตัวเอง “ฝ่าบาท…หม่อมฉันไม่ได้ฆ่าคน…เชื่อหม่อมฉันนะเพคะ…มีดเล่มนั้นไม่ใช่ของหม่อมฉันนะเพคะ…”
“ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครไปอีกล่ะ” กู้เจียวเอ่ย
เว่ยกงกงเอ่ยเสริม “นั่นน่ะสิ! ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครอีก ข้านี่เห็นเต็มสองตาเลย!”
แม่นมไช่หันไปมองค้อนเว่ยกงกง พลางคิดในใจ เว่ยกงกง! ลืมไปแล้วเหรอว่าตัวเองต้องเข้าข้างใครน่ะ!
เว่ยกงกงเห็นดังนั้นก็รีบหลบหน้าแล้วหันไปตบปากตัวเอง ปากไวอีกแล้วสินะเรา!
แม่นมไช่คุกเข่าลง “ฝ่าบาทเพคะ หากพระองค์ไม่เชื่อหม่อมฉัน อย่างน้อยก็ทรงเชื่อจิ้งไท่เฟยด้วยเถิดเพคะ! พระองค์ไม่มีทางทำร้ายไทเฮาเป็นอันขาด ไท่เฟยเป็นคนมีเมตตา ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ได้ลงหรอกเพคะ”
ภายในใจของฮ่องเต้ตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสับสนและว้าวุ่น
ฮ่องเต้เติบโตภายใต้การดูแลของจิ้งไท่เฟย ย่อมรู้ดีว่านางเป็นคนแบบไหน จิ้งไท่เฟยไม่เคยแม้แต่จะเหยียบมดตัวเล็กๆ ด้วยซ้ำ ต่อให้ไทเฮาขับไล่นางออกจากวัง นางก็ไม่เคยต่อว่าหรือว่าร้ายไทเฮาให้เขาฟังเลยสักนิด
ไม่เพียงเท่านี้ แต่นางยังสนับสนุนให้เขากับไทเฮาคืนดีกัน
แล้วคนอย่างนางจะทำเรื่องแบบนี้ไปได้อย่างไร
ไหนจะเรื่องโจรนี่อีก คงไม่มีใครที่ไหนกล้าปล่อยโจรมาทำร้ายตัวเองแล้วออกมาเปิดโปงเช่นนี้หรอก
หากว่ากันตามที่โจรบอกว่าเขารู้ความลับของจิ้งไท่เฟย แล้วเพิ่งจะรู้ตัวตอนที่โจรลงมือแล้ว
ยิ่งน่าตลกเข้าไปใหญ่
คนบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างเสด็จแม่น่ะหรือจะเป็นคนมีความลับ
ไม่สิ นางเคยมีความลับนี่นา
นางกับกู้เฉา
พอคิดถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็เกิดกระวนกระวายขึ้นมา
แค่คิดว่ากู้เฉาเกือบได้เป็นเสด็จพ่อของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะนึกโมโหขึ้นมา
ไม่รู้เป็นเพราะกำลังโกรธอยู่หรืออย่างไร ฝ่าบาทเริ่มจะเบื่อขี้หน้าแม่นมไช่เข้าไปทุกที
“ฝ่าบาท…” แม่นมไช่มองฮ่องเต้ด้วยสายตากังวล
“จับแม่นมไช่ไปขังเสีย…แล้วสืบจนกว่าจะได้ความ!” ฮ่องเต้ออกคำสั่ง
ที่ผ่านมาฝ่าบาทมองแม่นมไช่ราวกับเป็นคนสนิทของตัวเองมาโดยตลอด ไม่เคยนึกสงสัยอะไรทั้งนั้น
ที่ออกคำสั่งเช่นนี้ นั่นแปลว่าเขามองแม่นมไช่เปลี่ยนไปแล้ว
“ฝ่าบาท” เว่ยกงกงตกใจกับคำสั่งของฝ่าบาท
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปอย่างไม่สนใจใคร!
ส่วนจวงไทเฮาและกู้เจียวเดินกลับเข้าไปยังตำหนักบรรทมเหมือนเดิม
ณ สวนหย่อมด้านหลังตำหนัก ร่างไร้วิญญาณของโจรจู่ๆ ก็พลันลุกขึ้นมาเองได้แล้วพยายามใช้มือเช็ดคราบโคลนบนใบหน้า จากนั้นก็หยิบถุงบรรจุเลือดที่แขวนไว้ที่หน้าอกออกมา ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนตรงหน้า “การแสดงของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”
กู้เจียวเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็งั้นๆ แหละ ข้าเก่งกว่าเยอะ”
กู้เฉิงเฟิง “…”