สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 371 ไท่เฟยติดกับ
บทที่ 371 ไท่เฟยติดกับ
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทเรียกข้าน้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยกงกงยกอ่างน้ำเดินมาเข้าจากด้านนอก เมื่อครู่เขาไปยังห้องครัวของสำนักชี สั่งให้คนเตรียมน้ำร้อนให้ฝ่าบาท ปรนนิบัติฮ่องเต้มานานหลายปี ย่อมรู้ดีว่าเวลาประมาณนี้ฝ่าบาทคงตื่นแล้ว
ต่อให้ไม่ตื่นเองตามธรรมชาติ เขาก็ต้องปลุกฮ่องเต้ให้ตื่นขึ้นมาอยู่ดี เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะประชุมราชสำนักยามเช้าน่ะสิ
“ฝ่าบาท”
เว่ยกงกงเข้าไปในห้อง ก็พลันสัมผัสได้ว่าบรรยากาศดูแปลกไป เขามองฮ่องเต้ก่อนจะเหลียวไปมองจิ้งไท่เฟย
เอ่อ…
นี่เขาเห็นภาพหลอนหรือย่างไร
เหตุใดถึงดูเหมือนว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นระหว่างทั้งสองคน สีหน้าของฝ่าบาทเย็นชาเหลือเกิน ส่วนสีหน้าของจิ้งไท่เฟยก็ดูไม่สู้ดีนัก
“ฝะ…ฝ่าบาท”
เว่ยกงกงเอ่ยเสียงแผ่วเบา ยกอ่างน้ำเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก เขายังคงปวดหัวเล็กน้อย คล้ายกับว่าถูกคนยัดก้อนปุยนุ่นเข้ามาในหัว
เว่ยกงกงรวบรวมความกล้าจ้องมองไปทางจิ้งไท่เฟยอีกหน ทว่าจิ้งไท่เฟยเอาแต่จ้องมองฝ่าบาทไม่พูดไม่จา ราวกับตกตะลึงกับท่าทีของฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น เว่ยกงกงคิดในใจ หรือว่าฝ่าบาทจะปวดหัวอย่างรุนแรง จนทำเอาจิ้งไท่เฟยตกใจจนเสียขวัญไปแล้ว
เว่ยกงกงคุกเข่าลง วางอ่างน้ำร้อนลงบนพื้นข้างลำตัว ก่อนจะเอ่ยกระซิบถาม “ฝ่าบาทปวดหัวหรือพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะไปตามหมอหลวงมาให้”
ฮ่องเต้ลดมือที่กุมหน้าผากลง “ไม่ต้อง จะถึงเวลาประชุมเช้าแล้ว”
เว่ยกงกงตกใจกับน้ำเสียงแปลกหูของฮ่องเต้ เขาไม่พูดไม่จาพลางเหลียวไปมองจิ้งไท่เฟย เช้าวันนี้…ช่างแปลกพิกลนัก
ฮ่องเต้อาบน้ำเสร็จ ก็กลับมาเปลี่ยนชุดจักรพรรดิที่ตำหนักหวาชิงแล้วจึงไปประชุมเช้า
แม่นมไช่ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ฮ่องเต้เพิ่งมีรับสั่งเมื่อคืนวาน เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครขวางทางนาง
นางเดินโซซัดโซเซออกมาจากห้องสำเร็จโทษของตำหนักหวาชิง พอเห็นฮ่องเต้ นางดีใจในทันใด ก่อนจะถวายบังคมอย่างเคารพเทิดทูน “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ…”
ฮ่องเต้เดินผ่านนางไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
แม่นมไช่ชะงักไป
ฮ่องเต้ปล่อยตัวนาง ก็แปลว่าเชื่อใจไท่เฟยแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงได้เย็นชากับนางเช่นนี้
แม่นมไช่รีบพยุงร่างอันสะบักสะบอมกลับไปที่สำนักชี
จิ้งไท่เฟยนั่งนิ่งอยู่ในกุฏิของตัวเอง บนโต๊ะเตี้ยด้านข้างมีขวดดินเผาสีขวดและสีดำวางอยู่ ขวดทั้งสองใบคว่ำลง เม็ดยาภายในขวดกระจายออกมา
“ไอ้หยา! เหตุใดยาถึงได้กระจัดกระจายไปทั่วเช่นนี้เล่าเจ้าคะ! เสียเงินซื้อมาตั้งเท่าไหร่! ไม่มีเงินซื้อใหม่แล้วนะเจ้าคะ!” แม่นมไช่ไม่ทันได้คำนับ ก็รีบรุดเข้ามาเก็บเม็ดยาใส่แต่ละขวดดังเดิม
นางเก็บไปพลางชำเลืองมอง สิ่งที่เห็นกลับเป็นจิ้งไท่เฟยที่กำลังเหม่อลอย ก่อนจะนึกถึงสายตาเย็นชาที่ฝ่าบาทมองมาที่ตนเมื่อเช้านี้ หัวใจของนางกระตุกวูบ “ไท่เฟยเจ้าคะ! หรือว่า..ถูกฝ่าบาทจับได้เสียแล้ว”
จิ้งไท่เฟยยังคงไม่เอ่ยคำใด ทำได้เพียงกำหมัดแน่นแล้วหลับตาลง
แม่นมไช่เข้าใจเจ้านายของตัวเองเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนั้นใบหน้าของนางก็พลันซีดเผือด “ไม่ได้จับได้…เช่นนั้นก็…เช่นนั้นก็แปลว่า…”
แปลว่าอะไรน่ะหรือ
ยาหมดฤทธิ์แล้วหรือไม่ก็ใช้ยาสลับกันน่ะสิ
แม้ว่าจะใช้ยาขวดใด ผลลัพธ์ที่ตามมาก็น่ากลัวทั้งนั้น
เพราะในตอนที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาเกือบจะตัดขาดกับไท่เฟยแล้ว กว่าจะใช้ยาทำให้เขาค่อยๆ ลืมเรื่องราวเลวร้ายของไท่เฟยได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คืนดีกับไท่เฟยมาตั้งนาน หากเขาได้สติขึ้นมา…หากเขาได้สติขึ้นมา
“เว่ยกงกง”
หลังจากประชุมเช้า ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนเกี้ยวโพล่งขึ้น “เราลืมอะไรบางอย่างไปหรือเปล่า”
“ฮะ” เว่ยกงกงเดินอยู่ข้างเกี้ยว เหลียวไปมองฮ่องเต้พลางเอ่ย “ฝ่าบาทหมายถึงเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“หากเราจำได้ เราจะถามเจ้าหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เอ่อ…” เช่นนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าพระองค์ถามเรื่องใดเหมือนกัน
ฮ่องเต้หน้านิ่ว เขาคลึงระหว่างคิ้ว ก่อนจะนวดขมับ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองลืมเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง เหตุใดจู่ๆ ถึงได้คิดไม่ออกเสียแล้ว
“ฝ่าบาท พระองค์จะไปสำนักชีอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงถาม
“เราจะไปทำอะไรที่สำนักชีหรือ” ฮ่องเต้ถามกลับ
คำถามนั้นทำเอาเว่ยกงกงถึงกับชะงัก ไปทำอะไรที่สำนักชี พระองค์ก็รู้ดีอยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ
ฮ่องเต้นึกออกแล้ว เมื่อวานเขาไปเยี่ยมจิ้งไท่เฟยมา
เขาถามอย่างประหลาดใจ “จิ้งไท่เฟยไม่ได้อยู่สำนักชีนอกวังหรือ เราจำได้ว่าตอนนั้นไทเฮาส่งนางออกนอกวังไปแล้ว เหตุใดนางถึงได้กลับมา”
เว่ยกงกงตกใจจนพูดไม่ออก “ฝ่าบาท…เมื่อคืนพระองค์ดื่มสุราหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมรึ” ฮ่องเต้ย่นคิ้ว
เว่ยกงกงเอ่ย “พระองค์ยังไม่สร่างหรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ลืมไปแล้วหรือว่าพระองค์เป็นคนไปรับจิ้งไท่เฟยกลับวังมาเอง”
ฮ่องเต้สีหน้ามึนงงไปหมด “เราเป็นคนรับนางกลับวังอย่างนั้นหรือ”
เว่ยกงกงพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิพ่ะย่ะค่ะ ไท่เฟยหกล้มยามอยู่ที่สำนักชี บาดเจ็บหนักเอาการ พระองค์ไปเยี่ยมไท่เฟยแล้วก็กลัวว่าจะเป็นอันตรายไป จึงรับนางกลับมาอยู่ที่ตำหนักหวาชิง ทั้งยังรับสั่งให้สร้างสำนักชีเล็กๆ ไว้ในวังหลวงให้ไท่เฟยด้วย เพื่อให้นางจุดธูปไหว้พระบำเพ็ญเพียรในวังหลวงได้”
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ…” เขาพยายามนึกย้อน ทันใดนั้นเขาพลันปวดร้าวไปทั่วศีรษะ ภาพเบื้องหน้าคล้ายว่าจะพร่ามัว เว่ยกงกงคงไม่ได้โกหก
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้ทำเช่นนั้น ทำเรื่องผิดทำเนียมประเพณี
แม้จะบอกว่าจิ้งไทเฟยคือท่านแม่ของเขาก็เถอะ…
ใช่แล้ว คือท่านแม่ของเขา
ท่านแม่ที่เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่
เขาจะกตัญญูต่อนางก็เป็นเรื่องสมควร
สมควรทำอยู่แล้ว
ความเจ็บปวดแล่นริ้วขึ้นมาบนหัวของฮ่องเต้อีกครั้ง
จู่ๆ เขาพลันก็รู้สึกว่าจิ้งไท่เฟยก็ไม่เป็นคนดีเด่อะไรปานนั้น นาง…นาง…นางอะไรนะ
ใช่แล้ว นางเคยลงโทษเขากับหนิงอัน
ยามนั้นเป็นฤดูหนาว เพราะเขากับหนิงอันลอบหนีออกไปเก็บส้มโอ จึงถูกท่านแม่จิ้งลงโทษให้คุกเข่าบนพื้นหิมะหนาวเหน็บ
วันนั้นเป็นวันเกิดของไทเฮา เขากับหนิงอันไปยังวังเย็นเพื่อมอบถ่านเงินถุงหนึ่งกับส้มโอให้นางหลายลูก
ไท่เฟยลงโทษพวกเขา ลงโทษจนหนิงอันล้มป่วย
“นางเคยลงโทษข้ากับหนิงอัน” ฮ่องเต้โพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เอ๊ะ” เว่ยกงกงชะงักไป
ฮ่องเต้ตรัส “วันนั้นหิมะตกหนัก ข้ากับหนิงอันดึงดันว่าจะเอาของไปให้ฮองเฮา จึงโดนนางลงโทษให้คุกเข่าตลอดทั้งคืน…”
ตรัสถึงเพียงเท่านั้น ฮ่องเต้ก็ทอดถอนใจออกมา “นางกลัวว่าพวกข้าจะสนิทสนมกับฮองเฮาปานนั้นเชียวหรือ”
เว่ยกงกงมึนงงไปหมด
ฮองเฮาในที่นี้คงหมายถึงตอนที่จวงไทเฮายังเป็นสาวสินะ
เขาเคยได้ยินฝ่าบาทเล่าเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เดิมทีฝ่าบาทไม่ได้พูดเช่นนี้
‘วันนั้นช่างหนาวเหน็บนัก นางกลับรบเร้าหลอกล่อให้หนิงอันนำของไปให้นาง จนหนิงอันถูกเสด็จแม่ลงโทษ ถึงได้ป่วยหนัก! นางอสรพิษ! ทนเห็นผู้อื่นได้ดิบได้ดีกว่าไม่ได้เลยหรือไร!’
นั่นเป็นคำพูดของฮ่องเต้เมื่อตอนนั้น
เหตุใดวันนี้ถึงได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว
ฝ่าบาทหัวกระแทกพื้นมาหรือ
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็ไม่ได้ปวดหัวเหมือนครู่แล้ว เขาเหลียวไปมองเว่ยกงกงที่อยู่ข้างกัน “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ”
“ไม่… ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงคิดว่าจิตใจของฝ่าบาทคงได้รับการกระทบกระเทือนเป็นแน่ สติถึงได้เลื่อนลอยเช่นนี้ กลับไปเขาคงต้องถามแม่นางหมอเทวดาเสียแล้วว่าพระองค์ป่วยเป็นอะไร หรือว่าโดนผีร้ายเข้าสิง
เว่ยกงกงกำลังคิดอยู่ว่าจะออกจากวังหลวงไปหากู้เจียวตอนไหนดี ยังไม่ทันไร กู้เจียวก็เข้าวังมาเอง
เว่ยกงกงบังเอิญเจอนางที่สวนดอกไม้หลวง ตาเขาเป็นประกายในทันใด “แม่นางกู้!”
“เว่ยกงกง” กู้เจียวเอ่ยทักทาย
เว่ยกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านมีเรื่องอันใดหรือถึงได้เข้าวังมา มาเยี่ยมฝ่าบาทหรือ”
กู้เจียวเอ่ย “ข้ามาหาท่านย่าน่ะ”
“อ๋อ…” เว่ยกงกงกระอักกระอ่วนแต่ก็ยังยิ้มอย่างรักษามารยาท เขาลืมไปได้อย่างไรว่าฝ่าบาทระแวงจวงไทเฮาจนผิดใจกับหมอเทวดาน้อย
กู้เจียวเห็นเขาเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ เว่ยกงกง ท่านมีธุระอันใดหรือ”
เว่ยกงกงเหลียวไปมองรอบทิศ ก่อนจะกดเสียงให้เบาลง “คือว่า…ข้าน้อย ไม่รู้จะพูดอย่างไร คือว่าฝ่าบาท…พระองค์…พระองค์ดูเหมือน…”
“เว่ยกงกง”
ห่างออกไปไม่ไกล น้ำเสียงไม่ช้าเร็วของจิ้งไท่เฟยก็ดังขึ้น
เว่ยกงกงตื่นตกใจ รีบเหลียวกลับไป ก่อนจะถวายบังคมนอบน้อม “ถวายบังคมไท่เฟย”
แม่นมไช่ได้รับบาดเจ็บจึงพักฟื้นอยู่ที่สำนักชี คนที่อยู่ข้างกายจิ้งไท่เฟยในตอนนี้จึงเป็นแม่ชีน้อยที่ชื่อว่าฮุ่ยอัน
จิ้งไท่เฟยเดินมาพร้อมกับนาง มองทั้งสองคนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางกู้ก็เข้าวังด้วยหรือ ข้ากำลังจะไปเยี่ยมฝ่าบาทพอดี แม่นางกู้จะด้วยกันหรือไม่”
“ดีเลยเพคะ ข้าไปด้วย” กู้เจียวเอ่ย
เว่ยกงกงตาเบิกโพรง เอ่อ…ไม่ใช่ว่าเยี่ยมไทเฮาหรอกหรือ
แพขนตาของจิ้งไท่เฟยกระพือไหว ราวกับไม่คาดคิดว่ากู้เจียวจะตอบรับอย่างง่ายดายเพียงนี้ นางนิ่งงันอยู่ที่เดิมก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”
กู้เจียวกับจิ้งไท่เฟยเดินไปยังตำหนักฮว๋าชิงด้วยกัน
แม่ชีน้อยเอ่ยอย่างดีใจ มองเหลียวซ้ายแลขวา
กู้เจียวไม่รู้ว่าจิ้งไท่เฟยวางแผนทำอะไร นางกับเว่ยกงกงยังพูดกันได้ไม่กี่คำ จิ้งไท่เฟยก็มาเสียก่อน ที่นางตามไปด้วยก็เพราะว่าอยากรู้ว่าจิ้งไท่เฟยตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
นางเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรทั้งนั้น แต่ชีวิตนี้ช่างมีอะไรให้น่าประหลาดใจเสมอ
ขณะที่เดินผ่านรั้วของสวนดอกไม้หลวง เว่ยกงกงก็พลันลื่นไถล ไม่ทันได้ระวังจึงชนกับกู้เจียวเข้า
เพราะเป็นเว่ยกงกง กู้เจียวจึงไม่หลบ ไม่อย่างนั้นเขาคงล้มหน้าทิ่มไปแล้ว
ฮ่องเต้ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องทรงอักษรหลังจากอ่านฏีกาเสร็จก็เห็นเว่ยกงกงกำลังเซล้มไปทางกู้เจียวที่อยู่ข้างๆ จิ้งไท่เฟย กู้เจียวถูกกระแทกเข้าอย่างจัง
แม้นางจะไม่ร้องโอดโอย แต่ฮ่องเต้ก็พอดูออกว่านางนั้นถูกชนแรงเอาการ
สีหน้าของฮ่องเต้ถมึงทึงขึ้นมา “เสด็จแม่ เหตุใดท่านถึงต้องผลักเว่ยกงกงด้วย”
จิ้งไท่เฟยที่ยังไม่ได้ขยับแม้แต่ปลายนิ้ว “…!!”