สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 380 อบอุ่นและหวานชื่นใจ
บทที่ 380 อบอุ่นและหวานชื่นใจ
หนิงอ๋องกำลังคิดว่าจะเพิ่มเงินให้ดีหรือไม่
แต่เหตุใดต้องคิดด้วยเล่า ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่มเงินให้ไม่ได้เสียหน่อย เพียงแต่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ยอมเล่นไปตามน้ำ เขาจึงคิดว่าให้คุยต่อไปมันไม่ค่อยจะมีประโยชน์นัก
แม้ว่าที่เขาไม่ได้เพิ่มเงินให้เพราะได้ตระหนักถึงข้อนี้ แต่ก็ไม่อาจเลี่ยงที่คนอื่นจะสงสัยได้ว่าเขาเป็นคนตระหนี่หักใจเพิ่มเงินให้ไม่ได้ ความกระอักกระอ่วนจากประโยคเมื่อครู่อย่าง ‘เจ้าจะซื้อบ้านให้ข้าหรือไร’ พลันเกิดขึ้นอีกครา
เจอกันครั้งแรกแท้ๆ แต่ความสามารถที่เด็กคนนี้แสดงออกมาและความไว้วางใจซึ่งกันและกันยังไม่คุ้มค่าพอสำหรับบ้านหลังหนึ่ง แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดคาดก็คือหนิงอ๋องตระหนี่หักใจซื้อบ้านให้ไม่ได้
หนิงอ๋องใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปี เป็นครั้งแรกที่เกิดความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
หนิงอ๋องสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนอ้าปากหมายจะเอ่ยขึ้น
กู้เจียวยกมือน้อยๆ ขึ้นอย่างเย็นชา ทำมือบอกเขาว่าพอเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว จากนั้นก็เขียนบนสมุดเล่มเล็กว่า ‘หมดเวลาคิดแล้ว ลาก่อน!’
หนิงอ๋องปากอ้าตาค้าง หมดเวลาคิดแล้วหมายความว่าอย่างไร เขาแค่ลังเลครู่เดียวเท่านั้น เหตุใดแม้แต่สิทธิ์ในการเลือกยังโดนห้ามไว้เล่า
แต่ไหนแต่ไรมามีแต่เขาที่เป็นฝ่ายห้ามคนอื่น ยังไม่มีใครห้ามเขาเลย
ความร้ายกาจของประโยคนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่า ‘เจ้าจะซื้อบ้านให้ข้าหรือไร’ กับ ‘หากให้ฟังเขาต่อต้องเพิ่มเงิน’ ยิ่งนัก!
เดิมทีเขากะว่าจะเมินกู้เจียว กดความเหิมเกริมของกู้เจียวลงเสียหน่อย เพื่อที่การเจรจาครั้งต่อไปจะได้ไม่ถึงขั้นเป็นฝ่ายโดนกระทำเช่นนี้ ทว่าใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้แม้แต่โอกาสเพิ่มเงินเลยสักนิด!
หนิงอ๋องรู้สึกเหมือนค้อนทุบอก ในสมองเต็มไปด้วยประโยคที่ว่า ‘เจ้าควรเพิ่มเงินให้ตั้งแต่แรก!’ ลอยมา
พูดถึงตรงนี้กู้เจียวเขียนประโยคนั้นจบก็เก็บสมุดเล่มน้อยของตัวเองเสร็จ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
ไม่ว่าองครักษ์ของหนิงอ๋องจะรั้งอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนใจ
หนิงอ๋องคงไม่มีทางลงมือหยาบคายกับนางหรอก เขากำหมัดแน่น ข่มร่างกายที่สั่นน้อยๆ เอาไว้ สุดท้ายจึงถามนางขึ้นว่า “คราหน้าจอมยุทธ์น้อยจะมาอีกเมื่อใดรึ”
กู้เจียวไม่ได้ตอบ นางเดินออกไปแล้ว
หนิงอ๋องเอนพิงเก้าอี้พลางหอบหายใจหนัก หากจะบอกว่าโกรธก็ไม่ถึงขั้นโกรธมากมาย เด็กหนุ่มชาวยุทธ์นี่นา มีความผยองเป็นธรรมดา หนิงอ๋องไม่ได้จิตใจคับแคบเพียงนั้น ไม่มีทางรู้สึกว่าตัวเองถูกหยามเกียรติเหมือนไท่จื่อเวลาโดนคนอื่นไม่เคารพใส่หรอก
เขาเป็นคนที่ใจกว้างไม่ถือสาต่อที่ปรึกษาและชาวยุทธภพที่มีความสามารถเหล่านี้ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ทว่าวันนี้…
หนิงอ๋องอยากจะบอกว่าตัวเองไม่ได้โกรธ แต่ในใจกลับโดนดาบทิ่มแทงไปแล้วหนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดแปดเล่ม!
เหตุใดจึงมี…คนแปลกประหลาดเช่นนี้ได้!
เขาไม่ได้เปิดเผยตัวตนของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะกำเริบเสิบสานเช่นนี้ ที่น่าแปลกก็คือวิธีการตอกหน้าคนเช่นนี้ต่างหาก…ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนเลยจริงๆ!
“น้ำ!” หนิงอ๋องเอ่ยขึ้น
องครักษ์รีบยกชามาให้เขา หนิงอ๋องดื่มอึกๆ ไปครึ่งกาภายในรวดเดียวจึงเรียกได้ว่าคลายความหงุดหงิดในใจลงแล้ว เขาเอ่ยกับองครักษ์ “เจ้าไปสืบมาทีว่าพิชิตใต้หล้าผู้นี้ใครเป็นคนแนะนำมา”
โรงประลองใต้ดินถูกซ่อนเร้นไว้ คนทั่วไปหาที่นี่ไม่เจอ โดยปกติล้วนอาศัยคนรู้จักแนะนำมาหรือไม่ก็คนของโรงประลองไปหาทาบทามคนมา
สืบหาเรื่องนี้ไม่ได้ยากอะไร องครักษ์กลับมารายงานอย่างรวดเร็ว “ทูลนายท่าน ผู้จัดการย่อยที่นามว่าเหล่าเหอพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้จัดการย่อยเป็นการเรียกอย่างให้เกียรติ แต่ความจริงแล้วเป็นคนที่โรงประลองใต้ดินเชิญให้มาทาบทามคน ปกติแล้วพวกเขาจะเคลื่อนไหวที่โรงประลองใหญ่ๆ แต่ละแห่งในเมืองหลวง เพื่อหาต้นกล้าที่มีฝีมือการต่อสู้เก่งกาจ จากนั้นก็พาคนนั้นมายังโรงประลองใต้ดิน
ทุกคนที่พวกเขาพามา เมื่อขึ้นเวทีแล้วล้วนได้รับส่วนแบ่งทั้งสิ้น
หนิงอ๋องให้ถุงเงินกับองครักษ์ไป “เจ้าไปบอกพวกเขาหน่อยว่าต่อไปนี้พิชิตใต้หล้ามา ให้เขาไปแจ้งข้าที่จวน”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ขานรับ
แน่นอนว่าจวนที่หนิงอ๋องพูดถึงย่อมไม่ใช่จวนองค์ชายของตนอยู่แล้ว แต่เป็นคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่ง หนิงอ๋องไม่มีทางเปิดเผยตัวตนของตัวเองง่ายๆ แน่นอน
องครักษ์ไปหาเหล่าเหอพลางคิดในใจว่า ‘จอมยุทธ์พิชิตแผ่นดินผู้นี้ช่างเป็นคนที่รับมือด้วยยากจริงๆ ติดตามนายท่านมานานเพียงนี้ ยังไม่เคยเห็นเขาโดนใครตอกหน้าหงายเช่นนี้มาก่อนเลย’
หนิงอ๋องเป็นหนึ่งในบรรดาองค์ชายที่ใจเย็นที่สุด ทั้งฉลาดปราดเปรื่องและกล้าหาญพรั่งพร้อม เปี่ยมไปด้วยความสามารถ และเป็นแบบอย่างของบรรดาองค์ชาย การแสดงออกในวันนี้มันช่างนอกเหนือจากความคาดหมายไม่น้อย
เขากลับไปคงต้องครุ่นคิดไตร่ตรองให้ดีหน่อย คราหน้าจะได้ไม่เป็นฝ่ายโดนกระทำอีก
กู้เจียวออกมาจากโรงเย็บปักสุ่ยเซียน ก่อนจะจ้างรถม้าไปยังกั๋วจื่อเจียน
เวลาพอดิบพอดียิ่งนัก เสี่ยวจิ้งคงเลิกเรียนพอดี เขาวิ่งออกมาพร้อมกับเหงื่อท่วมหน้า
บัณฑิตชั้นต้นเข้าใจหลักการของเขาแล้ว ยามปกติเย็นชาเสียยิ่งกว่ากษัตริย์ พอสติปัญญาลดลงกลับมาเป็นเด็กสามขวบก็เป็นเพราะพี่สาวที่บ้านมาหา
กู้เจียวกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างถนน พลางครุ่นคิดว่าครั้งต่อไปหนิงอ๋องมาหานางนางจะคิดเงินอย่างไรดี
ตระกูลจวงร่ำรวยถึงเพียงนั้น ในฐานะที่หนิงอ๋องเป็นหลานชายของราชครูจวง ก็คงจะไม่ได้ขัดสนหรอก
กุยช่ายทองกระถางนี้ ต้องตั้งใจถลุงให้ดีเสียหน่อยแล้ว
“เจียวเจียว!”
เสี่ยวจิ้งคงโผไปหากู้เจียว ก่อนจะกอดต้นขานางไว้
กู้เจียวเก็บความคิดโดยพลัน นางมองไปยังเจ้าก้อนน้อยที่เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นจี้ห้อยต้นขานาง ก่อนจะหิ้วตัวเขาขึ้นมามองท่าทางเหงื่อท่วมหน้าของเขาพลางถาม “วันนี้แข่งวิ่งอีกแล้วหรือ เหงื่อจึงได้ออกมากมายเช่นนี้”
“วันนี้เรียนชู่จวีด้วยล่ะ!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
ชู่จวีของแคว้นเจานั้นกู้เจียวเคยเห็นที่สนามของสำนักบัณฑิตชิงเหอมาก่อน มันเหมือนๆ กันกับวิธีเล่นฟุตบอลในชาติที่แล้วของนางเลย ล้วนเตะลูกให้เข้าประตูเหมือนกัน เพียงแต่ว่าประตูของฟุตบอลเรียกว่าโกล มีขนาดใหญ่มาก มีทั้งหมดสองโกล และอยู่บนพื้น แต่ประตูของชู่จวีเรียกว่าตาลมไหล มีขนาดเล็กมากและมีเพียงอันเดียวซึ่งแขวนไว้บนที่สูง อีกทั้งตาลมไหลนี้ก็ไม่มีตาข่ายด้วย
สรุปก็คือชู่จวีเป็นหนึ่งในกีฬาที่แคว้นทั้งหกส่งเสริมกันในขณะนี้
กู้เจียวล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา
เสี่ยวจิ้งคงยื่นหน้าน้อยๆ ไปหาอย่างว่าง่าย
“เรียนเป็นอย่างไรบ้างล่ะ เตะเป็นหรือไม่” กู้เจียวเช็ดเหงื่อให้เขาพลางถาม
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าหงึกๆ เหมือนโขลกกระเทียม “เตะเป็นแล้ว เตะเป็นแล้ว! ข้าเรียนรู้ได้เก่งมากนัก! เหลือแค่อีกนิ๊ดดดหน่อยก็เตะเข้าตาลมไหลได้แล้ว!”
…นิ๊ดดดหน่อยของเสี่ยวจิ้งคงคือครึ่งสนาม
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้จะโทษเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ เพราะเขาตัวเล็กยิ่งนัก แขนขาสั้นไปหมด พอเตะออกไปลูกชู่จวีดันเตะไม่โดน เพราะตัวเองดันลื่นล้มกับพื้นเสียก่อนแล้ว
อีกทั้งตาลมไหลของชั้นปะถมนั้นล้วนทำขึ้นตามความสูงของเด็กส่วนใหญ่ พวกเขาหกถึงแปดขวบกันแล้ว เสี่ยวจิ้งคงที่แม้ว่าจะสี่ขวบแล้วแต่ดูเหมือนสามขวบครึ่งจึงได้เสียเปรียบยิ่งนัก
หลังๆ เขาแทบจะไม่ได้แตะลูกชู่จวีเลย เพราะทุกคนต่างไม่ส่งลูกให้เขา!
เจ้าเด็กน้อยก็หงุดหงิดจะตายเหมือนกัน!
กู้เจียวหยักยกมุมปาก “เตะเก่งมากจริงๆ น่ะรึ”
ดวงตาเสี่ยวจิ้งคงถลึงโตเท่าตาวัว “จะ…จริงน่ะสิ! ข้าเตะได้ตลอดเลยนะ!”
“จิ้งคง! ไปเล่นชู่จวีที่บ้านข้าหรือไม่”
สวี่โจวโจวบนรถม้าโบกมือให้เสี่ยวจิ้งคงข้างถนน
เสี่ยวจิ้งคงดวงตาเป็นประกาย มือน้อยๆ ไพล่ไว้ข้างหลัง “มะ…ไม่ไปหรอก! อันที่จริงก็ไม่ค่อยสนุกเท่าใด!”
ไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าตัวเองเล่นไม่เก่ง แม้แต่ลูกยังไม่ได้แตะเลย
สวี่โจวโจวไม่ได้เรียนอยู่ชั้นเดียวกันกับเขา จึงไม่รู้ว่าวันนี้เขาแทบไม่ได้แตะลูกเลย เจ้าเด็กน้อยเกิดไม่มั่นใจขึ้นมา สวี่โจวโจวโบกมือไปมา “ก็ได้ เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะ! คราหน้าเจ้าชอบเล่นอะไรก็บอกข้านะ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าอีก!”
“อื้ม” เสี่ยวจิ้งคงขานรับอย่างคลุมเครือ
กู้เจียวเช็ดเหงื่อให้เสี่ยวจิ้งคงเสร็จ ก็จูงมือเขากลับไปที่ตรอกปี้สุ่ย
หลังจากกลับมาแล้ว กู้เจียวก็ทำลูกชู่จวีให้เสี่ยวจิ้งคงด้วยตัวเอง แล้วรื้อชั้นวางที่ตากยาออกไปทำเป็นตาลมไหลตรงข้างต้นไห่ถังในเรือนท้าย ใหญ่กว่าที่สำนักบัณฑิตหน่อยๆ และใช้ความสูงที่เหมาะกับเสี่ยวจิ้งคง
เสี่ยวจิ้งคงทำการบ้านเสร็จเดินออกมาเห็นชู่จวีบนกรอบประตูเข้า
“ว้าว!”
ดวงตาเขาเบิกโตเป็นประกาย ขนตากะพริบปริบๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
เขาโน้มตัวลง มือน้อยๆ อุ้มลูกชู่จวีวิ่งตึงตังไปท้ายเรือน เขาเห็นตาลมไหลที่เตี้ยกว่าที่กั๋วจื่อเจียนลงมาอย่างเห็นได้ชัด ก็โผไปหาอย่างตื่นเต้น
เขาวางลูกชู่จวีลง เขย่งเท้าขึ้นกอดตาลมไหลอันใหญ่เอาไว้
…
เซียวลิ่วหลังออกทำงานนอกสถานที่อีกแล้ว ครานี้อยู่ที่เมืองหลวง สำนักจัดสอบทำการสุ่มสอบขุนนางบางส่วนของทั้งหกกรม ระยะเวลาการสอบคือสามวัน ในฐานะที่เซียวลิ่วหลังเป็นหนึ่งในผู้คุมสอบจึงเข้าสำนักจัดสอบไปด้วยกันกับพวกขุนนาง
เซียวลิ่วหลังไม่ได้มาที่สำนักจัดสอบเป็นครั้งแรก แต่เมื่อก่อนนั้นเขานั่งอยู่ในเพิงสอบ ทว่าวันนี้กลับนั่งอยู่บนที่นั่งผู้คุมสอบแล้ว
เขากลับไม่ต้องอ่านข้อสอบ สามวันต่อมาการสอบเสร็จสิ้นก็สามารถกลับพร้อมพวกขุนนางได้เลย
เซียวลิ่วหลังไม่อยู่บ้าน วันที่สองกู้เจียวจึงไปโรงประลองอีก
เหล่าเหอรับเงินจากองครักษ์ของหนิงอ๋องมาแล้ว แต่เขาไม่ได้รีบร้อนไปแจ้งข่าวกับทางหนิงอ๋องทันที กลับไปบอกเรื่องนี้กับกู้เจียวเสียก่อน
เรื่องแบบนี้หาได้ยากในโรงประลอง คนใหญ่คนโตไม่น้อยล้วนแอบซื้อตัวยอดฝีมือเป็นการส่วนตัว เพียงแต่คนใหญ่คนโตพวกนี้ล้วนมีหน้ามีตากันในเมืองหลวง โดยปกติแล้วจะไม่ให้คนในโรงประลองได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา
“หากเจ้าอยากพบเขา ข้าจะไปแจ้งเขาเดี๋ยวนี้เลย หากเจ้าไม่อยากพบ ระหว่างทางข้าจะเดินช้าๆ หน่อย” พอแจ้งข่าวเสร็จ ป่านนั้นกู้เจียวก็กลับไปแล้ว
นี่ไม่ได้เรียกว่าเขาบกพร่องในหน้าที่ เขาก็แค่รับปากว่าจะแจ้งข่าวให้ แต่ไม่รับปากว่าจะรั้งให้กู้เจียวอยู่ที่นี่เสียหน่อย
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา “ไม่เป็นไรหรอก ไปแจ้งเถิด ยิ่งเร็วเท่าใดยิ่งดี”
บ่ายนี้กู้เจียวประลองไปสองยก ไม่ได้ประลองยกที่สามเพราะไม่มีคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม โรงประลองใต้ดินมีกฎระเบียบว่าประลองได้ไม่เกินสามยก ซึ่งก็คือกู้เจียวที่ไม่มีอันดับอย่างมากสุดก็ประลองได้กับแค่ยอดฝีมือระดับสองเท่านั้น
นักดาบเป็นยอดฝีมือคนแรกที่กู้เจียวประลองด้วย เดิมทีคิดว่าเป็นการเรียกน้ำย่อย ใครจะไปคิดว่าจะเป็นตัวตึงที่สุด
ไม่แปลกที่นักดาบจะถูกไล่ตาม เพราะอันดับสามลงไปคงมีแค่ไม่กี่คนที่มีศักยภาพพอที่จะสามารถประลองกับเขาได้แล้ว
อย่างน้อยสี่คนต่อมาที่กู้เจียวประลองด้วยก็ไม่มีใครฝีมือเท่าเขาเลย
หลังจากที่กู้เจียวชนะนักดาบ ก็เริ่มมีหน้ามีตาขึ้นในโรงประลองใต้ดิน วันนี้ในที่สุดก็มีคนเดิมพันว่านางจะชนะบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายที่เงินที่มาถึงมือก็ยังได้แค่สิบตำลึงเท่านั้น
ไม่เป็นไร
เงินส่วนแบ่งไม่พอ ก็ไปถลุงจากกุยช่ายแล้วกัน
ยามนี้กุยช่ายมาแล้ว
กู้เจียวลงจากสังเวียน
หนิงอ๋องเดินมาที่สังเวียนด้วยตัวเอง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่หน้ากากหยกบนใบหน้ากลับยังคงเหมือนเมื่อวาน
หน้ากากของเขามีช่องเว้าส่วนปากและคาง เขาแย้มยิ้มเอ่ย “จอมยุทธ์น้อย พวกเราพบกันอีกแล้ว สองยกเมื่อครู่นี้ข้าดูหมดแล้ว เจ้าสู้ได้ดีกว่าเมื่อวานอีกนะ มีเวลาเข้าไปนั่งคุยกันหรือไม่”
กู้เจียวหยิบสมุดเล่มเล็กออกมายื่นให้เขาดูตารางราคาที่เขียนไว้เรียบร้อยแล้ว ห้าสิบตำลึง หนึ่งก้านธูป
องครักษ์เลิกคิ้วขึ้น “เมื่อวานยังสิบตำลึงอยู่เลยมิใช่หรือไร!”
กู้เจียวเขียนต่อ ‘ขึ้นราคาแล้ว’
องครักษ์ “…”
หนิงอ๋อง “…”
หนึ่งก้านธูปราวๆ ครึ่งชั่วโมงของชาติที่แล้ว ไม่มากไม่น้อยเกินไป เป็นระดับที่กู้เจียวรับได้
องครักษ์ด้านหลังหนิงอ๋องมุมปากกระตุกยิกๆ “เจ้ามันขึ้นราคาโดยไร้เหตุไร้ผลนัก!”
กู้เจียว ยินดีด้วย ตอบถูกแล้ว
หนิงอ๋องก็รู้สึกว่าราคานี้ค่อนข้างสูงไปหน่อย เพราะห้าสิบตำลึงซื้อยอดฝีมือจากข้างนอกได้เพียงพอเลยล่ะ
ทว่า มีบทเรียนมาก่อน วันนี้หนิงอ๋องจึงไม่กล้าลังเลอีก ยิ่งไปกว่านั้นจากกำลังทรัพย์ของเขานั้น ห้าสิบตำลึงแค่ขี้ปะติ๋ว
“ได้” เขาตกลง
กู้เจียวรับเงินมาเรียบร้อยจึงเข้าห้องไปกับเขา
หนิงอ๋องเพิ่งจะนั่งลงก็เห็นกู้เจียวจุดธูปหนึ่งดอกบนโต๊ะแล้ว
หนิงอ๋อง “…”
“จอมยุทธ์น้อย บอกตรงๆ เลยแล้วกัน ที่ข้ามาหาเจ้านอกจากอยากจะผูกมิตรด้วยแล้ว ยังอยากจะทำการค้าขายกับเจ้าด้วย”
ทำการค้าขายเรื่องนี้เป็นแผนที่หนิงอ๋องคิดได้หลังจากกลับไปแล้ว ในเมื่อเด็กหนุ่มผู้มีนามว่าพิชิตใต้หล้าคนนี้ละโมบเพียงนี้ เช่นนั้นก็ใช้เงินทองทำให้เขาย่อมก้มหัวให้ก็แล้วกัน
ไม่ต้องให้เขามาเป็นองครักษ์ข้างกายตนให้ได้หรอก
กู้เจียวเขียนอย่างรวดเร็วว่า ‘ทำการค้าขายต้องจ่ายแยกต่างหาก ระยะเวลายังคงเดิม’
หนิงอ๋องมุมปากกระตุก ก่อนยิ้มเอ่ย “มันแน่อยู่แล้ว ข้าไม่มีทางให้เจ้าเสียเปรียบหรอกน่า”
ภายในห้องแขวนน้ำเต้าอีกห้องหนึ่ง มีบุรุษในอาภรณ์หรูหรากับสตรีกิริยาและหน้าตางดงามคนหนึ่งค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ
พวกเขาเพิ่งจะมาถึง วันนี้มีธุระ จึงได้มาช้านิดหน่อย
“วันนี้มีนักดาบหรือไม่” สตรีสวมหน้ากากเอ่ยถามขึ้น
คนรับใช้เอ่ย “เรียนฮูหยิน เมื่อวานนักดาบได้รับบาดเจ็บจากการประลอง วันนี้ยังลงจากเตียงไม่ได้เลย”
“เอ๋ เขาบาดเจ็บรึ” สตรีนางนั้นตกใจ “ใครเป็นคนทำเขาบาดเจ็บกัน”
เท่าที่นางจำได้ อันดับในตอนนี้ของนักดาบน่าจะไม่มีคู่ต่อสู้ด้วยเลยนี่นา
บ่าวรับใช้ตอบ “เด็กหนุ่มหน้าใหม่คนหนึ่ง ดูท่าทางอ่อนแอไม่เอาอ่าว แต่กระบวนท่าร้ายกาจไม่น้อย เขาชกนักดาบล้มภายในกระบวนท่าเดียวเลย จากนั้นก็ชนะอีกสามยกติด”
ชนะสามยกติดไม่มีอะไรน่าตกใจหรอก แต่ชกนักดาบให้พ่ายแพ้ได้ภายในหมัดเดียวนั้นช่างทำนางคาดไม่ถึงนัก
“ฝ่าบาท” สตรีนางนั้นมองไปยังบุรุษที่อยู่ด้วย
บุรุษคนนั้นเอ่ยถาม “เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ที่ไหน”
บ่าวรับใช้ครุ่นคิดก่อนตอบ “เพิ่งจะประลองเสร็จ เหมือนว่าจะโดนคนเรียกไปแล้ว”
บุรุษคนนั้นเอ่ย “เจ้าไปดูหน่อยว่าเขากลับไปหรือยัง หากยังไม่กลับก็พาเขามาหาข้า”
สตรีนางนั้นมองเขาอย่างเป็นห่วง “ฝ่าบาท…”
บุรุษคนนั้นกุมมือนางไว้ ก่อนแย้มยิ้มอย่างรักใคร่ “หลินหลังเจ้าวางใจเถิด ข้าจะให้คนพาเจ้าไปแคว้นเยี่ยนแน่นอน”