สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 370 ตอบแทน
บทที่ 370 ตอบแทน
คืนนี้เซียวลิ่วหลังไม่ทำงานล่วงเวลา ทั้งสองกลับไปยังตรอกปี้สุ่ยพร้อมกัน
ครั้นมาถึงหน้าประตูเรือน เงาร่างเล็กก็เดินย่องออกมา ก่อนจะกระโจนใส่กู้เจียวแล้วกอดขานางเอาไว้ น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจร้องเรียก “เจียวเจียว!”
เป็นเสียงของเสี่ยวจิ้งคง
เขาห่างกับกู้เจียวนานถึงสองวันสองคืน เขาคิดถึงเจียวเจียวเหลือเกิน คิดถึงจนหัวใจดวงน้อยของเขาเจ็บปวดไปหมด!
กู้เจียวอุ้มเด็กน้อยที่เกาะหนึบบนหน้าขาขึ้นมา “ท่านย่าให้เจ้ากลับมาแล้วหรือ”
เสี่ยวจิ้งคงตอบ “ข้าอยากกลับมาเองต่างหาก!”
เพราะจวงไทเฮาเองก็ทนเจ้าหนูจอมเจื้อยแจ้วคนนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ พอกู้เจียวไม่อยู่ เขาก็เสียงดังพูดจ้อไม่หยุด แม้แต่ตะพาบน้อยของฉินกงกงยังมุดกลับเข้ากระดองเพราะเสียงโทรโข่งของเขา
แน่นอนว่าเหลนน้อยนั้นสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือต้องมีชีวิตอยู่รอดจนถึงวันที่เหลนน้อยคลอดออกมา
ด้วยเหตุนั้นพอเขาเอ่ยปากขอออกจากวัง จวงไทเฮาก็รีบบัญชาให้ฉินกงกงเก็บผ้าเก็บผ่อนพาเขากลับมาส่งถึงบ้าน
เสี่ยวจิ้งคงพูดจบก็โอบรอบลำคอของกู้เจียวเอาไว้ ศีรษะน้อยซบลงบนบ่าของนาง “เจียวเจียว ข้าคิดถึงเจ้าเจียนตาย เจ้าคิดถึงข้าสักนิดบ้างหรือไม่”
กู้เจียวหัวเราะเพราะคำพูดของเขา ก่อนจะพยักหน้าด้วยความขบขัน “อืม คิดถึงสิ”
“ข้ารู้อยู่แล้วเชียว!” เด็กน้อยลำพองใจนัก ร่างเล็กเขินม้วนอยู่ในอ้อมกอดของกู้เจียว
เซียวลิ่วหลังมองเจ้าเด็กน้อยออดอ้อนกู้เจียวอย่างประเจิดประเจ้อ ใบหน้าหล่อเหลาก็ดำคล้ำถมึงทึงราวกับก้อนถ่าน
“เจียวเจียว คืนนี้มีเทศกาลโคมไฟนะ!” เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้สังเกตสีหน้าบึ้งตึงของพี่เขยแต่อย่างใด เขาโอบรอบลำคอของกู้เจียวไว้พลางเอ่ย “ข้าโตป่านนี้แล้ว ยังไม่เคยได้เห็นเทศกาลโคมไฟเลย!”
เจ้าเด็กน้อยนี่ช่างพูดตะล่อมเสียจริง!
คืนนี้กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังเองก็ไม่มีภารกิจอะไร กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นก็อยู่ที่เรือนพอดี หลังมื้อเย็นวันนี้ สองสามีภรรยาจึงพาน้องชายทั้งสามของบ้านรวมกับองครักษ์ลับอีกสองคนออกจากเรือนไป
งานเทศกาลโคมไฟจัดขึ้นที่ถนนฉังอาน นอกจากหัวถนนและท้ายถนนแล้ว แผงลอยช่วงกลางถนนแขวนโคมสีสันประดับประดาเรียงราย โคมวาดลวดลายบ้างก็ขาย บ้างก็แขวนเพื่อให้เชยชม ทั้งยังมีเหล่าสมาชิกสโมรสเทศกาลโคมไฟ และคนที่แข่งประชันขับร้องเพลงกลอน
กู้เจียวทอดสายตามองออกไป ในหัวมีเพียงความคิดเดียวก็คือ ‘คนเยอะ คนเยอะมากจริงๆ!’
มาอยู่เมืองหลวงก็นานแล้ว กู้เจียวเพิ่งจะเคยได้สัมผัสบรรยากาศครึกครื้นแสนวุ่นวายของเมืองแห่งนี้ แม้จะมองไปสุดสายตา ผู้คนก็ยังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน แสงไฟสีสันสว่างไสว
“ไอ้หยา! ไอ้หยา! ข้ามองไม่เห็น!” เสี่ยวจิ้งคงตัวเล็กเกินไป ถูกผู้คนรอบทิศบดบังจนหมด เขางอแงย่ำเท้าเร่าๆ ไม่หยุด
องครักษ์ลับคนที่หนึ่งอุ้มเสี่ยวจิ้งคงขึ้นมา ให้เด็กน้อยขี่คอตนเอง
มุมมองพลันสูงขึ้น เสี่ยวจิ้งคงตกในจนตาเบิกโพลง “ว้าว!”
อากาศด้านบนช่างสดชื่นนัก
องครักษ์ลับคนหนึ่งดูแลจิ้งคง เดินตามหลังกู้เหยี่ยน ส่วนองครักษ์คนที่สองก็ตามติดกู้เสี่ยวซุ่น
พวกเขาสองคนเป็นองครักษ์ลับ ไม่ใช่องครักษ์หลงอิ่ง ความคิดความอ่านปกติ แถมทั้งสองยังปฏิภาณไหวพริบเฉียบแหลมทั้งยังมีความสามารถรอบด้าน พวกเขารู้ว่าแค่ดูแลเด็กชายสามคนของบ้านก็พอแล้ว
นายท่านไม่เคยต้องกังวลใจพวกเขาสองคน มีคุณหนูใหญ่คนเดียวก็เท่ากับมีสิบคนแล้ว ดูแลคุณชายได้สบาย
“เจียวเจียว! เจ้าดูสิ! โคมดอกบัว!”
“เจียวเจียว! โคมดอกท้อ!”
“เจียวเจียว! โคมเสือ!”
เสี่ยวจิ้งคงเห็นโคมทีก็พูดกับกู้เจียวที ตอนแรกเขายังได้เสียงตอบรับจากกู้เจียวอยู่หรอก แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่ประโยคไหน พวกเขาถึงได้พลัดหลงกัน
เสี่ยวจิ้งคงเหลียวกลับไปมอง เจียวเจียวก็หายไปแล้ว!
“เจียวเจียว”
เมื่อครู่ที่แผงลอยร้านหนึ่งมีสาธิตดัดโคมเป็นรูปทรงต่างๆ หากเดาถูกว่าเป็นรูปอะไรก็จะได้ไปโดยไม่ต้องเสียเงินสักแดง ทำเอาผู้คนแห่กันกรูเข้ามาเบียดเสียดแน่นทั้งถนน จนกู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังตัวติดกัน
วินาทีที่กำลังจะพลัดออกจากกัน ทั้งสองก็ยื่นมือออกมาพร้อมกัน ก่อนจะคว้ามือของกันและกันไว้
กู้เจียวยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ เซียวลิ่วหลังก็เช่นเดียวกัน แต่ไม่เหมือนกันก็คือ กู้เจียวนั้นดูแลเซียวลิ่วหลังเป็นปกติอยู่แล้ว ดูแลอย่างเปิดเผย เป็นที่รู้กันว่าดูแลอย่างดี ดีเสียจนใครๆ ก็รู้
ทว่าเสี่ยวลิ่วหลังนั้นกลับสงวนท่าทีมาโดยตลอด
เพราะอย่างนั้น การที่เขายื่นแขนออกไปคว้ามือกู้เจียวโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดนั้น สำหรับเขาเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
โชคดีที่กู้เจียวไม่คิดอะไรละเอียดอ่อนปานนั้น หากเป็นคนอื่นคงถามว่าวันนี้ทำไมเขาถึงเป็นฝ่ายรุกก่อน
ทว่ากู้เจียวไม่ถาม นางเพียงแค่เหลียวไปมองเขา แววตาเป็นประกาย ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ “วางใจได้ ข้าจะจับมือเจ้าไว้ ไม่ทำเจ้าหายแน่นอน”
เซียวลิ่วหลังเหมือนยกภูเขาออกจากอก
โชคดีที่นางไม่คิดมาก
ทว่าวินาทีต่อมา เขาก็ต้องขมวดคิ้ว
ทำไมนางถึงไม่คิดมาก
นางไม่เห็นหรือไรว่าเขาเป็นฝ่ายเอื้อมออกไปคว้ามือนางก่อน นางเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายๆ หรืออย่างไร
เขาสูดหายใจลึก มองไปทางพลางเอ่ย “เจ้า…”
“เอ๊ะ มีโคมลูกท้อจริงๆ ด้วย”
กู้เจียวมองโคมลูกท้อสีชมพูสดใบใหญ่ตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ พอพูดจบถึงได้รู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เขาเหมือนจะพูดอะไรออกมา นางเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”
เซียวลิ่วหลังอ้าปากพะงาบ “…เปล่า”
ผู้คนหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนกุมมือกันเดินไปจนสุดสายของถนนฉังอาน
อันที่จริงเซียวลิ่วหลังไม่ชอบบรรยากาศครื้นเครงแบบนี้นัก เขารู้สึกว่ามันหนวกหู ในอากาศมีแต่กลิ่นเหงื่อไคลและเครื่องสำอาง ทำให้เขาหายใจไม่ออก แต่คืนนี้ทั้งหมดกลับไม่เกิดขึ้น
ถนนที่เดิมทียากจะเคลื่อนตัวไปแม้สักก้าว ดูเหมือนจะไม่ยากขนาดนั้นแล้ว
หลังจากชมเทศกาลโคมไฟเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็มารวมพลกับกู้เหยี่ยนและอีกหลายๆ คนที่อีกฝั่งของถนนฉังอาน เสี่ยวจิ้งคงร้องไห้กระจองอแง
“เอาใหม่! เอาใหม่! ข้าจะไปกับเจียวเจียว!”
เทศกาลโคมไฟที่ไม่มีเจียวจะสมบูรณ์แบบได้อย่างไรกัน เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกว่าตัวเองเดินชมอย่างสูญเปล่า!
เขาร้องไห้อย่างปวดใจ!
งานเทศกาลโคมไฟเลิกราในที่สุด บนถนนร้างราผู้คน เหลือเพียงแค่กระดาษบุโคมที่ถูกคนเหยียบย่ำจนยับยู่ยี่
ถนนกับดวงใจของเขายังเหมือนกันไม่มีผิด!
“แง~”
เขาแผดเสียงร้องดังลั่น!
จนกระทั่งกู้เจียวตกลงว่าจะพาเขามาเดินชมเทศกาลโคมไฟด้วยกันสองต่อสองอีกครั้ง เขาถึงได้ค่อยๆ หยุดเสียงร้องไห้ ขอบตาแดงน้อยแดงก่ำ ก่อนจะเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้น “ถ้าอย่างนั้น…คืนนี้ข้าจะนอนกับเจียวเจียว”
เซียวลิ่วหลังมุมปากกระตุก เจ้าเณรน้อยนี่ เมื่อครู่ที่เจ้าร้องไห้คงแสร้งทำ แต่หาโอกาสนอนด้วยคงตั้งใจสินะ
กู้เจียวตอบตกลง
เพียงแต่เจ้าหนูน้อยร้องไห้หนักเกินไปหน่อย เรี่ยวแรงแทบไม่มี ระหว่างทางกลับบ้านจึงผล็อยหลับไป
เซียวลิ่วหลังเขย่าศีรษะน้อยของเขาไปมา ทำอย่างไรก็ไม่ตื่น!
เซียวลิ่วหลัง “เหอะเหอะ”
เซียวลิ่วหลังตั้งใจว่าจะอุ้มเสี่ยวจิ้งคงไปที่ห้องของกู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น หลังจากนั้นตัวเองจะกลับไปที่ห้องฝั่งตะวันออก แต่พอเขามาถึงห้องกลับได้ยินเสียงของกู้เสี่ยวซุ่นเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอกพี่เขย วันนี้พวกท่านไม่ต้อนนอนเบียดกับพวกข้าแล้ว เตียงห้องฝั่งตะวันตกซ่อมเสร็จแล้ว!”
เซียวลิ่วหลังชะงักไป “ซ่อม…ซ่อมเสร็จแล้วหรือ ใครซ่อมกัน”
“ข้าซ่อมเอง! เพิ่งซ่อมเมื่อตอนบ่าย!” กู้เสี่ยวซุ่นตบแผงอกของตัวเองพลางเอ่ย
เขาเป็นลูกศิษย์ที่สืบทอดวิชาสายตรงจากอาจารย์เชียวนะ ฝีมืองานไม้ของเขานับว่ายอดเยี่ยม แค่เตียงไม่ทื่อๆ หลังหนึ่ง เขาซ่อมได้อยู่แล้ว!
เดี๋ยวก่อน
แล้วทำไม่สีหน้าของทุกคนถึงได้เป็นแบบนั้น
เขาซ่อมเสร็จช้าไปหรือ
…
ยามค่ำคืน ลมราตรีโบกโชย ทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน เมืองหลวงอันแสนวุ่นวายและเข้าสู่ความสงบ
เสียงกบไม้ภายในสำนักชีหยุดลง เหลือเพียงแค่แสงสลัวจากเชิงเทียน
เว่ยกงกงเฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตู เขากังวลใจเพราะฝ่าบาทเสวยอาหารมื้อนี้นานเหลือเกิน แถมเหตุใดยิ่งกินยิ่งดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
ทันใดนั้น ประตูห้องกุฏิก็เปิดออก จิ้งไท่เฟยเยื้องย่างเดินออกมา
เว่ยกงกงคำนับ “ถวายบังคมจิ้งไท่เฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทเหน็ดเหนื่อยจากงานราชการ กินไปกินมาก็ผล็อยหลับไป เจ้าบอกให้ฮุ้ยอันไปเอาฟูกับหมอนมาที”
เว่ยกงกงสอดส่องสายตาเข้าไปข้างใน พอเห็นฮ่องเต้นอนฝุบลงกับโต๊ะอาหาร ก็กังวลใจเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็ยังไปตามแม่ชีน้อยที่ชื่อฮุ้ยอันให้นำฟูกและหมอนมาให้
พื้นไม้นั้นสะอาดเอี่ยมอ่อง
จิ้งไท่เฟยปูฟูกไว้ด้านหลังฮ่องเต้ ช่วยกันกับเว่ยกงกงพยุงร่างฮ่องเต้ให้นอนลง
“หมอน” นางเอ่ย
“เจ้าค่ะ” แม่ชีน้อยนำหมอนมาหนุนรองใต้ศีรษะของฮ่องเต้
จิ่งไท่เฟยคลี่ผ้าห่มผืนบางก่อนจะห่มให้ฮ่องเต้อย่างเบามือด้วยตนเอง
นางกุมมือฮ่องเต้เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงพึมพำ “หลับเถิด ตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าก็จะเป็นหงเอ๋อร์ของแม่อีกครั้ง”
เว่ยกงกงมองจิ้งไท่เฟยอย่างงุนงง
คำพูดนั้นเรียกได้ว่าผิดธรรมเนียมประเพณี นางไม่ได้เป็นไทเฮา จึงไม่มีสิทธิ์เรียกฮ่องเต้ด้วยพระนาม ยิ่งไม่มีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าแม่
เพียงแต่ประโยคที่เขาตงิดใจนั้นคือ ‘ตื่นขึ้นมาแล้ว เจ้าก็จะเป็นหงเอ๋อร์ของแม่อีกครั้ง’ เหตุใดถึงได้พูดเช่นนั้น
หรือว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่
ครั้งนี้ฮ่องเต้หลับไปนานยิ่งนัก พอตื่นขึ้นมาฟ้าก็เริ่มสางแล้ว
จิ้งไท่เฟยเฝ้าเขาอยู่ตลอดทั้งคืน แต่พอฟ้าใกล้สว่างก็ฝืนถ่างตาต่อไปไม่ไหว จึงฟุบลงกับโต๊ะแล้วหลับไป
มือของนางยังคงกุมมือข้างหนึ่งของฮ่องเต้เอาไว้ ครั้นฮ่องเต้ขยับตัว นางจึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันใด
แม้จะมีฟูกหนาปูรองพื้น แต่ก็ไม่มีทางเทียบได้กับแท่นบรรทมมังกร ฮ่องเต้ปวดร้าวไปทั่วแผ่นหลังและบั้นเอว
“เว่ยกงกง” เขาเอ่ยเสียงสะลึมสะลือ ยังไม่ตื่นเต็มตานัก
จิ้งไท่เฟยผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองไปทางเขาด้วยแววตาแสนอ่อนโยน “หงเอ๋อร์”
ฮ่องเต้ลืมตามองนาง ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย “ท่านเรียกเราว่าอย่างไรนะ”
จิ้งไท่เฟยชะงักไปเล็กน้อย
นางกวาดตามองฮ่องเต้อีกครั้ง
ก่อนจะพบว่าแววตาของฮ่องเต้ไร้ความเอื้ออาทรอย่างที่คาดการณ์ไว้ ตรงกันข้ามในนั้นมีเพียงความเย็นชาและความห่างเหิน