สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 381 สัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา
บทที่ 381 สัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา
กู้เจียวทำความเข้าใจได้จากคำพูดหนิงอ๋องว่ายอดฝีมือสามอันดับแรกของโรงประลองใต้ดินมีสิทธิ์ไปประลองที่แคว้นเยี่ยน ซ้ำยังพาคนไปด้วยกันได้ด้วย
กู้เจียวรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเจากับแคว้นเยี่ยนดี แคว้นเยี่ยนเป็นแคว้นชั้นบน หากแคว้นเยี่ยนไม่เห็นด้วย แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเจาเองก็ไม่อาจเดินทางไปได้ ทว่าโรงประลองเล็กๆ แห่งหนึ่งกลับมีสิทธิ์ส่งยอดฝีมือไปแคว้นเยี่ยนได้
การประลองคงเป็นแค่ในนาม แต่ความจริงแล้วคงจะใช้โอกาสนี้หาพรรคหาพวกกระมัง
และโรงประลองแบบนี้คงจะมีอยู่ทั้งหกแคว้นเลยกระมัง วิธีของแคว้นเยี่ยนก็ช่างป่าเถื่อนรุนแรงเหลือเกิน
หนิงอ๋องเอ่ย “ไม่มีอันดับหนึ่งและสองมานานหลายปีแล้ว อยากไปประลองกับเขาก็ไม่มีโอกาส ยอดฝีมือที่อยู่อันดับสามกลับเพิ่งจะมาที่โรงประลองได้ไม่กี่ปีมานี้เอง”
ความหมายของหนิงอ๋องแจ่มชัดมาก ขอแค่กู้เจียวกำจัดอันดับสามทิ้งก็พอแล้ว
“ข้าเชื่อในศักยภาพของจอมยุทธ์น้อย”
กู้เจียวกลับไม่เชื่อว่าประโยคนี้เขาจะบอกแค่กับตน เกรงว่าคงจะโยนตาข่ายคลุมทั้งหมด และมุ่งเน้นฝึกฝน
อีกอย่างกู้เจียวยังกลั่นกรองข่าวมาได้จากการสนทนากับเขาอีกอย่างว่าหนิงอ๋องอยากไปแคว้นเยี่ยน
“จอมยุทธ์น้อยคิดว่าอย่างไร” หนิงอ๋องถาม
กู้เจียวชำเลืองมองธูปบนแวบหนึ่ง ก่อนจะลุกพรวดขึ้น ใช้สายตาบอกเขาว่าหมดเวลาแล้ว
หนิงอ๋องที่เกือบสำลักตาย “…!!”
หลังจากกู้เจียวออกไป องครักษ์ก็มองไปหน้าประตูอย่างระแวดระวัง แล้วกลับมาข้างกายหนิงอ๋องพลางรายงานว่า “ฝ่าบาท เมื่อครู่นี้มีคนจับตาดูใกล้ๆ พวกเราพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปหรือยัง” หนิงอ๋องถาม
“ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์พยักหน้า
หนิงอ๋องแววตานิ่งขึ้น “เห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นใคร”
องครักษ์ส่ายหน้า “เห็นหน้าเขาไม่ค่อยชัดพ่ะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยรู้สึกคุ้นกับรูปร่างไม่น้อย เหมือนจะเป็นคนข้างกายของไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงอ๋องยกถ้วยชาขึ้น “หมายความว่าไท่จื่อก็มาเช่นกันอย่างนั้นรึ”
องครักษ์สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “หรือว่า…ไท่จื่อจะรู้ว่าพวกเรามาแล้ว”
หนิงอ๋องไม่กังวลเลยสักนิด เขาจิบชานิ่งๆ “รู้แล้วก็ไม่เป็นไรหรอก เขาไร้หลักฐาน ต่อไปก็ระวังหน่อย อย่าให้ใครมาจับตามองอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ส่วนคนผู้นั้นเดินวนอยู่รอบๆ ห้องของหนิงอ๋องแล้วรอบหนึ่งไม่ได้อะไร จึงไปสืบความจากบ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตู ยามนี้จึงได้ไปทูลไท่จื่อกับไท่จื่อเฟย “…บ่าวไปช้าก้าวหนึ่ง คนผู้นั้นกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปแล้วอย่างนั้นรึ” ไท่จื่อขมวดคิ้วด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ไท่จื่อเฟยเอ่ยถาม “แล้วสืบมาได้หรือไม่ว่าเขาเป็นใครกัน เมื่อครู่ถูกใครเชิญไปพบ”
คนรับใช้รายงานข้อมูลที่สืบมาไปตามความจริง “เขามีนามว่าพิชิตแผ่นดิน ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเชิญไปพบ แต่เป็นห้องฝั่งตะวันออกห้องนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อเฟยมองตามมือที่เขาชี้ไป เห็นห้องนั้นแขวนน้ำเต้าไว้ ก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา
ไท่จื่อถามอย่างแปลกใจ “มีคนชื่อไม่เพราะเช่นนี้ด้วยรึ”
“น่าจะเป็นนามแฝงพ่ะย่ะค่ะ” คนรับใช้บอก “คนที่นี่ล้วนไม่ใช้ชื่อจริง”
ไท่จื่อเฟยชะงักไป ก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าไปสืบมาอีกว่าใครเป็นคนพาพิชิตแผ่นดินผู้นี้เข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!” คนรับใช้ขานรับ แล้วหันหลังออกจากห้องไป
ไท่จื่อเฟยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนหลบตาลงยกถ้วยชาขึ้น
ไท่จื่อมองนางอย่างสงสาร “หลินหลัง เจ้าอย่าเสียใจไปเลย แค่ยอดฝีมือที่มาใหม่คนเดียวเอง ไม่มีเขาก็ยังมีคนอื่นอีก ข้าจะหาคนที่สู้จนเข้าสามอันดับแรกแล้วพาเจ้าไปพบปรมาจารย์เมิ่งที่แคว้นเยี่ยนให้ได้”
ไท่จื่อเฟยหลบตาลง “ฝ่าบาท ข้าทำเช่นนี้มันเห็นแก่ตัวมากเลยใช่หรือไม่ ข้าเป็นไท่จื่อเฟยแห่งแคว้นเจา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามีก็มากมายพอแล้ว เหตุใดข้ายังต้องเพ้อฝันอยากจะไปพบปรมาจารย์เมิ่งอีก”
ไท่จื่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเห็นแก่ตัวที่ไหนกันล่ะ การที่เจ้าพบปรมาจารย์เมิ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรหรือไร เจ้าแก้สถานการณ์หมากของปรมาจารย์เมิ่งได้ หากปรมาจารย์เมิ่งทราบเข้าคงต้องชื่นชมเจ้าอย่างมากแน่ จนกระทั่งยามนี้แคว้นเยียนยังไม่ตอบกลับมาเลย ข้าเดาว่าข่าวคงยังไปไม่ถึงมือปรมาจารย์เมิ่ง พอเราไปแคว้นเยี่ยนแล้ว ได้พบท่านอาวุโส ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากคารวะปรมาจารย์เมิ่งเป็นอาจารย์ ข้าจะช่วยเจ้าแน่นอน”
ไท่จื่อเฟยน้ำตาคลอหน่วย “อันที่จริงที่หม่อมฉันอยากไปแคว้นเยี่ยนหาใช่เพื่อจะพบปรมาจารย์เมิ่งไม่ หม่อมฉันอยากจะไปดูวัฒนธรรมของแคว้นเยี่ยน อยากจะเข้าใจแคว้นอันดับหนึ่งแห่งนี้ว่ามันเป็นอย่างไร อยากจะเรียนรู้หลักการปกครองของกษัตริย์แคว้นเยียน พอกลับมาแล้วจะได้ช่วยเหลือฝ่าบาทได้ดีกว่านี้”
ไท่จื่อแสดงสีหน้าซึ้งใจ “หลินหลัง เจ้าช่างดีนัก”
ไท่จื่อเฟยยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทเป็นสวามีของหม่อมฉัน นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันพึงกระทำเพคะ เมื่อครู่ได้ยินคนเล่าเรื่องเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ข้ากลับคิดว่าเด็กหนุ่มนามว่าพิชิตแผ่นดินผู้นี้มีความสามารถทั้งที่อายุยังน้อย และมีศักยภาพมาก”
ไท่จื่อเอ่ย “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าจะเชิญเขามาให้!”
ไท่จื่อเฟยเอ่ยด้วยน้ำใสใจจริงต่อ “เด็กหนุ่มในยุทธภพมีกลิ่นอายของยุทธภพอย่างเลี่ยงไม่ได้ อายุน้อยประมาทเลินเล่อ ฝ่าบาทอย่าลืมใช้มารยาทกับเขาด้วย อย่าให้เกิดเรื่องปี่หนูขึ้นมาอีก”
เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว แววตาไท่จื่อมีประกายอึดอัดวาบผ่าน
ปี่หนูเป็นยอดฝีมือชาวทูเจวี๋ย ทรงพลังเหลือล้น ฝีมือรวดเร็วและรุนแรง เป็นยอดฝีมืออันดับสามสิบเก้า ไท่จื่อเฟยให้ไท่จื่อไปดึงเขามาเป็นพวก ปรากฏว่าคนเขาใช้ถ้อยคำอวดดีกับไท่จื่อสองสามประโยค ไท่จื่อก็ให้คนลากตัวไปโบยยกหนึ่งด้วยโทษดูหมิ่น
เรื่องนี้เกิดอยู่นอกโรงประลอง โรงประลองไม่ได้สอดมือเข้ามายุ่งอะไรเลย จนใจที่ยอดฝีมือทูเจวี๋ยป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป เป็นผลให้พวกเขาสูญเสียพวกยอดฝีมือที่ไม่ชอบไท่จื่อไปติดๆ กันหลายคน
ไท่จื่อกระแอมเบาๆ ก่อนเอ่ย “เจ้าวางใจเถิด ครานี้ข้าไม่มีทางใช้ฐานันดรกดขี่คนแล้ว ข้าจะคุยกับเขาอย่างละมุนละม่อม”
กู้เจียวยังไม่รู้ว่าตัวเองโดนคนต้องการตัวอีกแล้ว
ยังพอเหลือเวลา ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนของเสี่ยวจิ้งคง นางออกจากโรงเย็บปักสุ่ยเซียนแล้วจึงกลับไปที่โรงหมอก่อน
นางเข้ามาทางประตูหลัง จึงไม่มีใครเห็นนาง
นางเข้ามาที่เรือนเล็กของตัวเอง ก่อนจะถอดหน้ากากออก อาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้ายามปกติ
เพิ่งจะจัดการตัวเองเรียบร้อย ก็มีเสียงโวยวายดังขึ้นนอกเรือน
“เจ้าชนข้าทำไม!”
เสียงของแม่ชีน้อย
“ใครชนเจ้ากัน! เจ้าเป็นคนชนข้าแท้ๆ!”
…เป็นเสียงของบุรุษ อีกทั้งยังคุ้นหูด้วย เหมือนเสียงของ…กู้เฉิงเฟิง
“เจ้าตัวต่อ!”
“เจ้าถังกลม!”
ถูกต้องแล้ว เรือนท้ายของโรงหมอมีกู้เฉิงเฟิงที่มาซื้อยาปลูกผมให้น้องชายเจอเข้ากับหยวนถงที่มาหาหมอเป็นเพื่อนพี่สาวเข้าเสียแล้ว
การพบกันครานี้มันขิงก็รา ข่าก็แรงชัดๆ
หยวนถงเบิกตากลมโต “เจ้าจงใจชนข้าชัดๆ! คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์ตัวใหญ่อย่างเจ้าจะจิตใจคับแคบเช่นนี้! เจ้ามันรังแกสตรี!”
กู้เฉิงเฟิงยกขาขวาตัวเองขึ้นอย่างโมโห “ใครรังแกเจ้ากัน! ดูรองเท้าข้านี่! เจ้าเป็นคนเหยียบข้าแท้ๆ! ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย เจ้าก็ชิงว่าข้าชนเจ้าขึ้นเสียก่อนแล้ว! เจ้ามีเหตุมีผลบ้างหรือไม่!”
พอหยวนถงจ้องมองดีๆ บนนั้นมีรอยรองเท้าอยู่จริงๆ นางแววตาเป็นประกาย ก่อนเอ่ยตะกุกตะกักว่า “คะ…ใครให้เจ้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเองล่ะ”
กู้เฉิงเฟิงแค่นเสียงเอ่ย “ข้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนั้นรึ ได้ คิดเสียว่าข้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือแล้วกัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีตากระมัง แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่หลบเล่า! ลงล็อคกับที่เจ้าเห็นว่าข้าไม่ดูตาม้าตาเรือ จงใจเหยียบเท้าข้า แล้วก็ชนข้าด้วยพอดี!”
กู้เฉิงเฟิงไม่มีเจตนาอื่นใด แต่พอเข้าหูหยวนถงแล้วเหมือนว่านางว่าหน้าไม่อาย ไม่รู้จักสงบเสงี่ยม จงใจเรียกร้องความสนใจจากเขา
หยวนถงโมโหควันออกหู “จะจะเจ้ามันหน้าไม่อาย!”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยเสียงเย็น “ใครหน้าไม่อายกันแน่”
หยวนถงเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ใครรับก็คนนั้นแหละ!”
“เจ้า…”
“เหอะ!”
“หยวนถง กลับมานี่”
ณ ประตูหลังของโถงใหญ่ แม่ชีน้อยสีหน้าซีดเผือดถูกสาวใช้ประคองไว้เอ่ยขึ้นกับหยวนถง
พอหยวนถงหันกลับมามองก็เดินไปหาด้วยหน้าถอดสี “พี่สาวลงรถม้ามาทำไม ข้าให้เจ้าคอยอยู่บนรถม้ามิใช่หรือ ข้าไปเชิญแม่นางกู้มาให้เจ้าเอง!”
กู้เฉิงเฟิงไม่ได้มีความขัดแย้งต่อกันกับแม่ชีน้อย เขาเห็นนางป่วยถึงขนาดนี้ก็ไม่กล้าทะเลาะกับน้องสาวนางต่อ
เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วหันหลังเดินหนีไป
เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตูเรือนเล็ก กู้เจียวก็ออกมา
กู้เจียวเห็นแม่ชีน้อยแล้ว สีหน้านางไม่ค่อยสู้ดีนัก
กู้เฉิงเฟิงกระแอมในลำคอ ก่อนเอ่ย “เจ้าไปดูคนป่วยก่อนเถิด ข้าไม่รีบ”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า ยามนี้ห้องตรวจเต็ม กู้เจียวจึงให้หยวนถงประคองแม่ชีน้อยเข้าไปในเรือนของตัวเองแทน
กู้เฉิงเฟิงไม่สะดวกเข้าไป เขาจึงรออยู่ที่โถงใหญ่พักหนึ่ง ยังไม่เห็นกู้เจียวออกมา ซ้ำยังไม่กล้าเร่ง อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร จึงรออยู่ในโถงใหญ่อย่างเบื่อหน่าย
แม่ชีน้อยนอนอยู่บนเตียงของห้องด้านข้าง มือกุมท้องไว้ เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมาไม่หยุด
“ไม่สบายตรงไหนรึ” กู้เจียวถามนาง
แม่ชีน้อยมองสาวใช้กับหยวนถงที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง
กู้เจียวหันไปเอ่ย “พวกเจ้าออกไปก่อน ตอนข้ารักษาคนไข้ไม่ชินให้มีคนมายืนมองอยู่ข้างๆ”
หยวนถงอ้าปาก “อ๋อ ชะ…เช่นนั้นข้าฝากพี่สาวข้าด้วยนะ”
กู้เจียวพยักหน้า
หยวนถงกับสาวใช้พากันออกไปข้างนอก
กู้เจียวมองแม่ชีน้อยพลางเอ่ย “ทีนี้คงบอกได้แล้วกระมังว่าเจ้าไม่สบายตรงไหน”
แม่ชีน้อยอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด คล้ายว่าอายที่จะเอ่ยปาก นานทีเดียวจึงพึมพำขึ้น “ขะ…ข้าปวดท้อง…”
“ข้าดูหน่อย” กู้เจียวดึงมือนางขึ้น ก่อนจะเริ่มจับชีพจร
แม่ชีน้อยมองท่าทางไม่พูดไม่จาของกู้เจียว แล้วเสียอาการกว่ายามปกติ นางกัดริมฝีปากพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ขะ…ข้าจะแท้งหรือไม่”
แท้งอย่างนั้นรึ
กู้เจียวสงสัยว่าตัวเองหูฝาด
กู้เจียวมองข้อมือแม่ชีน้อย แล้วหันไปมองหน้านาง
แม่ชีน้อยขอบตาแดงก่ำอย่างกล้ำกลืน ก่อนจะสะอื้นไห้ออกมา “ข้ารู้อยู่แล้ว…ข้าแท้งแล้ว…ลูกข้าจากไปแล้ว”
กู้เจียว “…”
ช้าก่อน ข้าพลาดอะไรไป
แม่ชีน้อยร้องไห้ด้วยความปวดใจ นางสะอึกสะอื้น เป็นผลให้กู้เจียวฟังอยู่นานจึงได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่อง
ที่แท้วันที่กู้ฉังชิงช่วยนางกลับมานั้น ได้เกิดเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ขึ้นบนรถม้า
“ข้าเป็นคนลงมือก่อน…ข้าดึงเสื้อผ้าเขา…แถมข้ายัง…ข้า…ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้…ข้าจึง…ข้าจึง…จับเขา…”
“ระดูของข้าไม่มาสองเดือนแล้ว…”
“เมื่อเช้า…จู่ๆ ข้าก็ปวดท้องขึ้นมา…”
“จากนั้นเลือดก็ไหล…”
ประจำเดือนเจ้ามาน่ะสิ ท้องมันก็เลยปวด และเลือดมันก็เลยไหล!
กู้เจียวมองนางด้วยสีหน้าหมดคำจะพูด เจ้ามีสัญญาณชีพจรของประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอด้วย!
กู้เจียวเอ่ย “เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์หรอก”
แม่ชีน้อยร้องห่มร้องไห้เอ่ย “ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ! ข้าขึ้นคร่อมอยู่บนร่างเขาแล้วนะ!”
กู้เจียวปากอ้าตาค้าง รุนแรงเพียงนี้เชียวรึ
“เจ้าไม่ได้ตั้งครรภ์จริงๆ และเจ้าก็ไม่ได้แท้งด้วย”
“เจ้าไม่ต้องปลอบใจข้าหรอก…ข้ารู้ดี…ลูกข้าตายแล้ว…ฮือออ”
กู้เจียว “…”
เป็นหมอมาตั้งสองชาติ เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ถูกคนสงสัยในฝีมือการแพทย์เช่นนี้
ช่างเถอะ เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้
กู้เจียวจึงเรียกกู้เฉิงเฟิงเข้ามา แล้วให้เขาไปตามกู้ฉังชิงมาหา
กู้เจียวไม่ได้บอกว่าธุระอะไร กู้เฉิงเฟิงก็ไม่คิดว่าจะเกี่ยวกับคนตระกูลหยวนด้วย
บังเอิญที่วันนี้กู้ฉังชิงอยู่ที่จวน กู้เฉิงเฟิงจึงพาตัวมาได้อย่างรวดเร็ว
กู้เจียวหาข้ออ้างว่าไปจัดยากับซื้อของกินเพื่อปลีกตัวจากหยวนถงและสาวใช้ ก่อนจะตรงไปพากู้ฉังชิงเข้ามาในเรือน
กู้เฉิงเฟิงก็เข้าห้องไปด้วยเช่นกัน แต่เขาดันโดนกู้เจียวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย!
ณ ห้องปีกข้าง แม่ชีน้อยร้องไห้จนผล็อยหลับไปแล้ว กู้เจียวเล่าสถานการณ์ของนางให้กู้ฉังชิงฟัง
กู้ฉังชิงคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องพรรค์นี้จะจะถูกนำมาเปิดเผยในลักษณะนี้ ใบหน้าน้ำแข็งหมื่นปีไม่เปลี่ยนของเขาพลันเห่อแดงขึ้นทันที!
“ไม่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ!” เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วบีบมือไปมา “ข้ากับนางไม่เคยเกิดสัมพันธ์ทางกายฉันท์สามีภรรยากับนางมาก่อนเลย”
กู้เจียวเลิกคิ้วเอ่ย “อ๋อ แค่ลูบๆ คลำๆ ถูๆ ไถๆ หรอ”
“ก็ไม่…” กู้ฉังชิงอยากจะบอกว่าไม่เคย คำพูดมาถึงปลายลิ้นแล้วก็กลืนกลับไป เขาหันไปเอ่ยด้วยใบหน้าแดงๆ อย่างเคร่งขรึม “สรุปก็คือนางไม่มีทางตั้งครรภ์หรอก นางยังบริสุทธิ์อยู่”
บุรุษรู้เรื่องนี้ดีกว่าสตรีอยู่นิดหน่อย
กู้เจียวไม่สงสัยในความน่าเชื่อถือในคำพูดของกู้ฉังชิงเลยสักนิด นางชี้พลางเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็ไปอธิบายกับนางเอง ถึงเวลาที่ข้าต้องไปรับเสี่ยวจิ้งคงแล้ว”
นางเอ่ยจบก็สะพายตะกร้าใบน้อย แล้วเดินจากไปอย่างว่องไวยิ่ง
กู้ฉังชิงกำลังจะเรียกนางไว้ก็รั้งไว้ไม่ได้!
กู้ฉังชิงไม่ละล้าละลังอยู่ในห้อง ทำอะไรไม่ถูก
ไม่มีใครรู้ว่าระยะเวลาครึ่งถ้วยชาที่รอแม่ชีน้อยตื่นขึ้นมาจะผ่านความเขินอายและทรมานเพียงใด
เรื่องในวันนั้นเป็นเหตุไม่คาดฝันจริง ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อยากแต่งงานเลย เพียงแต่ว่าอย่างไรเสียก็เกิดการแตะเนื้อต้องตัวกันไปแล้ว หากนางปล่อยวางไม่ได้เหมือนกู้จิ่นอวี๋ เช่นนั้นเขาก็จะรับผิดชอบนางโดยการไปสู่ขอถึงบ้าน
ทว่าหลังจากนางตื่นขึ้นมาแล้วแสดงออกว่าไม่อยากแต่งงาน เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นความลับระหว่างทั้งสองแทน
ใครจะคิดว่า…นางคิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะตั้งครรภ์กัน อีกทั้ง ‘แท้ง’ แล้วนางก็ยังร้องห่มร้องไห้เสียยกใหญ่ด้วย หรือเดิมทีนางคิดจะแอบคลอด ‘ลูก’ คนนั้นเองอย่างนั้นรึ
โดยจะไม่บอกเขาให้ได้รู้เลยน่ะรึ
เขาเป็นพ่อของลูกนะ!
ไม่สิ ไม่มีลูกเสียหน่อย
เกือบถูกพาไปผิดประเด็นแล้ว
กู้ฉังชิงนวดหว่างคิ้วอย่างจนปัญญา
ขณะนั้นเอง แม่ชีน้อยบนเตียงก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น
นางยังจมอยู่ในความเสียใจที่สูญเสียลูกอยู่ พอนางเห็นกู้ฉังชิงก็ไม่มีเวลามาสนใจว่าตัวเองไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อชายคนนี้ จู่ๆ นางก็น้อยอกน้อยใจยิ่งนัก คว้ามือกู้ฉังชิงเอาไว้ “ฮือออ…ลูกของพวกเราไม่อยู่แล้ว…”
ราชเลขาหยวนที่ได้รับข่าวควบม้าเร่งรุดเพิ่งมาถึงหน้าประตูก็ได้ยินประโยคนี้เข้า
ราชเลขาหยวนพลัน “…!!”